“แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด
“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว
“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ
“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้าแล้ว คุณหนูรีบไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูจะต้องไปเปิดร้านซิ่งฟู่นะเจ้าคะ” เยว่ชิงได้ยินเสียงเรียกของแม่นมลี่ก็รีบเก็บดาบแล้วเข้าไปอาบน้ำอาบท่าทันที
วันนี้เป็นวันเปิดร้านซิ่งฟู่วันแรก หลังจากที่ช่างไม้เข้าไปปรับปรุงโรงเตี๊ยมเก่าให้กลายเป็นเหลาอาหารสุดหรู เยว่ชิงและครอบครัวก็ใช้เวลาร่วมหลายเดือนในการจัดเตรียมสิ่งของมากมาย เพราะพี่ชายของนางต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าควรเพิ่มการละเล่นต่างๆ เข้ามาอีก ทำให้ตอนนี้นอกจากจะมีการโยนห่วงแล้ว ยังมีการละเล่นกลิ้งลูกหนังซึ่งคล้ายคลึงกับการโยนโบว์ลิ่ง กระดานหมาก บันไดงู และต่อแต้มที่คล้ายกับการเล่นโดมิโน่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้เวลาร่วมหนึ่งหนาวกว่าจะทำการเปิดร้านซิ่งฟู่ที่เป็นทั้งเหลาอาหาร และยังมีการละเล่นอีกมากมาย
“พร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามภรรยาและครอบครัวของตนเอง
“พร้อมแล้วขอรับ” / “พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบรับจากทุกคน ลู่หวังเหว่ยจึงได้ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้แขวนป้ายชื่อหน้าร้านทันที
ครอบครัวสกุลลู่ต่างยืนอยู่หน้าร้านเฝ้ามองร้านซิ่งฟู่ที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา กว่าหนึ่งหนาวที่ผ่านมาทุกคนในครอบครัวสกุลลู่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อเก็บออมเงินมากกว่ายี่สิบตำลึงทองมาใช้ในการปรับปรุงร้านซิ่งฟู่จนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วทำเอาทุกคนอดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปริ่มมิได้
“ร้านซิ่งฟู่…พ่อภูมิใจในตัวพวกเจ้าทุกคน” ลู่หวังเหล่ยหันมายิ้มให้กับบุตรทั้งสี่คนของเขา
“เป็นเพราะมีท่านพ่อกับท่านแม่ และทุกๆ คนในสกุลลู่คอยช่วยเหลือ เราจึงเปิดร้านซิ่งฟู่ได้ขอรับ” เฉินกงเอ่ยออกไปตามที่คิด
“เช่นนั้นก็เข้าไปช่วยกันทำงานเถิด พ่อเองก็ต้องไปท้องพระโรงแล้ว ขอให้ร้านซิ่งฟู่ของพวกเจ้าเจริญรุ่งเรือง” ซูเมิ่งและบุตรทั้งสี่ยืนส่งลู่หวังเหล่ยขึ้นรถม้าเพื่อไปทำงาน จากนั้นจึงได้เข้าร้านเพื่อช่วยกันทำงาน จากที่เยว่ชิงเคยคิดว่าจะจ้างคนเข้ามาทำงานประจำอยู่ในร้าน กลับต้องปรับเปลี่ยนแผนการเนื่องจากเมื่อปรึกษาพี่ชายและบิดามารดาแล้ว พบว่าเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะจ้างคน ท่านพ่อจึงได้ให้คนในเรือนออกมาช่วยงานที่ร้านก่อนในระยะแรก หากว่าร้านซิ่งฟู่เริ่มมีรายได้เข้ามา ค่อยปรับเปลี่ยนไปจ้างคนมาเพิ่ม
“เชิญด้านในก่อนเจ้าค่ะ ร้านซิ่งฟู่ของเรามีทั้งอาหารเลิศรสและสุราชั้นดี ทั้งภายในร้านยังมีการละเล่นมากมาย หากได้แต้มตามที่กำหนดจะมีรางวัลให้ทุกท่านด้วยนะเจ้าคะ” เยว่ชิงและหมิงยู่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าร้าน ทั้งสองใส่หน้ากากลวดลายงดงามปิดบังใบหน้า ด้วยเยว่ชิงต้องการที่จะหาจุดขายของร้านให้มีผู้คนจดจำได้ นางจึงเลือกที่จะให้เสี่ยวเอ้อ รวมถึงพ่อครัวแม่ครัวทุกคนใส่หน้ากากยามออกมาดูแลลูกค้า
“ร้านเปิดใหม่หรือนี่ น่าสนใจยิ่ง”
“ร้านเราพึ่งเปิดวันนี้วันแรกขอรับ เชิญนายท่านเลือกที่นั่งได้เลยขอรับ” หมิงยู่พาลูกค้าคนแรกของร้านไปเลือกที่นั่งและเรียกเสี่ยวเอ้อให้มาดูแล
ลี่อินที่เห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว จึงเริ่มบรรเลงกู่เจิงที่เขาได้ฝึกมาร่วมปี แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก แต่ลี่อินกลับบรรเลงกู่เจิงออกมาได้อย่างไพเราะ หากว่ามีอาจารย์ช่วยสอนคงจะมีฝีมือดีจนหาผู้ใดเปรียบได้ยาก
“อืม ดีจริง อาหารและสุรารสดี ดนตรีก็ไพเราะ ทั้งยังมีการละเล่นมากมายอีก คราหลังข้าจะมาอีก”
“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน” เฉินกงยิ้มแก้มปริภายใต้หน้ากาก เขาทำหน้าที่รับเงินจากลูกค้า แม้ว่าลูกค้าคนแรกจะมิได้สั่งอาหารที่มีราคาแพง แต่ทว่าคำชื่นชมของลูกค้าผู้นี้กลับทำให้บรรดาเจ้าของร้านซิ่งฟู่มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
หลังจากที่ลูกค้าคนแรกออกไปก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ อาจจะมิได้มีมากถึง ขั้นต่อแถวรอ แต่ภายในร้านก็เหลือโต๊ะว่างเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีพวกเราสกุลลู่คงได้มีเงินทองใช้จ่ายกันไม่ขาดมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วการค้าการขายย่อมมีขึ้นมีลง หากมีโอกาสต้องรีบเก็บเกี่ยวไว้ให้ได้มากที่สุด
“ข้า…ไม่ไหวแล้วเยว่ชิง หากมิได้กินขนมตอนนี้ ข้าคงยืนต่อไปไม่ไหวเป็นแน่” หมิงยู่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง ส่งสายตาอ้อนวอนให้น้องสาวหยุดพักเพียงเท่านี้ก่อน เยว่ชิงที่เห็นสภาพของพี่ชายก็อดสงสารไม่ได้ พวกเขายืนเรียกลูกค้ามาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้จะเข้าปลายยามโหย่ว (17:00-18:59 น.) แล้ว
“พี่ใหญ่ วันนี้เราพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ คงจะไม่มีลูกค้าเข้ามาแล้ว” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ใหญ่
“ได้ พี่จะเข้าไปบอกท่านแม่และแม่นมลี่ในครัวเอง เจ้าสั่งให้บ่าวไพร่เก็บกวาดเถิด”
“เจ้าค่ะ หากสั่งการบ่าวไพร่แล้ว เยว่ชิงขอพาพี่รองออกไปซื้อขนมด้านนอกได้หรือไม่เจ้าคะ หากมิได้กินพี่รองคงจะสิ้นใจอยู่หน้าร้านเป็นแน่”
“ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย!!!”
“ฮ่าๆ ไปสิ อย่าลืมพาพี่สามของเจ้าไปด้วย ดูท่าแล้วจะไม่ไหวเช่นกัน” เยว่ชิงตอบรับพี่ใหญ่แล้วจึงพาพี่รองและพี่สามของตนออกไปซื้อถังหูลู่ในตลาดอีกฟากที่อยู่ไม่ไกล
“เอาถังหูลู่เจ็ดไม้เจ้าค่ะ” เยว่ชิงรอไม่นานก็ได้รับถังหูลู่มา นางนำถังหูลู่ใส่มือพี่รองสองไม้ พี่สามสองไม้ เหลือไว้ให้พี่ใหญ่สองไม้ ส่วนตัวนางทานเพียงหนึ่งไม้เท่านั้น
“ทานของพี่อีกหรือไม่ เหตุใดทานแค่ไม้เดียวเล่า” ลี่อินยื่นถังหูลู่ของตนให้กับน้องสาว
“พี่สามทานเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเยว่ชิงจะอวบอ้วนเหมือนพี่รอง”
“เจ้าน้องปากเสีย! วัยกำลังเติบโตเช่นข้า มิถือว่าอวบอ้วน” สามพี่น้องนั่งหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านขายถังหูลู่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น
“เจ้าเด็กขี้ขโมย เอาเงินของข้าคืนมานะ” ชายวัยกลางคนกำลังถือไม้ไล่ทุบตีเด็กหนุ่มแต่งตัวมอมแมมผู้หนึ่ง
“โอ๊ย นี่เป็นเงินข้า ท่านต่างหากที่โกงเงินค่าแรงของข้า”
“หนอยๆ เจ้าเด็กเหลือขอ กล้าใส่ร้ายข้าหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตายไปเลย” ชายวัยกลางคนผู้นั้นจับแขนเด็กหนุ่มไว้แล้วทุบตีไม่หยุด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามิมีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวว่าจะติดร่างแห เดือดร้อนไปด้วย
หึ! แต่นั่นมิใช่นิสัยของพี่น้องสกุลลู่
“เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็
“ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย
“อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี
“ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร
กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง
“โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร