ในขณะที่พายุกามภายในเรือนรับรองกำลังดำเนินไปอย่างร้อนแรง บรรยากาศภายในงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกรื่นเริง จนกระทั่งจ้าวกุ้ยอินที่กำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับหลี่จื่อเหยาอยู่ดีๆ ก็มีสีหน้าซีดเผือด นางยกมือขึ้นกุมขมับ พลางส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา
“โอ๊ย...ข้ารู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก”
“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่” หลี่จื่อเหยาตกใจร้องถามออกมา
“เหยาเอ๋อร์ ท่านหญิงเป็นอะไร” มู่หรงอี้หวายผู้เป็นสามีที่คุยอยู่กับมู่หยงฉีต้องหันมามองพวกนาง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดคุยกันอยู่ดีๆ ท่านหญิงก็เป็นเช่นนี้”
“ท่านแม่ทัพไป๋หู่ ท่านหญิงเหมือนจะไม่สบายนะ” มู่หรงอี้หวายเอ่ยตอนที่เยี่ยนหยางจงเดินกลับเข้ามาในงานพร้อมหวงเชียนเล่อ
“อินเอ๋อร์ปวดหัวอีกแล้วหรือ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้มางานกลางคืนก็ไม่เชื่อ” เยี่ยนหยางจงที่ออกไปคุยเรื่องด่วนกับหวงเชียนเล่อรีบปรี่เข้ามาดึงภรรยาสู่อ้อมอก สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดประมาณ ไม่เหลือเค้าดุดันของแม่ทัพหนุ่มที่สังหารผู
ทว่ากัวรั่วชิงหายินยอมไม่ นางหันไปหาทุกคน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าอาบน้ำตา“ทุกท่าน ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ข้าแต่งเข้าจวนจวงเซียนป๋อมาครึ่งปี โจวจื่อหมิงทิ้งข้าให้อยู่ในห้องหอเพียงลำพัง เท่านั้นไม่พอ เขายังรับอนุเข้าจวนทันทีโดยไม่สนใจธรรมเนียม และที่สำคัญที่สุดเขากับข้าไม่เคยร่วมหอกันแม้แต่ครั้งเดียว ยังไงอีกไม่นานเขาต้องหย่าข้าด้วยเหตุผลไร้ทายาทอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ถูกเปิดโปงเสียก่อน หากข้าไม่ขอหย่าขาดจากเขาโดยไร้มลทินในวันนี้ วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าข้าต้องพบกับความอัปยศแบบใดอีก”คำพูดของกัวรั่วชิงทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจและมองไปที่กัวจิ้งอีและโจวจื่อหมิงด้วยความรังเกียจ“โธ่…ช่างน่าสงสารนางยิ่งนัก” ฮูหยินท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเห็นใจ “แต่งเข้ามาอยู่ในตระกูลจวงตั้งครึ่งปีแล้ว เหตุใดโจวจื่อหมิงถึงได้กระทำต่อนางอย่างโหดร้ายเยี่ยงนี้”“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!” หวงเชียนเล่อได้โอกาสรีบสบถออกมา “เป็นบุรุษที่ไร้เกียรติและไร้คุณธร
ครานี้กัวจิ้งอีพลันหันไปมองไปยังโจวจื่อหมิงด้วยความสงสัย และไม่ยินยอม “ต้องเป็นเจ้าล่อลวงข้า! เจ้าทำลายชีวิตข้า เจ้าทำให้ข้าไม่ได้แต่งเข้าจวนอ๋อง เจ้ามันไอ้คนสารเลว”โจวจื่อหมิงมองกัวจิ้งอีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่นางหมายให้เขากลายเป็นคนร้ายที่ฉุดคร่าพรหมจรรย์สตรีอย่างนั้นหรือ นางไม่คิดเลยหรือไรว่าเขาอาจจะต้องคดี ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้จักกัวจิ้งอีที่แท้จริงเลย สิ้นความคิดเขาก็โกรธเคืองขึ้นมาอย่างแท้จริง“กัวจิ้งอีทำไมพูดเหมือนข้าบังคับข่มขืนใจเจ้าเล่า เจ้านอนรอบนเตียงพร้อมทอดกายให้ข้าแท้ๆ พอถูกจับได้ก็จะให้ข้ากลายเป็นชายโฉดที่ข่มขืนใจเจ้าหรือ”“เจ้าโกหก ข้าจะทำอย่างนั้นไปทำไมในเมื่อข้าไม่ได้อยากเป็นแค่ฮูหยินซื่อจื่ออย่างเจ้า”โจวจื่อหมิงพลันสะอึก รู้สึกทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวกัวจิ้งอีอย่างถึงที่สุด เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองตาบอดยิ่งนักที่เคยมอบความรักให้คนอย่างนางเขาพลันคุกเข่าลง แล้วกวาดสายตามองแขกเหรื่อด้วยแววตาจริงจัง“ทุกท่านได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย หากข
ภายในโถงรับรองของจวนจวงเซียงป๋อที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อซึ่งกำลังนั่งประจำที่อย่างรื่นเริง เสียงดนตรีบรรเลงคลอเคล้ากับเสียงสนทนาของผู้คนที่มาร่วมงาน ขณะที่บ่าวไพร่ต่างทยอยนำอาหารรสเลิศและสุรามาเสิร์ฟให้แก่ผู้มาเยือนในขณะนั้นเอง เสียงร้องโวยวายของสาวใช้ผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” ทุกคนในโถงต่างหันไปมองเป็นตาเดียวและเห็นกัวลี่ลี่ในชุดสาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในงาน“เกิดอะไรขึ้น! กล้ามาเอะอะโวยวายในงานวันเกิดมารดาข้า เจ้าอยากโดนโบยหรือไร” โจวลี่ย่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“คุณหนูเล็กเจ้าคะ” กัวลี่ลี่หันไปตอบโจวลี่ย่าด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ทุกคนได้ยิน “เกิดเรื่องกับซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ คือว่าตอนนี้ ซื่อจือ... ซื่อจื่อของเรากับ... กับคุณหนูกัวจิ้งอี... อยู่ด้วยกันบนเตียงที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ” คำพูดของกัวลี่ลี่ทำเอาทุกคนในงานตกตะลึงจนนิ่งงันเหลียงฝานซีถึงกับตัวแข็งทื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้”ขณะนั้นเอง กัวไห่เจินและเฉ
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงทันที ไม่มีใครส่งเสียงใดๆ ราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าของพวกเขานั้นช่างน่าตกตะลึงยิ่งกว่าสิ่งใด เยี่ยนหยางจงผู้เกรียงไกรที่ผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนต่างนิ่งงันด้วยความตกใจ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกให้เห็นมู่หยงฉีเองตกตะลึงจนตาค้าง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บัดนี้กลับมีสีหน้าเย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขามองนางประหนึ่งจะประนามว่ากล้าทำเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินใหญ่จวนจวงเซียงป๋อกับบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเขยได้อย่างไร“ฮูหยินทำใจดีๆ ไว้ก่อน” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยเสียงเบา เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก กัวรั่วชิงยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง ดวงตากลมโตที่เคยดูสงบไร้คลื่นลม บัดนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของนางขาวซีดเสียยิ่งกว่าคนป่วย และร่างเล็กๆ ที่สั่นเทาของนางนั้นทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปมองภาพชายหญิงบนเตียงใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกขยะแขยงทันใดนั้นเอง มู่หยงฉีก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ใครก็ได้ รีบจุดไฟ!&rd
ในขณะที่พายุกามภายในเรือนรับรองกำลังดำเนินไปอย่างร้อนแรง บรรยากาศภายในงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกรื่นเริง จนกระทั่งจ้าวกุ้ยอินที่กำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับหลี่จื่อเหยาอยู่ดีๆ ก็มีสีหน้าซีดเผือด นางยกมือขึ้นกุมขมับ พลางส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา“โอ๊ย...ข้ารู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก”“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่” หลี่จื่อเหยาตกใจร้องถามออกมา “เหยาเอ๋อร์ ท่านหญิงเป็นอะไร” มู่หรงอี้หวายผู้เป็นสามีที่คุยอยู่กับมู่หยงฉีต้องหันมามองพวกนาง“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดคุยกันอยู่ดีๆ ท่านหญิงก็เป็นเช่นนี้”“ท่านแม่ทัพไป๋หู่ ท่านหญิงเหมือนจะไม่สบายนะ” มู่หรงอี้หวายเอ่ยตอนที่เยี่ยนหยางจงเดินกลับเข้ามาในงานพร้อมหวงเชียนเล่อ“อินเอ๋อร์ปวดหัวอีกแล้วหรือ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้มางานกลางคืนก็ไม่เชื่อ” เยี่ยนหยางจงที่ออกไปคุยเรื่องด่วนกับหวงเชียนเล่อรีบปรี่เข้ามาดึงภรรยาสู่อ้อมอก สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดประมาณ ไม่เหลือเค้าดุดันของแม่ทัพหนุ่มที่สังหารผู
ภายในเรือนรับรองหลังเก่าที่อยู่ลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง แสงสลัวจากโคมไฟที่ถูกจุดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำสาดส่องเข้ามา ทำให้บรรยากาศดูสลัวและเงียบสงบยิ่งนัก กัวจิ้งอีเดินเข้ามาด้วยใจที่เต้นรัว บนโต๊ะกลางห้องมีจดหมายฉบับหนึ่งและผ้าแพรสีขาววางอยู่ นางหยิบจดหมายขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ภายในมีข้อความสั้นๆ ว่า‘ผูกผ้าแพรปิดตาเจ้าไว้ และขึ้นไปนอนเงียบๆ บนเตียง ข้าจะตามไปหาเจ้าที่นั่นในอีกครู่เดียว กฎคือ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเจ้าห้ามเอ่ยชื่อของข้าโดยเด็ดขาด หลังจากอ่านแล้ว ให้เผาจดหมายฉบับนี้ทิ้งทันที’แม้ว่าคำสั่งในจดหมายจะดูแปลกประหลาด แต่สำหรับมู่หยงฉีผู้ได้ชื่อว่าเป็นอ๋องเสเพลอันดับหนึ่งของแคว้นแล้ว กัวจิ้งอีกลับคิดว่านี่อาจจะเป็นรสนิยมเฉพาะตัวของเขาที่นางไม่อาจคาดเดาได้กัวจิ้งอีทำตามคำสั่งในจดหมายอย่างเคร่งครัด หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่านางกำลังจะละเล่นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต นางผูกผ้าแพรปิดตาตัวเองและเดินไปขึ้นเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงกว่าเดิม นางสูดหายใจเข้าลึก