เพราะถูกใส่ร้ายจนต้องโทษอาญา จึงทำให้ตระกูลมู่หรงถูกลงโทษประหารทั้งตระกูล แต่ทว่า 'มู่หรงเจวี๋ย' อดีตแม่ทัพผู้เก่งกาจ กลับหนีรอดออกมาได้ เพราะความโกรธแค้นและต้องการเอาคืนตระกูลหนิงที่หักหลังตระกูลมู่หรง เขาจึงเร่ร่อนจนได้พบกับกลุ่มโจรป่าบนหุบเขา ด้วยความสามารถที่เก่งกาจจึงทำให้เขาล้มหัวหน้าโจรป่าคนเก่าได้และตั้งตนเป็นหัวหน้าโจรแทน เขาวางแผนลักพาตัวบุตรสาวของท่านรองแม่ทัพหนิงมาที่รังโจร เพื่อทรมานนางให้สาแก่ใจ สาสมกับที่ตระกูลหนิงทำกับตระกูลมู่หรงเอาไว้ จากนั้นค่อยตัดหัวนางส่งกลับไปที่จวนตระกูลหนิงเสีย! แต่ทว่าเหตุใดเขาจึงได้สตรีน้อยช่างเถียง แถมยังยั่วประสาทเขามาแทนกันเล่า และเมื่อได้ใกล้ชิดนางมากขึ้น เขากลับได้ล่วงรู้ถึงความลับที่แสนชั่วร้ายที่คนตระกูลหนิงซุกซ่อนเอาไว้ อีกทั้งเมื่อวันเวลาผ่านไป เขากับนางกลับเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย ท่ามกลางความรักความแค้นนี้ เขากับนางจะฝ่าฟันมันไปได้หรือไม่
もっと見るเมืองหลวงไท่เหลียง
รัชศก เฉวียน ปีที่ 50
ฮ่องเต้นามว่าหยางเฉวียน
จวนตระกูลมู่หรง
เสียงกรีดร้องโหยหวนปะปนผสมผสานมากับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งจวน ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาและสยดสยองในคราเดียวกัน เหล่าทหารต่างเงื้อดาบขึ้นสูง ก่อนจะฟาดฟันลงไปบนลำคอของอดีตแม่ทัพใหญ่ มู่หรงฟัง ตามมาด้วยภรรยาของเขา และมู่หรงหลินบุตรสาววัยเพียงสิบห้าปี อีกทั้งเหล่าบ่าวไพร่ก็ถูกขายทิ้งออกไปจากจวนจนหมด
"ตามหามู่หรงเจวี๋ยให้พบ!!!"
สิ้นเสียงพูดของ ท่านรองแม่ทัพหนิง เหล่าทหารต่างพากันออกตามหามู่หรงเจวี๋ยจนแทบจะพลิกแผ่นดิน
ยามนี้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงแล้ว ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน ดวงตาคมจ้องมองลงไปที่พื้นดินเบื้องล่าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงไท่เหลียง และจวนตระกูลมู่หรงของเขา
"ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ นายท่านและฮูหยินใหญ่ และคุณหนู ถูกสังหารสิ้นแล้วขอรับ"
ไม่มีเสียงตอบรับจากมู่หรงเจวี๋ย เขากำมือแน่น หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า หลั่งรินลงมาเป็นสาย เขามิเคยร้องไห้หรือเสียน้ำตาให้กับสิ่งใดแม้แต่น้อย แต่ในครั้งนี้มันเกินที่เขาจะรับไหว
จวนตระกูลมู่หรงเป็นจวนแม่ทัพที่สร้างความดีความชอบ ต่อสู้ปกป้องบ้านเมืองมาหลายชั่วอายุคน ท่านพ่อของเขาเป็นอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารที่เก่งกาจที่สุด เมื่อท่านแก่ชราลง เขาจึงสานต่อเจตนารมณ์ของท่านพ่อ ด้วยการเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่เก่งกาจไม่แพ้บิดาของตนเลยแม้แต่น้อย
ท่านแม่เป็นสตรีที่งดงามเหนือสตรีใดในใต้หล้า แม้จะเป็นเพียงสาวบ้านป่า แต่ท่านพ่อก็รักท่านแม่เพียงผู้เดียว อีกทั้งเขายังมีน้องสาวนามว่า มู่หรงหลิน นางกำลังจะได้เป็นว่าที่ไท่จื่อเฟยขององค์รัชทายาท ตระกูลมู่หรงดูเหมือนจะเพียบพร้อมไปด้วยอำนาจและบารมีเหนือจวนตระกูลอื่น จนกระทั่งถูกใส่ร้ายว่าตระกูลมู่หรงคิดก่อการกบฏ!!!
เมื่อปลายฤดูหนาวที่ผ่านมา เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น แคว้นม่อหยวนต้องการโจมตีเมืองหลวงไท่เหลียง เพื่อหวังแย่งชิงอำนาจและครอบครองตำแหน่งฮ่องเต้ไว้ในกำมือ เขากับท่านพ่อมุ่งหน้าสู้รบกับศัตรูอย่างไม่คิดชีวิต แม้ท่านพ่อจะชราลงไปไม่น้อยแล้วแต่ฝีมือกลับเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ผู้ใดจะคาดคิดเล่า เมื่อสงครามจบลง ตระกูลมู่หรงกลับกลายเป็นกบฏไปเสียแล้ว ด้วยเพราะรองแม่ทัพหนิงกราบทูลต่อฝ่าบาท ว่าพบหลักฐานที่ท่านพ่อลอบส่งเสบียงและอาหารให้แก่ศัตรู โดยมีหัวหน้าทหารคนสนิทเป็นพยานปากสำคัญ
แท้จริงแล้วเรื่องราวมิใช่เช่นที่รองแม่ทัพหนิงกล่าวหา!!!
ในวันนั้นเขาออกไปลาดตระเวนรอบ ๆ ค่ายทหาร ท่านพ่อได้รับจดหมายที่หัวหน้าทหารคนสนิทผู้นั้นส่งมาให้ บอกว่าทหารแคว้นไท่เหลียงถูกจับตัวเป็นเชลยศึกอยู่ที่แคว้นม่อหยวนยามนี้ต้องการความช่วยเหลือจากท่านพ่ออย่างเร่งด่วน ท่านอ๋องม่อหยวนต้องการเสบียงอาหารจำนวนมากอีกทั้งตั๋วเงินเพื่อแลกกับชีวิตของทหารแคว้นไท่เหลียงที่ถูกจับเป็นเชลยศึกเอาไว้ โดยกำหนดวันเวลาและสถานที่นัดพบกันอย่างชัดเจน ด้วยความที่ท่านพ่อรักพวกพ้องพี่น้องร่วมรบเป็นอย่างมาก จึงมิได้สงสัยหรือเคลือบแคลงสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีพระราชโองการจากฝ่าบาท ว่าให้สั่งประหารคนตระกูลมู่หรงทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากบังอาจสมคบคิดกับศัตรู นำเสบียงของใช้และตั๋วเงินลอบส่งให้ศัตรูถือเป็นโทษหนัก นับว่าตั้งตนเป็นกบฏ
ท่านพ่อพยายามกราบทูลต่อฝ่าบาทว่ามิได้รู้เห็นและไม่เคยคิดก่อกบฏ ที่ทำไปเพราะต้องการช่วยเหลือพวกพ้องที่ตกเป็นเชลยศึก แต่ฝ่าบาทกลับไม่ยอมฟังแม้แต่น้อย อีกทั้งยังหูเบาเชื่อลมปากของหนิงฮองเฮาจนไม่ลืมหูลืมตา และยังต่อว่าท่านพ่อว่าเป็นคนโป้ปด เมื่อส่งคนไปตรวจสอบกลับไม่พบกับเชลยตามที่ท่านพ่อกล่าวมาแม้แต่คนเดียว เรื่องทั้งหมดเป็นท่านพ่อที่หลอกลวงเบื้องสูง ให้ประหารทิ้งสถานเดียว
แม้แต่หัวหน้าทหารคนสนิทผู้นั้นก็บอกว่าไม่ได้เป็นคนส่งจดหมายหรือมาแจ้งเรื่องเชลยศึกกับท่านพ่อเลยสักฉบับเดียว เขาถูกท่านพ่อใส่ร้าย ท่านพ่ออับจนหนทางจะแก้ตัว จึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างฝืนทน
ท้ายที่สุดความดีความชอบที่ตระกูลมู่หรงสั่งสมมาก็เป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านไป ก่อนจะต้องโทษประหารเพียงวันเดียว ท่านพ่อสั่งให้เขาหนีไปเสีย อย่างไรเขาจะต้องรอด เดิมทีเขาคิดจะพามู่หรงหลินหนีไปด้วยกัน แต่นางยืนกรานที่จะไม่ไปกับเขา ท้ายที่สุดแล้วจึงเหลือเขาเพียงคนเดียวที่รอดตายจากโทษประหารครั้งนี้มาได้
เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะตระกูลหนิง รองแม่ทัพหนิงหยวนต้องการแย่งชิงอำนาจทางการทหารจากตระกูลมู่หรงเอาไว้ในมือ และต้องการส่งบุตรสาว นามว่า หนิงเซียน ให้อภิเษกเป็นไท่จื่อเฟยขององค์รัชทายาท ต้องการเป็นใหญ่ในเมืองหลวงไท่เหลียง จึงคิดแผนการต่ำช้าเช่นนี้ขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรสองตระกูลแม้จะดูเหมือนเป็นมิตรต่อกัน ทว่ากลับซ่อนคลื่นใต้น้ำเอาไว้ ยิ่งได้เห็นแววตาเย้ยหยันดูแคลนของรองแม่ทัพหนิงหยวนความเกลียดชังในใจของเขาก็ยิ่งทวีคูณมหาศาล
หึ!!! ถึงขนาดทูลขอต่อฝ่าบาทให้มาคุมการประหารด้วยตนเอง คงจะกลัวคนตระกูลมู่หรงหนีรอดไปได้และกลับมาบั่นคอสิท่า!!!
ไหนจะหัวหน้าทหารที่สารเลวผู้นั้นอีก!!! ทั้งที่ท่านพ่อช่วยเหลือมันทุกอย่าง ให้มันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพแต่ทว่ามันกลับทรยศหักหลังท่านพ่อได้อย่างเลือดเย็น!
หากวันนั้นเขาอยู่กับท่านพ่อ เรื่องราวมันอาจจะไม่เป็นเช่นนี้!!! ตระกูลมู่หรงคงไม่พบกับจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนี้เป็นแน่!!!
"ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ"
"ต่อไปนี้ข้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว เจ้าอย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก ยามนี้ตระกูลมู่หรงจบสิ้นแล้ว เจ้าจงไปตามทางของเจ้าเถิด"
"ไม่ขอรับ!!! บ่าวจะติดตามนายน้อยจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ"
มู่หรงเจวี๋ยจ้องมอง หานอวี้ บ่าวรับใช้คนสนิทของเขาด้วยแววตาที่ซาบซึ้ง ในยามยากเขาก็มีเพียงหานอวี้ที่ไม่คิดทอดทิ้งเขาไปที่ใด
"ไม่ใช่มีแค่บ่าวนะขอรับ องครักษ์เงาของนายท่านใหญ่จะคอยคุ้มกันนายน้อยไปทุกที่"
หานอวี้มองป้ายหยกสั่งการที่หานอวี้มอบให้ด้วยดวงตาแดงก่ำ นี่คือองครักษ์เงาฝีมือดีที่ท่านพ่อฝึกฝนมาเองกับมือ
"ท่านพ่อมอบให้เจ้ามาหรือ?"
"ขอรับ นายท่านใหญ่กำชับบ่าวเอาไว้ ว่าจะต้องส่งให้ถึงมือนายน้อยให้ได้ขอรับ"
มู่หรงเจวี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย เขากำป้ายหยกสั่งการเอาไว้ในมือ พลางครุ่นคิดในใจ
นี่คงเป็นเจตนารมณ์ของท่านพ่อที่ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนตระกูลมู่หรงสินะ?
เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวังขอรับ!!!
"หานอวี้พวกเราออกเดินทางกันเถิด"
"นายน้อยจะไปที่ใดหรือขอรับ"
"ออกเดินทางตามทางเท้านี้ มุ่งหน้าขึ้นไปบนหุบเขาเหลียนหยาง"
หานอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
"นายน้อย เขาเหลียนหยาง!!! มันคือที่อยู่ของรังโจรนะขอรับ!!!"
"ก็รังโจรนั่นละ ที่ข้าจะไป!!!"
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ
コメント