Masukเฉียวเนี่ยนยืนอยู่หน้าโลงน้ำแข็ง ความเย็นเฉียบแล่นขึ้นจากฝ่าเท้าจนถึงกระดูกสันหลังนางจ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนฝาโลง ความคิดสับสนวุ่นวายจนจับต้นชนปลายไม่ถูกคำพูดของเสิ่นม่อเปรียบดั่งคมมีดอันแหลมคม ที่เฉือนเปิดความจริงอันโหดร้ายเบื้องหลังเกียรติยศร้อยปีของตระกูลมู่ พร้อมกันนั้นก็ทำให้นางได้ตระหนักถึงตัวตนของตนเองในอีกแง่มุมหนึ่งแต่เดิม นางคิดว่าตนเป็นเพียงบุตรีขุนนาง เป็นคุณหนูผู้สูงส่งธรรมดาๆ แม้จะผ่านความยากลำบากมาบ้าง ทว่าท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?แต่บัดนี้ เหยาวั่งซู ตระกูลมู่ สำนักราชาโอสถ...นางไม่เคยคิดเลยว่า ตนเองจะมีความเกี่ยวพันกับทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน!ในตอนนี้ นอกจากผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณที่เสิ่นม่อมอบให้แล้ว คำพูดของเจ้าตระกูลมู่ที่เคยกล่าวถึงสมบัติบางอย่าง ก็ยังทำให้นางอดกังวลไม่ได้หากทุกสิ่งเป็นจริงดังที่เสิ่นม่อว่าไว้ ตั้งแต่ต้นตระกูลมู่ก็ได้มาซึ่งความมั่งคั่งมหาศาลด้วยวิธีสกปรก เช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่าคนตระกูลมู่ล้วนไม่น่าไว้วางใจเช่นนั้นเซียวเหิงเล่า...คิดถึงตรงนี้ เฉียวเนี่ยนเผลอกำหมัดแน่นแท้จริงแล้วนางก็ไม่ได้นึกถึงเซียวเหิงม
กระทั่งถึงตอนนี้ เฉียวเนี่ยนก็ยังไม่เข้าใจว่าเสิ่นม่อต้องการจะทำอะไรกันแน่เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองไปยังเฉียวเนี่ยน “เจ้าคือเหลนของเหยาวั่งซู มีพรสวรรค์ด้านวิชาแพทย์สูงส่งไม่ต่างจากเหยาวั่งซู หากในภายภาคหน้าสามารถมอบสำนักราชาโอสถให้เจ้าได้ ข้าก็วางใจได้แล้ว”เฉียวเนี่ยนแปลกใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นม่อจะอยากมอบสำนักราชาโอสถให้แก่ตนแน่นอนว่าในใจนางยังคงแฝงไว้ด้วยความสงสัย “แต่ท่านวางยาพิษข้า”นางแบฝ่ามือออกให้ดู จุดดำบนฝ่ามือที่มีอยู่เดิม ผ่านไปหลายวันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก“หากท่านตั้งใจจะมอบสำนักราชาโอสถให้ข้า แล้วบอกความจริงกับข้าเสียตั้งแต่แรก ข้าย่อมยินดีเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ ข้าไม่อาจเชื่อท่านได้อีก”เดิมทีนางยังคิดจะอยู่ที่นี่อย่างสงบ รอจนพิษสลายก่อนค่อยจากไปแต่บัดนี้ เมื่อนางมองดูศพที่มีใบหน้าเหมือนตนทุกประการแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่ต่ออีกสีหน้าของเสิ่นม่อก็เย็นชาลงทันทีเขาหันหน้าเข้าหาโลงน้ำแข็งอีกครั้ง เอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยาวั่งซูตายอย่างไร?”เฉียวเนี่ยนส่ายหน้า “ไม่รู้เจ้าค่ะ”เสิ่นม่อกลับไม่ให้คำตอบในทันที แต่ใช้สองมือแตะลงบนโลงน้ำแข็ง แล้วออกแรงผลักฝาโลงถู
เสิ่นม่อมองไปยังเฉียวเนี่ยนด้วยสายตาอันมัวหมอง แววตาฉายความฉงน “เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น?”เฉียวเนี่ยนตัวสั่นเทา เล็บมือจิกเข้าฝ่ามือแน่นนางชี้ไปยังโลงน้ำแข็งข้างๆ เสียงสั่นพร่า “นะ... นี่คือผู้ใดกัน? นางกับข้าหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แถมยังมีเขียนไว้บนนี้อีกว่า... ว่าจะทำให้นางฟื้นคืนชีพ...”เสิ่นม่อก้าวเข้ามาช้าๆ แล้ววางเชิงเทียนในมือลงข้างโลงน้ำแข็งแสงเทียนสะท้อนผ่านพื้นผิวสีใสของโลงน้ำแข็งกระทบใบหน้าเสิ่นม่อ ราวกับปาฏิหาริย์ที่ลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย เผยให้เห็นความหล่อเหลาของชายหนุ่มในวันวานเขาเอื้อมมือออกไป ลูบฝาโลงเบาๆ ท่าทางอ่อนโยนราวกับกำลังสัมผัสแก้มของคนรักตรงกันข้าม อารมณ์ของเฉียวเนี่ยนกลับสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวตื่นตระหนก“ท่านกักข้าไว้ในสำนักราชาโอสถ ให้ข้ากินผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณ แท้จริงแล้วก็เพื่อจะใช้ร่างข้าฟื้นคืนชีพนางขึ้นมาใช่หรือไม่?!”เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เสิ่นม่อกลับหัวเราะเบาๆ “เจ้าจินตนาการได้เก่งจริงๆ” ทว่าในพริบตาเขาก็หุบยิ้ม ดวงตาแปรเป็นลึกซึ้ง “หากข้าคิดจะฆ่าเจ้า เหตุใดต้องรอถึงวันนี้?”เฉียวเนี่ยนพูดไม่ออก แต่ยังคงจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวังได้ยินเ
หากเมื่อครู่มิใช่เป็นเพียงภาพลวงตา เช่นนั้นตอนนี้เฉียวเนี่ยนกวาดสายตาพินิจดูคนในโลงศพตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ว ก็แน่ใจได้ว่าผู้ที่นอนอยู่ในโลงศพนี้ หน้าตาเหมือนนางทุกประการ!แม้แต่นางจะส่องกระจกดูตัวเอง ก็ยังไม่อาจเห็นได้ชัดเจนถึงเพียงนี้สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ ใต้ตาของสตรีในโลง มีปานรูปหยดน้ำตาสีเลือดอยู่หนึ่งเม็ดนางเป็นใครกันแน่?ด้วยความสงสัยนี้ เฉียวเนี่ยนเริ่มสำรวจสถานที่อื่นในห้องลับต่อ ก็เห็นว่าข้างโลงน้ำแข็งนั้นตั้งศิลาจารึกอยู่หนึ่งแท่งบนศิลาจารึกนั้น สลักอักษรไว้หลายบรรทัด ความว่า “ข้ารักเหยาวั่งซู นางเกิดในปีที่สามแห่งรัชศกเทียนฉี มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ สามขวบรู้จักสมุนไพรนับร้อยชนิด เจ็ดขวบเข้าใจหลักแพทย์ ทว่าสวรรค์อิจฉาความงาม นางล้มป่วยและสิ้นชีวิตในปีที่ยี่สิบแปดแห่งรัชศกเทียนฉี ข้าเศร้าโศกสุดหัวใจ นำร่างของนางกลับมาจากแคว้นถัง บรรจุไว้ในโลงหยกน้ำแข็ง หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถค้นพบวิธีชุบชีวิตให้คืนกลับมาได้ จารึกโดย เสิ่นม่อ เจ้าสำนักราชาโอสถ”ปีที่ยี่สิบแปดในรัชศกเทียนฉี?นั่นคงเป็นนามรัชศกของแคว้นถังยิ่งไปกว่านั้น ยังระบุอีกว่า ศพนี้ถูกนำมาจากแคว้น
ทุกๆ เช้าในสำนักราชาโอสถมักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรเฉียวเนี่ยนยืนอยู่หน้าห้องหนังสือของเจ้าสำนักราชาโอสถแต่เช้า ค่อยๆ ผลักประตูไม้สักแกะสลักเข้าไปแดดส่องผ่านหน้าต่างลงบนพื้นห้อง สร้างแสงเงาสลับกันเจ้าสำนักราชาโอสถเคยบอกว่า หนังสือในนี้นางสามารถยืมอ่านได้ตามใจชอบเพียงแต่ห้องหนังสือนี้ใหญ่กว่าที่นางคิด สามด้านของผนังเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน เต็มไปด้วยตำราแพทย์โบราณหลากหลายในอากาศยังมีกลิ่นหมึกผสมสมุนไพรเฉพาะตัว คล้ายกับกลิ่นของเจ้าสำนักราชาโอสถหนังสือบนชั้นแบ่งเป็นสามส่วนตามหัวข้อ ‘การแพทย์ สมุนไพร พิษ’ เฉียวเนี่ยนเดินไปยังส่วน ‘พิษ’ แล้วเริ่มค้นคว้า《คู่มือร้อยพิษ》《ตำรับสมุนไพรพิสดาร》《วิธีถอนพิษหมื่นชนิด》 และอื่นๆนางค้นคว้าตั้งแต่เช้าจนเย็น แต่ไม่พบบันทึกใดเกี่ยวกับผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณเลยเมื่อยามค่ำมาถึง แสงในห้องหนังสือเริ่มมืดจนมองตัวอักษรบนหน้าหนังสือไม่ชัด เฉียวเนี่ยนจึงวางหนังสือลงอย่างหมดแรง พร้อมถอนหายใจหนักเมื่อแบขึ้นมาก็เห็นจุดดำบนฝ่ามืออีกครั้งแปลกที่แม้ความมืดจะทำให้สายตามองไม่ชัดแล้ว แต่จุดดำนั้นกลับชัดเจนใจนางเริ่มไม่สงบนางคิดในใจว่า หา
หลินเย่ว์ถอนหายใจยาว “สำนักราชาโอสถแม้ลึกลับ แต่เนี่ยนเนี่ยนฉลาด อยู่ที่นั่นจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต”ฉู่จืออี้ได้ยินจึงหลับตาลง สุดท้ายก็การตัดสินใจ พอลืมตาอีกครั้ง แววตาก็ชัดเจน “นางได้ฝากอะไรถึงข้าไหม?”หลินเย่ว์หยิบจี้ผิงอันโค่วออกจากอก “นางบอกไว้ ว่าหวังว่าท่านอ๋องจะปลอดภัยราบรื่น”ฉู่จืออี้รับจี้ผิงอันโค่วไว้นี่เป็นสิ่งที่เขาแกะสลักด้วยมือตัวเอง แต่จิ่งเหยียนเป็นผู้มอบให้เฉียวเนี่ยนและในใจเฉียวเนี่ยน จิ่งเหยียนสำคัญยิ่ง เขาเข้าใจดีแต่ตอนนี้ นางมอบจี้ผิงอันโค่วนี้ให้เขา…เขากำจี้ผิงอันโค่วแน่นในมือ ราวกับจะรับรู้ถึงอุณหภูมิของนางรถม้าออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่เมืองหลวงฉู่จืออี้พิงอยู่ในรถ จ้องจี้ผิงอันโค่วในมือแน่นข้างนอกมืดแล้ว ลมเย็นกลืนแสงสุดท้ายของตะวัน“เนี่ยนเนี่ยน รอข้าก่อนนะ” เขาเอ่ยในใจ “ข้าจะรีบกลับไปรับเจ้าให้เร็วที่สุด”ขณะเดียวกัน ในสำนักราชาโอสถเฉียวเนี่ยนอยู่ในห้องต้มยา กำลังปรุงยาถอนพิษให้ตัวเองเจ้าสำนักราชาโอสถก้าวเข้ามาในแสงจันทร์ สูดลมหายใจลึก “อืม… ตังเซียม ใบอำพันปลาวาฬ บัวน้ำแข็งแดนหิมะ แล้วก็ยังมีเห็ดหลินจือร้อยปี!!”ฺเสียงเดิมเต็มไปด้







