Masukห้องหนังสือของเสิ่นม่อเงียบสงัด เฉียวเนี่ยนเคาะประตูเบาๆ “ท่านอาจารย์ เป็นข้าเอง”แต่ภายในกลับไร้เสียงตอบรับนางจึงเพิ่มแรงเคาะอีกสองสามครั้ง ก็ยังไม่มีผู้ใดตอบ“ท่านอาจารย์?” นางลองผลักประตูดู พบว่ามิได้ลงกลอนเสียงเอี้ยดดังขึ้น ประตูไม้ถูกผลักเปิด แสงแดดส่องลอดเข้ามาในห้องหนังสือที่มืดสลัวในห้องหนังสือนั้น หน้าต่างปิดสนิท เชิงเทียนบนโต๊ะทำงานก็เผาไหม้จนสิ้น เหลือเพียงหยดไขขี้ผึ้งที่กองเป็นภูเขาเล็กๆเสิ่นม่อไม่อยู่ในห้องหนังสือ?แต่นางถามคนรับใช้ก่อนมาแล้ว พวกเขาต่างบอกว่าเสิ่นม่ออยู่ในห้องหนังสือมาโดยตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย!คงมิใช่ว่า...เฉียวเนี่ยนใจหายวาบ รีบกดกลไกบนชั้นหนังสือประตูห้องลับเปิดออก กระแสลมเย็นพุ่งปะทะใบหน้านางสูดหายใจลึก ข่มความหวั่นในอก ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องลับนั้นโลงศพน้ำแข็งหยกเย็นเฉียบยังคงตั้งอยู่เงียบงันในห้องลับมองผ่านโลงน้ำแข็งสีใสเห็นเงาลางๆ ของเหยาวั่งซูคล้ายเพียงแค่หลับไปเท่านั้นแต่ที่ต่างจากเดิมคือข้างกายนางมีอีกคนหนึ่งนอนอยู่ผมขาวโพลนแต่ใบหน้าดูสง่าหาใช่ใบหน้าแก่ชราอย่างที่เฉียวเนี่ยนจำได้ไม่นางนึกถึงยาวิเศษชนิดหนึ่งที่บันทึกไ
คำพูดประโยคเดียว ทำให้เฉียวเนี่ยนถึงกับชะงักงันเซียวเหิงกับองครักษ์พยัคฆ์ หายตัวไปหมดเลยอย่างนั้นหรือ!นั่นย่อมพิสูจน์ได้ว่าศัตรูของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!เสิ่นม่อพูดถูก หากนางไม่มีสำนักราชาโอสถคอยหนุนหลัง เกรงว่าคงทำได้เพียงมองพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาในชั่วขณะนั้น เฉียวเนี่ยนใจร้อนรน อยากจะออกจากสำนักราชาโอสถทันทีเพื่อไปพบฉู่จืออี้แต่เสิ่นม่อกลับเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องรีบร้อน ศึกษาเรื่องที่ควรรู้ให้ถ่องแท้เสียก่อน สามวันย่อมเพียงพอให้เจ้ารู้การดำเนินงานของสำนักราชาโอสถ ซึ่งจะช่วยเจ้าได้มากเมื่อไปแคว้นถัง”เฉียวเนี่ยนฝืนใจให้สงบ รู้ดีว่าคำของเสิ่นม่อนั้นมีเหตุผล จึงยกมือคารวะ “ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”แต่แล้วได้ยินเสิ่นม่อหัวเราะ “ถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ยอมเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อีกหรือ?”อย่างน้อย วิชาแพทย์ทั้งหลายในสำนักราชาโอสถ เขาก็ถ่ายทอดให้นางหมดแล้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายนางก็คุกเข่าลงต่อหน้าเสิ่นม่อ โขกศีรษะลงบนพื้นหนึ่งครั้ง “ข้าเฉียวเนี่ยน คารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”“เด็กดี”บนใบหน้าเสิ่นม่อ ปรากฏรอยยิ้มแรกในรอบหลายวันเขาโบกมือ
เฉียวเนี่ยนมองดูป้ายทั้งสี่อย่างหนักใจ “ท่านเจ้าสำนัก ภาระนี้หนักเกินไป คงยากที่ข้าจะรับหน้าที่นี้ได้ มิสู้ให้...”เสิ่นม่อไม่ฟังที่นางพูด เพียงส่งเสียงเรียก “มีผู้ใดอยู่บ้าง!”ประตูห้องโถงเปิดออกทันที คนสี่คนในอาภรณ์ต่างสีเดินเข้ามาทีละคนหนึ่งในนั้นคือเสิ่นเยว่ทั้งสี่คุกเข่าลงพร้อมกัน “คารวะเจ้าสำนัก”“ลุกขึ้นเถิด” เสิ่นม่อยกมือขึ้น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฉียวเนี่ยนคือเจ้าสำนักราชาโอสถคนใหม่ พวกเจ้าจงช่วยเหลือนางให้สุดความสามารถ ห้ามขัดคำสั่ง”สีหน้าทั้งสี่เผยความตกใจออกมาแตกต่างกันไป นายท่านม่อจากประมุขหอพันกลไกก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ใบหน้าแฝงด้วยความกังวล “แม่นางเฉียวมีพรสวรรค์ทางวิชาแพทย์สูงส่งยิ่ง หากท่านเจ้าสำนักจะถ่ายทอดวิชาให้แก่นาง ข้าน้อยก็มิกล้ามีข้อคัดค้านแม้แต่น้อย เพียงแต่งานของสำนักราชาโอสถนั้นซับซ้อนราวรากไม้พันกัน เกรงว่าคุณหนูเฉียวจะยากที่จะรับภาระนี้ได้ ข้าน้อยคิดว่า... คุณชายเสิ่นเยว่น่าจะ...”ยังไม่ทันพูดจบ เสิ่นม่อยกมือขึ้นทันใด พลังภายในรุนแรงพุ่งออกไป นายท่านม่อถูกกระแทกจนกระเด็นล้มไปบนพื้นทุกคนต่างตกใจสุดขีดมีเพียงเสิ่นม่อที่สีหน้านิ่งเฉย “ยังมีผู้ใ
ต้องสิ้นหวังกับโลกใบนี้มากเพียงใด ถึงได้คิดว่าความตายคือการหลุดพ้น?ความรู้สึกของการถูกคนที่ใกล้ชิดที่สุดหักหลัง นางเข้าใจดีจนเกินไปและทุกสิ่งที่เหยาวั่งซูได้เผชิญ ล้วนโหดร้ายและเจ็บปวดกว่านางหลายเท่านัก...“วั่งซู...” เสียงอาบด้วยน้ำตาและเลือดดังลอดออกมาจากลำคอของเสิ่นม่อต่อจากนั้น เลือดสดๆ พลันพ่นออกมาเปื้อนบนบันทึกเล่มนั้นเฉียวเนี่ยนสะดุ้ง รีบจะเข้าไปจับชีพจรให้เสิ่นม่อ แต่กลับถูกเสิ่นม่อยกมือห้ามไว้“ไม่ต้อง เพียงแค่คิดมากไปเท่านั้น”เขาพูดพลางใช้นิ้วแตะเช็ดคราบเลือดบนบันทึกอย่างระมัดระวัง ท่าทางอ่อนโยนราวกับกำลังลูบแก้มของคนรักเฉียวเนี่ยนจึงชักมือกลับ ความเย็นเฉียบเกาะแน่นกลางอก ราวกับมีก้อนน้ำแข็งขวางอยู่ที่นั่น ละลายไม่ออก“ท่านเจ้าสำนัก...” นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านย่าทวดคงไม่อยากเห็นท่านเศร้าเสียใจเช่นนี้”เมื่อได้ยิน เสิ่นม่อชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมาน้ำตาก็หลั่งตามออกมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นศิษย์พี่ของนางแท้ๆ แต่กลับได้รับการดูแลจากนางอยู่ทุกเมื่อ ครั้งก่อนตอนท่องตำรับยาที่ข้าไม่อาจจำได้ต่อหน้าท่านอาจารย์ ก็เป็นนางที่แอบบอกใบ้ ข้าปรุง
เฉียวเนี่ยนตื่นขึ้นมาในยามที่แสงอาทิตย์อุ่นส่องเฉียงผ่านหน้าต่างมาตกต้องบนแก้มของนางพอดีม่านสีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวเบาๆ ตามสายลม นี่ไม่ใช่เครื่องตกแต่งที่มีอยู่ในหอคัมภีร์แน่นอนนางเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ ดวงตาที่พร่าเลือนค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ความทรงจำพลันหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำไหลนางจำได้ว่าในที่สุดตนเองก็เข้าใจแล้ว ว่าพิษผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณนั้นควรแก้อย่างไร และก็นึกถึงวินาทีที่เสิ่นม่อบุกเข้ามาในหอคัมภีร์ได้ดังนั้น... นางทำสำเร็จจริงๆ แล้วหรือ?นางพลันลุกพรวดขึ้น นัยน์ตาเหลือบมองฝ่ามือของตนเอง ก็เห็นว่าจุดดำที่เคยลามอยู่เต็มฝ่ามือหายไปอย่างไร้ร่องรอยแก้ได้แล้ว แก้ได้แล้วจริงๆ!ความตื่นเต้นในใจแทบจะเอ่อล้นออกจากอก เฉียวเนี่ยนรีบลุกจากเตียง มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของเสิ่นม่อทันทีเคาะประตูไปสองครั้ง เสียงของเสิ่นม่อก็ดังขึ้นจากข้างใน “เข้ามา”เฉียวเนี่ยนผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเสิ่นม่อนั่งอยู่หน้าตั่งเขียนหนังสือนางก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นม่อ “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิตไว้”นางรู้ดี ว่าแม้ตนเองจะค้นพบวิธีแก้ได้ แต่ก็ไม่มีเวลาพอจะไปหาของมาปรุงยา
เสิ่นม่อยืนไขว้มือตรงบันไดหินหน้าหอคัมภีร์ เสื้อคลุมสีดำเข้มถูกลมยามโพล้เพล้พัดชายเสื้อเปิดออก เผยให้เห็นลวดลายสมุนไพรสีเข้มที่ปักอยู่ด้านในเขาเงยหน้ามองฟ้า เห็นเพียงแสงสุดท้ายของอาทิตย์ยามอัสดงกำลังถูกความมืดกลืนไป ราวกับเม็ดทรายสุดท้ายที่กำลังจะไหลหมดจากนาฬิกาทราย“ท่านอาจารย์ ตอนนี้เป็นเวลายามโหย่วช่วงที่สามแล้วขอรับ” เสิ่นเยว่ถือโคมแก้วเดินเข้ามา เปลวไฟสะท้อนเป็นเงาสั่นไหวบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา “ศิษย์น้อง...”เสิ่นม่อไม่ตอบเขารู้ดีว่าเสิ่นเยว่จะพูดอะไร คืนนี้คือคืนวันเพ็ญ และก็เป็นคืนที่พิษผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณในกายของเฉียวเนี่ยนจะกำเริบเป็นครั้งสุดท้ายหากเฉียวเนี่ยนยังไม่อาจหาวิธีแก้พิษผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณได้ หลังคืนนี้ไป ก็จะเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของเฉียวเนี่ยนเท่านั้นเห็นเสิ่นม่อเงียบไม่เอื้อนเอ่ย เสิ่นเยว่ก็เริ่มร้อนใจ “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องนั้นปัญญาเฉียบแหลม แม้ยังหาทางแก้พิษผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณไม่ได้ในคราวเดียว แต่ก็ไม่ควรมาสิ้นชีพลงเช่นนี้! ท่านไม่มีวันพบคนที่เหมาะสมกว่านางอีกแล้ว!”ปลายนิ้วของเสิ่นม่อสั่นไหวเล็กน้อยในใจของเขา แท้จริงแล้วร้อนรนยิ่งกว่าเสิ่นเย







