Home / รักโบราณ / พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ / 10. ท่านลุงหมอกับเด็กอัจฉริยะ

Share

10. ท่านลุงหมอกับเด็กอัจฉริยะ

last update Huling Na-update: 2025-06-25 22:17:07

และที่ท่านพ่อ ท่านแม่เอ่ยไว้ว่าจะพาเยว่ชิงไปให้หมอตรวจนั้น มิได้พูดหยอกเย้ากันเท่านั้น เพราะตอนนี้เยว่ชิงกำลังนั่งหน้างออยู่ในรถม้า ทั้งที่นางควรจะได้ไปตั้งร้าน เรียกลูกค้าช่วยพี่ชาย แต่นางกลับต้องมานั่งจุมปุกอยู่ในรถม้าเพื่อเดินทางไปหาหมอ

เห้ออออ ไม่น่าเอ่ยสิ่งที่โตเกินวัยออกไปเลย

“ถึงแล้ว พวกเราลงไปกันเถิด” ลู่หวังเหล่ยมองลอดออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าถึงเรือนของท่านหมอแล้ว จึงได้หันมาบอกกับภรรยาและบุตรสาว เยว่ชิงยื่นแขนให้บิดาอุ้มลงจากรถม้าทั้งที่ยังทำหน้าบูดบึ้ง เด็กน้อยยกมือขึ้นกอดอกอย่างขัดใจ ท่าทางของบุตรสาวทำเอาลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งถึงกับส่ายหน้า

“มาถึงแล้วหรือใต้เท้าลู่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยทักใต้เท้าลู่ ดูจากท่าทางและการแต่งตัวแล้ว เยว่ชิงคิดว่าเป็นท่านหมอไม่ผิดแน่

“ขอรับท่านหมอ นี่ภรรยาและบุตรสาวข้าขอรับ” ซูเมิ่งและเยว่ชิงต่างก้มคำนับอย่างนอบน้อบ แม้เยว่ชิงจะแง่งอนท่านพ่อ ท่านแม่ แต่อย่างไรก็มิอาจทำให้สกุลลู่ขายหน้าได้

“คำนับท่านยุงหมอ”

“ฮ่าๆ นี่ข้ากลายเป็นยุงเสียแล้วหรือนี่ มาเถิดๆ ให้ยุงหมอดูหน่อยเถิดว่าเจ้าเจ็บป่วยที่ใดหรือไม่” ท่านลุงหมอเดินนำเยว่ชิง ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งไปในห้องสำหรับตรวจผู้ป่วย เดิมทีลู่หวังเหล่ยได้นำเรื่องราวของเยว่ชิงมาปรึกษาหมอผู้นี้แล้ว แต่ท่านหมอเองก็มิอาจวินิจฉัยได้ว่าเยว่ชิงเป็นอันใด จึงขอให้ลู่หวังเหล่ยพาเยว่ชิงมาให้เขาตรวจด้วยตนเอง ท่านลุงหมอตรวจชีพจรตรงข้อมือของเยว่ชิงสักพักก็ปล่อยมือ

“เยว่ชิงใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ” จะมาไม้ไหนนะ แล้วนางควรตอบอย่างตรงไปตรงมาหรือว่าจะแกล้งทำเป็นเด็กน้อยดี

“ท่านพ่อของเยว่ชิงเคยบอกลุงว่า เยว่ชิงพูดเก่งมากเลยหรือ”

“เก่งมาก เยว่ชิงพูดเก่ง คิดเก่ง อ่านอักษรต่างๆ เข้าใจ อ่านตำยาของพี่ใหญ่ก็เข้าใจด้วย”

“เช่นนั้นเยว่ชิงอ่านตำรานี้ให้ลุงหมอฟังจะได้หรือไม่” ท่านหมอยื่นตำราเกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์ให้เยว่ชิงลองอ่าน เยว่ชิงเปิดตำรานั้นแล้วเริ่มอ่านและตีความมตามที่เข้าใจ เพราะตำรานี้หากเทียบกับในชีวิตก่อนก็เป็นเพียงความรู้วิชาชีววิทยาในระดับมัธยมปลายเท่านั้น

“โอ้โห เก่งกาจเสียจริง อ้อ…แล้วคำพูดต่างๆ เล่า เยว่ชิงไปเลียนแบบมาจากผู้ใดหรือ” ท่านลุงหมอผู้นี้ถามซอกถามแซกเกินไปแล้ว

“เอามาจากตำยา บางคำก็คิดเอง ว่าแต่ท่านยุงหมอรู้จักคำว่า อัจฉริยะ หยือไม่ เยว่ชิงเคยอ่านเจอในตำยา”

ต้องขออภัยท่านลุงหมอแล้ว เยว่ชิงขอชักนำคำวินิจฉัยของท่านลุงหมอเสียหน่อยนะเจ้าคะ

“อะ อัจฉริยะงั้นหรือ ใช่ผู้คนที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าผู้คนทั่วไปหรือไม่”

“ใช่เจ้าค่ะ แล้วท่านยุงหมอมิคิดว่าเยว่ชิงอาจจะเป็นเช่นนั้นหยือ” เยว่ชิงยกยิ้มกว้างให้ท่านลุงหมอ แต่ในใจกำลังเอ่ยขออภัยผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านต่างๆ เยว่ชิงรู้ดีว่าผู้ที่เป็นอัจฉริยะต้องมีความพยายามและเก่งกาจมากเพียงใด แต่นางในตอนนี้เพียงอาศัยความรู้เดิมจากชีวิตก่อน มิอาจเอ่ยได้ว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะ

ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ หากมิทำเช่นนี้ทุกคนก็จะมิหยุดสงสัย

“…” ท่านหมอถึงกับนิ่งอึ้งกับคำเยินยอตนเองของเด็กน้อยผู้นี้ แต่หากฟังจากคำพูดของใต้เท้าลู่และจากที่ได้พูดคุยกับเยว่ชิงแล้ว จะเอ่ยว่าเด็กผู้นี้เป็นอัจฉริยะก็ไม่แปลกเลยสักนิด ทั้งความสามารถด้านการอ่าน การทำความเข้าใจ และการพูด ถือว่าต่างจากเด็กในวัยสามหนาวลิบลับ

“หึๆ นั่นสินะ ใต้เท้าลู่ ฮูหยินลู่ ข้าคิดว่าพวกท่านคงมิต้องกังวลเรื่องของบุตรสาวท่านแล้ว นางมิได้มีความเจ็บป่วยทางกายหรือทางจิตใจแม้แต่น้อย นางเพียงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ความคิด ความอ่านมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเท่านั้น ถือว่าพวกท่านโชคดีแล้ว ที่มีบุตรสาวที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้”

“ขอบพระคุณท่านยุงหมอที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” เยว่ชิงยกยิ้มให้ท่านลุงหมอของนางจนหน้าบาน เพียงเท่านี้ท่านพ่อท่านแม่และคนในครอบครัวของนางก็จะไม่แปลกใจในความสามารถที่เกินวัยของนางอีกต่อไป เท่ากับว่า…ต่อไปนางมิต้องระมัดระวังคำพูดแล้ว

เอ่อ ว่าแต่ที่ผ่านมานางได้ระวังคำพูดบ้างหรือไม่นะ? แหะๆ ดูจากที่ท่านพ่อพามาพบท่านลุงหมอแล้ว…คงไม่สินะ

หลังจากที่อยู่พูดคุยกับท่านลุงหมอแล้วเสร็จ ลู่หวังเหล่ยก็พาภรรยาและบุตรสาวกลับเรือนทันที แต่ดูท่าแล้วทั้งลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจะพบกับปัญหาใหญ่เพราะตลอดทางบุตรสาวตัวน้อยนั่งกอดอกนิ่ง มิยอมเอ่ยสิ่งใดกับพวกเขาแม้แต่น้อย กว่าทั้งสามจะมาถึงเรือนก็ได้เวลาทานมื้อเย็น ทั้งเฉินกง หมิงยู่ และลี่อินต่างมานั่งรอที่ห้องโถงกันพร้อมหน้า

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านพ่อ ท่านหมอได้บอกหรือไม่ว่าน้องเป็นอันใด” เฉินกงที่เห็นบิดาเดินนำมารดาและน้องสาวมาจึงได้เอ่ยถามขึ้น

“เอ่อ ท่านหมอบอกว่าน้องของพวกเจ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ เป็นพวกที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถือเป็นโชคดีของครอบครัวเราที่มีน้องสาวฉลาดหลักแหลม” ลู่หวังเหล่ยนั่งลงประจำที่ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที

“และท่านพ่อก็เสียเงินไปเปล่าประโยชน์ ค่าจ้างท่านยุงหมอเสียไปเกือบหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ” เยว่ชิงนั่งจ้องหน้าบิดาเขม็ง

“เอาเถิด เรามาทานข้าวกัน เยว่ชิงลองทานเนื้อตุ๋น แม่ให้แม่นมลี่ตุ๋นทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เนื้อคงนุ่มน่าดู” ซูเมิ่งและทุกคนต่างพยายามง้องอนเยว่ชิงตัวน้อยให้หายโกรธเคืองพวกเขาที่รบเร้าให้เยว่ชิงลองไปพบท่านหมอ

“อืม ยสดีๆ หากเปิดเป็นเหลาอาหารคงได้เงินไม่น้อย” เยว่ชิงเปรยออกมาอย่างมิได้คิดสิ่งใด แต่ทว่าทุกคนกับชะงักกับคำพูดนั้น

“เหลาอาหาร!!!”

“เยว่ชิง เจ้านี่สมกับที่เป็นเด็กอัจฉริยะเสียจริง”

“…” เยว่ชิงนั่งอ้าปากหวอ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าตนได้พูดสิ่งใดออกไป แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเหล่าพี่ชายของนางนั้นคิดสิ่งใดอยู่

หากว่าเปิดเหลาอาหารที่มีการละเล่นต่างๆ ด้วย คงจะเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย

“แท้จริงแล้วสกุลลู่ของเรามีที่ดินอยู่ท้ายตลาด ท่านทวดของพ่อปล่อยให้คนต่างเมืองเช่าไปทำโรงเตี๊ยม แต่ตอนนี้กิจการโรงเตี๊ยมของเขาค่อนข้างย่ำแย่และอีกสี่เดือนข้างหน้าจะหมดสัญญาแล้วด้วย หากว่าลูกๆ อยากทำเหลาอาหารพ่อจะให้คนไปบอกเขาก่อนว่าเราจะไม่ต่อสัญญาเช่า” เดิมทีที่ดินตรงนั้นมิได้ทำประโยชน์อันใด ท่านทวดจึงตัดสินใจให้ผู้อื่นเช่า อีกทั้งลู่หวังเหล่ยก็มิได้คิดจะทำการค้าการขาย จึงได้ปล่อยให้พวกเขาเช่าที่ดินต่อมาเรื่อยๆ

“ดีเจ้าค่ะ เอาๆ” เยว่ชิงที่มีภาพคาสิโนอยู่ในหัวเริ่มจินตนาการว่าหากมีร้านที่คล้ายกับคาสิโนคงจะเป็นที่สนใจของคนยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก แต่คงจะเน้นหนักเรื่องการพนันได้ไม่มากนัก

นางยังมิอยากถูกจับเข้าคุกหลวงหรอกนะ

“เช่นนั้นก็ดี แต่ว่า…หากว่าเยว่ชิงมิหายโกรธเคืองพ่อ พ่อคงมิมีเรี่ยวแรงไปเจรจากับเถ้าแก่ที่โรงเตี๊ยมเป็นแน่ เห้อออ เศร้าใจเสียจริง” ลู่หวังเหล่ยแสร้งตีหน้าเศร้าสร้อยอย่างกับมีเรื่องให้ทุกข์ใจหนักหนา ทั้งที่แท้จริงแล้วเขาเพียงเศร้าเพราะบุตรสาวโกรธเคืองเท่านั้น

“เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อเถิดนะ ท่านพ่อน่าสงสารถึงเพียงนี้” ลี่อินพยายามช่วยบิดาจนสุดความสามารถ แต่เยว่ชิงก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้ท่านพ่อเลยสักนิด จนกระทั่ง…

“เยว่ชิง เงิน เงิน เงินทั้งนั้น! เจ้าจะทิ้งโอกาสนี้หรือ” หมิงยู่กระซิบกระซาบข้างหูเยว่ชิง น้องสาวเขาทั้งคน เขาจะมิรู้จุดอ่อนของนางได้อย่างไรกัน

“ก็ได้ เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อ ท่านพ่อต้องไปพูดกับเจ้าของโรงเตี๊ยมให้พวกเยานะเจ้าคะ”

“แน่นอน มาๆ มาให้พ่อกอดเจ้าหน่อยเถิด ระหว่างทางเจ้าไม่พูดกับพ่อสักคำ ดวงใจน้อยๆ ของพ่อเจ็บปวดไปหมดแล้ว” เยว่ชิงลุกขึ้นไปนั่งบนตักบิดา เอนศีรษะน้อยๆ ซบอกแกร่งของบิดา เป็นภาพที่ผู้ใดเห็นก็ต้องยิ้มตาม

“น้องรอง เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใดกับเยว่ชิงหรือ นางจึงได้ยอมหายโกรธท่านพ่อง่ายถึงเพียงนี้” เฉินกงหันไปถามหมิงยู่ด้วยความสงสัย เพราะน้องสาวของพวกเขาคนนี้เป็นเด็กที่มีเหตุผล มิได้โกรธเคืองผู้อื่นไปทั่ว แต่หากโกรธเคืองผู้ใดแล้ว จะมิยอมหายโกรธคนผู้นั้นง่ายๆ เป็นแน่ บางทีมิยอมสนทนาด้วยถึงสามวันสามคืน

“นั่นสิพี่รอง ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” ลี่อินเองก็ยื่นหน้าเข้ามาพูดคุยกับเฉินกงและหมิงยู่ด้วยเช่นกัน

“ข้าก็เพียงพูดว่า เงิน! เงิน! เงิน!” เฉินกงกับลี่อินถึงกับหัวเราะร่าออกมา

หึ สมกับเป็นลู่เยว่ชิง เรื่องเงินต้องมาก่อนสินะ เฮ้อ!!!

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   16. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (2)

    “คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   15. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (1)

    “นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   14. อาการป่วย

    “พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   13. ช่วยเหลือ (2)

    “ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขาจากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   12. ช่วยเหลือ (1)

    “หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”“ใช่”“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม“ห้าสิบอีแปะ”“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   11. ร้านซิ่งฟู่

    “แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status