ด้านนอก ฝนยังคงเทลงมาอย่างหนักแม้จะกางร่ม ฝนก็ยังซัดจนเปียกชายกางเกงของเฉียวเนี่ยนอย่างรวดเร็ว ตอนที่นางได้พบกับหลินเย่ว์ กางเกงของนางแทบจะติดเนื้อไปหมดแล้วในลานบ้าน หลินเย่ว์ยังคงคุกเข่าอย่างมั่นคงท่ามกลางสายลมและสายฝน ร่างของเขาดูเล็กจ้อยเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนสูดลมหายใจลึก ยืนนิ่งอยู่กับที่หนิงซวงกลับถือร่มเดินเข้าไปข้างหน้า “คุณชายใหญ่ ฝนวันนี้แรงมาก อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บอยู่ กลับไปพักเถอะนะเจ้าคะ”หลินเย่ว์ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆหนิงซวงพูดต่อ “คุณชายใหญ่ก็น่าจะรู้ดี ว่าคุณหนูของข้าใจดี หากท่านถึงขั้นพิการเพราะเรื่องนี้ นางจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เจ้าค่ะ!”จนกระทั่งได้ยินเช่นนี้ หลินเย่ว์ถึงเหมือนเพิ่งได้สติกลับมาละอองฝนไหลลงจากเส้นผม ทำให้เขาลืมตาไม่ได้เต็มที่ ต้องหรี่ตามองไปยังทิศทางที่เฉียวเนี่ยนยืนอยู่ในความพร่ามัวนั้น เขาเห็นนางกำลังยืนถือร่มอยู่ไกล ๆ แต่ลมและฝนในวันนี้แรงมาก ร่มของนางแม้จะถูกจับไว้แน่น ก็ยังไหวโอนอยู่ตลอดเวลาใช่... นั่นคือเนี่ยนเนี่ยนของเขา...หลินเย่ว์คิดเงาร่างนั้น ซ้อนทับกับภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในความทรงจำของเขาอย่างพอดิบพอดีเขารักและท
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้กลับเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ หันไปมองฉู่จืออี้ด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าคิดว่า ข้าอยากฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?”ฉู่จืออี้ไม่พูดอะไร เบือนสายตากลับมา แต่กำหมัดแน่นเล็กน้อยเขารู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนอาจล้ำเส้นเกินไปแต่เขาก็อยากรู้คำตอบเขาอยากรู้ว่าเขาเคยถูกพี่ชายเพียงคนเดียวของตนทอดทิ้งหรือไม่เสียงฝนพรำด้านนอกห้องทรงอักษร ตีซ้ำลงบนหัวใจของฉู่จืออี้ไม่หยุดฮ่องเต้ค่อย ๆ เดินมาหาเขา แล้วยกมือขึ้น ตบไหล่เขาเบา ๆ“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่อี้เอ๋อร์ เจ้าฟังข้านะ ข้าไม่มีพี่น้องคนอื่นอีกแล้ว นอกจากเจ้า!”คำว่า “อี้เอ๋อร์” ทำให้ฉู่จืออี้นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนไกลในตอนนั้น เพราะมารดาไม่ได้รับความโปรดปราน เขามักถูกเหล่าองค์ชายคนอื่นกลั่นแกล้ง จนกระทั่งรัชทายาทในขณะนั้น นั่นก็คือฮ่องเต้ในตอนนี้ ได้ก้าวออกมาช่วยเขาตั้งแต่นั้นมา ภายในวังอันเงียบงัน คนที่เรียกชื่อเขาได้ ก็มีเพิ่มขึ้นอีกคน นอกจากพระมารดาเมื่อครั้งอยู่ในวัง เขากับฮ่องเต้ถือว่าสนิทกันที่สุดในบรรดาพี่น้อง แต่เมื่อเขาออกไปประจำการแถบชายแดนหลายปี ความสัมพันธ์นั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปตอนนี้
ขณะเดียวกัน ภายในห้องทรงอักษร ฉู่จืออี้กำลังนั่งประจันหน้ากับฮ่องเต้ เล่นหมากล้อมอยู่ด้วยกันเสียงฟ้าร้องคำรามขึ้น ฉู่จืออี้เงยหน้ามองฮ่องเต้แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรฮ่องเต้หยิบหมากดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด สายตายังคงจับจ้องบนกระดานหมากล้อม แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “มีสมาธิหน่อย”ฉู่จืออี้ยังคงเงียบ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้วางหมากดำลงแล้ว เขาจึงหยิบหมากขาวขึ้นมา พิจารณาทั้งกระดาน แล้วจึงวางหมากลง“หึ...” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “การเดินหมากที่ดักทางข้าเช่นนี้มันร้ายกาจนัก”ฉู่จืออี้ยังคงไม่พูดอะไรฮ่องเต้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบหมากดำอีกเม็ดขึ้นมา แล้วถามว่า “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากกลับมา?”“ข้าเห็นหมายจับของพวกโจรภูเขา” ฉู่จืออี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “องครักษ์พยัคฆ์เคยสร้างคุณความดีอย่างยิ่งใหญ่ ข้าไม่อยากให้ไอ้พวกอาชญากรโฉดเขลาสองสามคน มาทำลายชื่อเสียงนั้น”“อืม” ฮ่องเต้รับคำเสียงเรียบ ฟังไม่ออกว่าทรงพอพระทัยหรือไม่เมื่อหมากดำวางลง ฉู่จืออี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดหาวิธีเดินต่ออีกครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ลงเอยเหมือนกันหมด สุดท้ายจึงโยนหมากขาวในมือลงในถ้วยหมาก “เสด็จพี่ชนะแล้ว”ไม่ทั
นิสัยของหลินเย่ว์ จะว่าไปแล้วก็เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่งหากเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เกรงว่าเขาคงจะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนตายจริง ๆแล้วเนี่ยนเนี่ยนล่ะ?หากหลินเย่ว์คุกเข่าอยู่ตรงนี้นานเข้า จนถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป นางจะใจอ่อนไหม?เซียวเหอจะไม่รู้ทันความคิดของเซียวเหิงได้อย่างไร คิ้วขมวดเป็นปมทันที “ที่พวกเจ้าทำกันเช่นนี้ ก็แค่ทำให้นางไม่กล้าออกจากห้องอีกเลยก็เท่านั้น”ขณะพูด เซียวเหอก็หันไปมองที่มือขวาของหลินเย่ว์ “คุณชายหลิน มือของท่าน…”“ไม่เป็นไร” หลินเย่ว์ขัดขึ้นก่อนที่เซียวเหอจะพูดจบ “พวกท่านไปเถอะ ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไร หากพวกท่านจะไล่ข้าออกไปให้ได้ ข้าก็จะไปคุกเข่าอยู่หน้าจวนแทน แต่คุกเข่าข้างนอกคงไม่ดี หากคนภายนอกเห็นเข้า อาจจะพูดถึงเนี่ยนเนี่ยนในทางไม่ดีได้”ดังนั้น เขาจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครไล่เขาไปได้!ฟังถ้อยคำของหลินเย่ว์ เซียวเหอก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจจากนั้นก็หันไปมองเซียวเหิง “แล้วเจ้าเล่า? จะไปหรือไม่?”เซียวเหิงมองหลินเย่ว์แวบหนึ่งเขาคิดเพียงว่า หากเขาอยู่ต่อ เกรงว่าเนี่ยนเนี่ยนอาจจะพาลเอาคววามโกรธที่มีต่อหลินเย่ว์มาลงที่เขาด้วยจึงเอ่ยเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ขอใ
เห็นท่านโหวหลินประคองฮูหยินหลินจากไป เฉียวเนี่ยนจึงค่อยถอนหายใจออกมายาวหนึ่งเฮือกแต่แล้วก็ได้ยินเสียงเซียวเหิงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “หลินเย่ว์ เจ้ายังยืนเหม่ออยู่ทำไม?”เฉียวเนี่ยนจึงสังเกตเห็นว่า หลินเย่ว์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปนางมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก แล้วก็เห็นว่าหลินเย่ว์เองก็มองมาทางนาง ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้นคิ้วของเฉียวเนี่ยนขมวดเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่น แต่กลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวเซียวเหอเองก็กังวลจนต้องขมวดคิ้ว มองเฉียวเนี่ยนด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าสีหน้าของเฉียวเนี่ยนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จึงค่อยโล่งใจลงบ้างในหัวกลับคิดถึงคำพูดของนางที่เคยกล่าวไว้เมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านเหอวาน ก็อดรู้สึกเศร้าลึก ๆ ในใจไม่ได้นางไม่ควรกลับมาเลยจริง ๆแต่เซียวเหิงกลับเดินขึ้นไปคว้าคอเสื้อหลินเย่ว์ไว้ “เจ้าจะก่อเรื่องอะไรอีก? ไม่อายผู้คนบ้างหรือ? รีบไสหัวไปซะ!”แต่หลินเย่ว์กลับผลักเซียวเหิงออก “ไม่ต้องเจ้ามายุ่ง!”เขาจะต้องคุกเข่า!เมื่อครู่แม้ท่านแม่จะความจำเสื่อม แต่เนี่ยนเนี่ยนก็ยังไม่มีท่าทีอ่อนใจแม้แต่น้อยเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตนควรจะทำเช่นไรอีก
“ฮูหยินหลิน”นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาเพียงคำเดียว ก็ทำให้ฮูหยินหลินชะงักนิ่งอยู่กับที่ฮูหยินหลินหันกลับมามองเฉียวเนี่ยนด้วยความประหลาดใจ ในนัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวนางเสียงสั่นถามออกมาโดยไม่ทันยั้งใจ “เจ้า เจ้ากล่าวเรียกข้าว่าอะไรนะ?”“เนี่ยนเนี่ยน!” ท่านโหวหลินเอ่ยปรามเสียงต่ำ เป็นการเตือนเฉียวเนี่ยนว่าอย่าพูดจาทำร้ายจิตใจฮูหยินหลินแต่เฉียวเนี่ยนก้มมองมือตนนั้นที่ถูกจับไว้แน่น คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเป็นปมจะไม่พูดออกไปหรือ?จะยอมให้ฮูหยินหลินพานางไปหรือ?บาดแผลทั้งหมดที่พวกเขาก่อไว้ ทั้งร่างกายและจิตใจ บัดนี้แค่ข้ออ้างว่า ‘ความจำเสื่อม’ ก็ลบล้างได้แล้วหรือ?นางจึงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาเฉียวเนี่ยนค่อย ๆ แกะมือนั้นออกจากตัวเอง “ข้าตัดขาดจากจวนโหวมานานแล้ว ฮูหยินหลิน บัดนี้ท่านมีเพียงลูกสาวคนเดียว นามว่าหลินยวน ส่วนข้าไม่ใช่หลินเนี่ยน ข้าแซ่เฉียว”บางเรื่อง ต่อให้ความจำเสื่อม ฮูหยินหลินก็น่าจะจำได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินหลินถอยหลังไปสามก้าวในทันทีท่านโหวหลินรีบเข้าไปพยุงด้วยความร้อนรน กลัวว่านางจะล้มลงอีกน้ำตาชายชราไหลริน“เจ้าจะหล
"ฮูหยิน!" ท่านโหวหลินอุทานเสียงดัง รีบพุ่งตัวเข้าไปหาฮูหยินหลินทันทีหลินเย่ว์เองก็ตกใจ รีบวิ่งเข้ามาประคองฮูหยินหลินไว้ "ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้าง?"ฮูหยินหลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นเลือดสด ๆ บนแขนของตนเอง กลับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงท่านโหวหลินตกใจอย่างหนัก น้ำตาร่วงพรู "ฮูหยิน! อย่าทำให้ข้าตกใจนะ!"เฉียวเนี่ยนเองก็ตกตะลึงแม้ในใจจะเกลียดชังคนตระกูลหลินเพียงใดแต่หากต้องเห็นฮูหยินหลินตายลงต่อหน้าต่อตา นางก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางนิ่งเฉยได้สิบห้าปีที่ผ่านมา ทิ้งร่องรอยไว้ในใจนางเกินกว่าจะลบเลือนได้...ในตอนนั้นเอง เซียวเหอกับเซียวเหิงก็บุกเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกันทั้งสองได้ข่าวว่าท่านโหวหลินพาคนมาลักพาตัวถึงเรือนเล็ก จึงไม่ทันแม้แต่จะได้กินข้าว รีบพุ่งมาที่นี่ทันทีไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ทั้งคู่คิดว่าฮูหยินหลินได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่นานนัก ฮูหยินหลินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่หันมามองหน้าท่านโหวหลิน แล้วค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังหลินเย่ว์ คล้ายกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ถามขึ้นด้วยความงุนงง "พวกเจ้าร้องไห้กันทำไม?"หลินเย่ว์ยังจับต้นชนป
เขารู้ดีว่าเซียวเหิงไปแล้ว แต่ทิ้งคนไว้เฝ้าเรือนเล็กนี้หลายคน พอรู้ข่าว เขาก็รีบรวบรวมคนของตนเองแล้วบุกมาทันทีเมื่อครั้งก่อน ก็เพราะเนี่ยนเนี่ยนถูกเซียวเหิงกักขังไว้จนตกแม่น้ำฉางหยาง เกือบตายไปแล้วรอบหนึ่งครั้งนี้ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก!ขณะพูด ท่านโหวหลินก็เอื้อมมือจะคว้าเฉียวเนี่ยนอีกครั้ง แต่คราวนี้เฉียวเนี่ยนถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว หลบพ้นการคว้าของเขามือที่คว้าไม่โดนใครทำเอาท่านโหวหลินชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ยังคงพุ่งเข้าหานางอีก "รีบหน่อย! เดี๋ยวเซียวเหิงก็มาถึงแล้ว!"ไม่ใช่เพราะเขากลัวเซียวเหิง แต่หากเจ้าหมอนั่นมาถึง เขาจะพาเนี่ยนเนี่ยนออกไปได้ยากขึ้นมากเฉียวเนี่ยนยังคงถอยห่างออกไปอีกก้าวในตอนนั้นเอง ทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ก็พากันกรูเข้ามา ล้อมท่านโหวหลินไว้แน่นหนาท่านโหวหลินเห็นเฉียวเนี่ยนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเย็นชา จึงตะลึงไป ริมตาแดงก่ำ "เนี่ยนเนี่ยน นี่พ่อเองนะ! เจ้า... เจ้าไม่นับข้าเป็นพ่อแล้วหรือ? ข้าคือพ่อแท้ ๆ ของเจ้านะ!"เสียงอันสั่นเครือของคนชราทำให้เฉียวเนี่ยนกำหมัดแน่น แต่สีหน้ายังคงเฉยชา "ท่านโหวหลินคงลืมไปแล้วกระมัง ว่าพวก
คงเพราะรู้ว่าในวันนี้เฉียวเนี่ยนถูกหลินเย่ว์ทำให้โมโห เซียวเหิงจึงไม่ได้อยู่ที่เรือนเล็กนี้ต่อให้นางรำคาญใจแต่เขาก็ทิ้งคนไว้หลายคน อ้างว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง ทว่าในสายตาของเฉียวเนี่ยน นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการกักขังยามค่ำค่อย ๆ แผ่ปกคลุม หนิงซวงจัดเตรียมอาหารมากมายให้เฉียวเนี่ยน เต็มโต๊ะจนดูน่ากินเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงแล้วยิ้ม "ห่างกันแค่เดือนกว่า ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเก่งจนเหมือนเทพแห่งครัวแล้ว!"หนิงซวงก็ยิ้มตาม พลางคีบไส้ใหญ่หมูใส่ในถ้วยของเฉียวเนี่ยน "คุณหนูลองชิมดูสิเจ้าคะ รสชาติพัฒนาไหม คล้ายกับที่รองแม่ทัพจิ่งทำไหม?"เฉียวเนี่ยนคีบขึ้นมาลองชิม รสชาติคุ้นเคยทำให้นางนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ มากมายรอยยิ้มของนางแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ก็รวบรวมกำลังใจยิ้มให้หนิงซวง "ศิษย์ล้ำหน้าอาจารย์แล้ว"หนิงซวงยิ่งยิ้มกว้างไม่หยุด คีบกับข้าวอื่น ๆ ใส่ถ้วยเฉียวเนี่ยนอีก "คุณหนูลองอันนี้ดูเจ้าค่ะ อร่อยมาก แล้วก็อันนี้ ของถนัดข้าเลย!"ไม่นาน ถ้วยข้าวตรงหน้าเฉียวเนี่ยนก็สูงราวภูเขาลูกน้อย ๆเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงอย่างจนใจ "คุณหนูของเจ้ามีแค่ปากเดียว จะกินหมดได้อย่างไร ไปตามหวังเ