คิรันยังคงไม่ปล่อยไอรีนไป หลังจากคืนโหดร้ายคืนนั้น
เขาบังคับให้เธอย้ายกลับมาอยู่ที่คอนโดฯ โดยไม่มีทางเลือก
คำพูดมีน้อย แต่สายตาเย็นชาและการกระทำที่กดดันนั้นชัดเจนเกินพอ
แม้ไม่มีโซ่ตรวนพันธนาการ แต่ไอรีนก็รู้ดี... เธอกำลังถูกกักขัง
ในห้องกว้างใหญ่ที่ควรจะรู้สึกปลอดโปร่ง บัดนี้กลับเหมือนกรงเหล็กหนาวเย็น ที่มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาของเขาไล่ต้อนเธอจนแทบขยับหนีไม่ได้
สภาพความสัมพันธ์ในตอนนี้ คือการอยู่ด้วยกันอย่างเย็นชาและระวังภัย
เขาไม่เคยเอ่ยคำว่ารักอีกเลย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป
ไอรีนสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งในใจเขา ทว่ากำแพงหวาดระแวงที่เขาสร้างขึ้นก็หนาแน่นจนเธอเอื้อมไม่ถึง
ทุกครั้งที่สบตาเธอ คิรันเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง... แต่ก็เลือกที่จะกักขังเธอเอาไว้แทนที่จะเชื่อใจ
ไอรีนกัดฟันอดทนในความทุกข์ที่ไม่มีทางหนีไปได้
ได้แต่เว้นระยะห่างจากเขา เงียบ... และนิ่งให้มากที่สุด
ไม่เรียกร้อง ไม่อ้อนวอน และไม่แสดงความอ่อนแอ
แต่คิรันเองก็ไม่ได้โง่
เขารู้... ว่ากำลังทำร้ายคนที่เขาหวงแหนที่สุดด้วยมือของตัวเอง
"ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป... เธอต้องเกลียดฉันแน่..."
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง เมื่อเขาปรึกษาธันวา คนสนิทเพียงหนึ่งเดียว
ธันวาเลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นเจ้านายผู้เงียบขรึมกำลังเผชิญความลังเล
"คุณคิรัน... บางครั้ง การปล่อยวางเรื่องในอดีตอาจทำให้ชีวิตง่ายขึ้นนะครับ"
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่ออย่างนอบน้อม
"ผมเชื่อว่า... ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเป็นเหมือนคนในอดีตของคุณ"
"..."
"คุณไอรีน... เธอไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับ"
คำพูดที่เรียบง่ายนั้น ทะลุทะลวงเข้ามาในใจคิรันอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดจากปาก
แต่ในแววตาคมลึกนั้น กำลังซ่อนความสับสนเอาไว้อย่างชัดเจน
คำเตือนนั้นเหมือนกระแทกใจคิรันอย่างแรง
เขาเงียบไปนาน ก่อนจะตัดสินใจว่าจะ... พยายามทำดีกับไอรีน
แม้ในใจจะยังกระอักกระอ่วนกับความกลัวก็ตาม
ช่วงเวลาหลังจากนั้น คิรันเริ่มพยายามเล็กๆ
เขาลดความดุดันลง แม้จะยังพูดน้อย แต่การกระทำเริ่มมีความนุ่มนวลขึ้น
ไอรีนรับรู้ได้... แต่เธอก็ยังคงเว้นระยะห่าง ไม่เปิดใจง่ายๆอีก
"ขอบคุณค่ะ"
"..."
ทุกครั้งที่เขาช่วยเหลืออะไร ไอรีนก็แค่กล่าวขอบคุณเรียบๆ แล้วถอยห่าง
เหมือนกำแพงบางๆ ที่เธอสร้างขึ้น... กลายเป็นกำแพงหนากลับมาทิ่มแทงเขาแทน
คิรันได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางที่แข็งกระด้างนั้น
ใจเจ็บ... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง
เสียงโทรศัพท์มือถือของไอรีนดังขึ้นในช่วงกลางวัน
เธอรับสายหน้าเคร่ง ก่อนเสียงสั่นๆ จะเล็ดลอดออกมาจากลำคอ
"แม่... ว่าไงคะ?"
ปลายสายบอกข่าวร้าย — น้องชายป่วยหนัก ต้องการผ่าตัดด่วน ต้องใช้เงินหลักแสน
ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียชีวิตได้...
ไอรีนหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเครือด้วยความกลัวและกังวล
เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น เธอไม่มีทางหาได้ทันเวลา...
"ทำยังไงดี..."
เธอคร่ำครวญเบาๆ ขณะที่ไปปรึกษาธันวา ด้วยน้ำเสียงอับจนหนทาง
"ลองเรียนปรึกษาคุณคิรันดูไหมครับ" ธันวาเสนอ
"ไม่ค่ะ... ฉันไม่อยากให้เขาคิดว่าฉัน..."
"ผมคิดว่าคุณไอรีนควรให้โอกาสคุณคิรันได้ช่วยเหลือนะครับ"
ไอรีนเม้มปากแน่น ใจเต็มไปด้วยความลังเล
เธอไม่อยากให้เขามองเธอเป็นผู้หญิงหน้าเงิน
แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก... น้องชายคือครอบครัว คือชีวิตของเธอ
ทว่าโชคร้าย
บทสนทนาระหว่างเธอกับธันวานั้น ภาคินบังเอิญเดินผ่านมาได้ยินพอดี
เขาหยุดยืน ยิ้มเย็นเฉียบ ก่อนจะเดินจากไปด้วยแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
เย็นวันนั้น
ขณะที่คิรันนั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว ภาคินก็เดินเข้ามา พร้อมรอยยิ้มบางเบาแต่พิษร้าย
"รู้ไหมครับ ว่าเธออยู่กับคุณเพราะอะไร"
"...พูดมา" คิรันปรายตามองต่ำ
"เงินครับ" ภาคินตอบเรียบๆ "อย่าเพิ่งเชื่อผมก็ได้ ลองคอยดูด้วยตาตัวเอง..."
พูดจบ ภาคินก็โค้งตัวออกจากห้อง ปล่อยเมล็ดพันธุ์พิษลงในใจคิรันอย่างแนบเนียน
ไม่ทันไร
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
“เข้ามา” ไอรีนเปิดประตูเข้ามายืนตรงหน้าคิรันด้วยหน้าแดงก่ำ ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ ที่พยายามกดกลั้น
"มีอะไร" เขาถามเสียงเรียบ
ไอรีนก้มหน้านิดหนึ่ง สูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น
"ฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณ... น้องชายฉันป่วยหนัก ต้องผ่าตัดด่วน ฉัน... ฉันอยากขอยืมเงินคุณได้ไหมคะ..."
เสียงไหวๆ นั้นแทงเข้าไปในหัวใจเขา
คิรันชะงัก หัวใจเต้นโครมคราม
ทุกอย่างมันตรงกับสิ่งที่ภาคินเพิ่งพูด... ราวกับการจัดฉาก
ดวงตาคมเข้มนั้นฉายแววลังเลวูบหนึ่ง ราวกับกำลังต่อสู้ระหว่างความเชื่อใจที่ริบหรี่ กับความระแวงที่คอยกัดกินหัวใจ... ทว่าในที่สุด ความเย็นชาก็ชนะ
เขานิ่งไป ดวงตานิ่งเย็นจนไอรีนใจหายวาบ
ไม่มีคำพูด ไม่มีการตอบสนอง
มีเพียงความเงียบเย็นยะเยือกที่ปกคลุมห้องทั้งห้อง
ไอรีนใจหาย
เธอรู้... ว่าเขาไม่เชื่อใจเธอ
กัดฟันแน่น เธอสูดลมหายใจลึกแล้วโค้งตัว
"ขอโทษค่ะ... ฉันไม่ควรขอ..."
แล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทั้งน้ำตาที่คลอเต็มดวงตา แต่ไม่หลั่งไหลออกมา
คิรันยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้เธอเดินจากไป...
ทั้งที่หัวใจแทบจะพังทลายลงตรงหน้า
ภายใต้ความนิ่งสงบของหญิงสาวนั้น กลับเต็มไปด้วยบาดแผลในใจที่บาดลึกจนแทบหายใจไม่ออก
"คุณธันวา...ฉันขอกลับบ้านก่อนนะคะ" ไอรีนเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะของเลขาหนุ่ม เอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ
ธันวาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
"ครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณไอรีน"
หญิงสาวส่งยิ้มจาง ๆ ที่ไม่อาจซ่อนความเศร้าได้เลย แล้วรีบจ้ำออกจากบริษัทไปทันที ราวกับกลัวว่าถ้าอยู่ต่อ น้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลออกมาไม่หยุด
เธอเดินฝ่าฝูงชนด้วยหัวใจที่แตกสลาย โลกทั้งใบพร่าเลือนในม่านน้ำตา ทั้งเสียงหัวเราะและแสงไฟรอบตัว ล้วนกลายเป็นเพียงเงาสะท้อนเย็นชาที่ไม่อาจเข้าถึงได้
คืนนั้น ไอรีนเลือกที่จะไม่กลับคอนโดฯ เธอมุ่งหน้าไปยังห้องของพลอย เพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนที่พักพิงสุดท้ายของหัวใจ
"ร้องออกมาเถอะ ไอรีน" พลอยกอดเพื่อนแน่น ในขณะที่ไอรีนสะอื้นจนตัวโยน
"ทำไมเขาต้องมองฉันแบบนั้นด้วย...ทำไมเขาต้องดูถูกฉันขนาดนั้น..." ไอรีนพูดทั้งน้ำตา มือกำผ้าห่มจนแน่น
ภาพสายตาของคิรันที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เหยียดหยาม และตัดพ้อในเวลาเดียวกัน ยังตามหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง ทำราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าเงินต่ำต้อยคนหนึ่ง...ทั้งที่เธอไม่เคยคิดเอาเปรียบเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
"นายมันเลว คิรัน..." ไอรีนสะอื้นพลางกอดหมอนแน่น เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงอีกแล้ว
ขณะเดียวกัน...
คิรันกลับมาที่คอนโดฯ ในเวลาค่ำ เขาเดินตรงไปที่ห้องของไอรีนทันที แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบเพียงความว่างเปล่า
ไม่มีเธอ...ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ...ใจของเขาเต้นรัวผิดจังหวะ
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ
ในอกของเขา ทั้งความโกรธ ทั้งความหวาดกลัว ถูกตีวนจนปั่นป่วนยุ่งเหยิง เหมือนพายุที่กำลังซัดสาดทำลายทุกสติที่เคยมี
คิรันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเธอทันที
ครั้งแรก...ไม่รับสาย
ครั้งที่สอง...ยังเงียบ
ครั้งที่สาม...ปลายสายยังคงว่างเปล่า
ใบหน้าคมสันที่ปกติเย็นชาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ คิรันกำโทรศัพท์แน่นจนเส้นเลือดปูดนูนที่หลังมือ
"ไอรีน...กล้าดีนี่"
เช้าวันถัดมา
คิรันมาถึงบริษัทเร็วกว่าปกติ เขาเรียกธันวาเข้ามาพบทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน
"รู้มั้ยว่าเมื่อคืนเธอไปไหน" เสียงต่ำเย็นยะเยือกดังขึ้น
ธันวาก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเกรงใจ
"คุณไอรีน...น่าจะไปพักที่อื่นครับ เธอดูไม่ดีเลยเมื่อวาน ผมว่าคุณใจเย็นก่อนนะครับ"
คิรันเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาเข้มลึกฉายแววอารมณ์ร้อนที่ถูกกดไว้แทบไม่อยู่
"ถ้าเธอมา เรียกเข้ามาพบฉันทันที" เขาสั่งเสียงกร้าว
"ครับ" ธันวารับคำอย่างรวดเร็ว หวั่นใจไม่น้อยกับท่าทีของเจ้านาย
ทว่าจังหวะนั้นเอง...มายด์ที่แอบฟังอยู่ไม่ไกลก็รีบถือโอกาสเข้ามา ท่าทางเรียบร้อยแต่แฝงความร้ายกาจไว้ใต้รอยยิ้ม
รอยยิ้มที่สวยงามแต่เย็นยะเยือก เหมือนดอกไม้พิษที่พร้อมจะฉกกัดเหยื่อที่อ่อนแอที่สุดในเวลาที่เหมาะสม
"พี่คิรันคะ..." เหมือนลมร้ายแทรกเข้ามาในห้อง เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างมีจริต ก่อนจะเอียงคอทำเป็นลังเล
"...เมื่อคืน...ฉันเห็นคุณไอรีนอยู่กับพี่ภาคินนะคะ ในโรงแรม..."
ราวกับมีเปลวไฟสีดำลุกวาบในดวงตา
มือใหญ่ที่กำโทรศัพท์อยู่กระชับแน่นขึ้นจนดังกรอบแกรบ ขณะที่เสียงมายด์ยังคงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอาบยาพิษอย่างจงใจ
"ดูสนิทกันมากเลยค่ะ...ฉันไม่แน่ใจหรอกนะคะว่าพี่ภาคินเข้าไปช่วยเธอยังไงบ้างในห้อง..."
น้ำเสียงหวานหยดนั้นเจือด้วยนัยยะชัดเจนคิรันขบกรามแน่น เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดเหมือนกำลังจะขาดผึงในไม่กี่วินาทีโรงแรม...กับภาคิน...สองคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่หยุด สุมเชื้อเพลิงลงในไฟแห่งความระแวงที่กำลังคุโชนอย่างบ้าคลั่ง"ไอรีน..." เขาคำรามออกมาเสียงต่ำในลำคอ ราวสัตว์ป่าที่ถูกกระตุ้นจนขาดสติธันวาที่ยืนอยู่ไม่ห่าง หน้าซีดลงทันที รีบโค้งตัวขอตัวออกไปอย่างรู้ว่าไม่ควรอยู่ในที่นั้นต่อแม้แต่วินาทีเดียวแววตาคมปลาบของคิรันวาบขึ้นด้วยโทสะ ราวกับมีระเบิดลูกใหญ่ระเบิดกลางอกประตูห้องเพิ่งปิดลงไม่นาน ไอรีนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล"คุณเรียกฉันเหรอคะ..." น้ำเสียงเธอเบาราวกับกลัว"เอ่อ...ฉันแค่บอกสิ่งที่เห็นนะคะ" มายด์ทำท่าทางเหมือนหวังดี ก่อนจะชำเลืองไปทางไอรีนด้วยสายตาเยาะเย้ย แล้วรีบขอตัวออกจากห้อง ทิ้งรอยยิ้มเหยียดไว้อย่างไม่ปิดบังคิรันลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้า ๆ ดวงตาสีดำคมกริบตวัดมองมาอย่างเย็นชาเยือกแข็ง"เมื่อคืนเธอไปไหนมา" เสียงเขานิ่งแต่แฝงแรงกดดันมหาศาล"ฉัน...ไปนอนที่ห้
เสียงเครื่องบดกาแฟทำงานดังครืดคราด ผสมกับเสียงพนักงานพูดคุยกันเบา ๆ ในร้านกาแฟของบริษัท ‘วัชรานนท์ กรุ๊ป’ ตึกสูงระฟ้ากลางใจเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับประเทศไอรีน วรากร นักศึกษาปีสุดท้าย คณะสถาปัตย์ ทำงานพาร์ทไทม์ในคาเฟ่เพื่อส่งตัวเองเรียน เจ้าของความสูง 165 ซม. หุ่นดี ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ผมยาวตรงสีดำขลับ สาวน้อยกำลังง่วนอยู่กับการชงลาเต้ให้ลูกค้า มือเรียวสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า เพราะนี่เป็นกะเช้าของเธอที่เริ่มตั้งแต่หกโมงตรงเธอไม่รู้เลยว่าในวินาทีต่อมา โชคชะตาจะพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง…บรรยากาศในร้านที่เคยสงบเงียบเปลี่ยนไปทันทีเมื่อ ร่างสูงสง่าในชุดสูทแบรนด์หรู ก้าวเข้ามาในร้าน พร้อมกับออร่าอันเยือกเย็นและทรงพลัง พนักงานหลายคนรีบยืนตัวตรงแทบจะทันที บางคนก้มหน้า บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาด ๆคิรัน วัชรานนท์ วิศวกรหนุ่มหล่อ เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของประเทศ ‘วัชรานนท์ กรุ๊ป’ นักธุรกิจหนุ่มผู้ขึ้นชื่อเรื่องความโหด เถื่อน และไร
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกระเบื้องแกรนิตของตึก ‘วัชรานนท์ กรุ๊ป’ อย่างต่อเนื่อง ไอรีนเดินตามหลังร่างสูงสง่าไปด้วยความกดดัน แม้เธอจะมีความสูงพอสมควร แต่เมื่อเดินข้างคิรัน เธอกลับรู้สึกตัวเล็กลงไปถนัดตา ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยตั้งแต่ออกจากร้านกาแฟ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด“จะพาฉันไปไหนคะ?” ไอรีนอดถามขึ้นมาไม่ได้ ขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดของตึก“ห้องทำงานของฉัน” คิรันตอบเสียงเรียบ พลางกดรหัสลับเพื่อเข้าไปยังชั้นพิเศษไอรีนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าถามอะไรต่อ แต่สมองของเธอเริ่มหาทางออกจากสถานการณ์นี้ต้องทำยังไงก็ได้… ให้ไม่ต้องทำงานกับเขา!เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับสำนักงานที่กว้างขวาง หรูหรา เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้สนและหนังจากโซฟาหรูแตะจมูกของเธอ“คุณคิรัน?” เสียงทุ้มของชายอีกคนดังขึ้นมาจากห้องทำงานห้องเล็กห้องหนึ่งไอรีนหันไปมอง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่สวมสูทสีกรมท่า ดูภูมิฐานแต่อ่อนโย
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้า ไอรีนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ ร่างกายของเธอหนักอึ้งจากความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับวันแรกของการทำงาน เธอถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันใหม่เมื่อเธอมาถึงบริษัทซึ่งเป็นตึกสูงระฟ้าในย่านธุรกิจ หัวใจของเธอเต้นแรง เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับพนักงานคนอื่น ๆ ที่ดูยุ่งอยู่กับโทรศัพท์มือถือหรือเอกสารในมือ บรรยากาศเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครพูดคุยกันมากนักไอรีนเดินเข้าไปในแผนกบริหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ทำงานหลักของผู้ช่วยส่วนตัวของคิรัน เธอพบกับธันวา ผู้ช่วยคนเก่งของคิรันที่คอยแนะนำเธออย่างเป็นมิตร“คุณไอรีน คุณต้องเข้าไปพบคุณคิรันก่อนนะครับ” ธันวากล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ แต่แฝงด้วยความเห็นใจไอรีนพยักหน้าก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องทำงานของคิรัน ซึ่งกว้างขวางแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นชา โต๊ะทำงานของเขาถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบไร้ที่ติ ไม่มีอะไรเกินจำเป็น ทุกอย่างดูเป็นทางการและสมบูรณ์แบบคิรันนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา ดวงตาคมกริบของเขาเงยขึ้นมามองเธอเพียงชั่วคร
วันถัดมาหลังจากการประชุมที่ตึงเครียดในบริษัท คิรันตัดสินใจให้ไอรีนเดินทางไปต่างประเทศด้วยกันเพื่อช่วยงานในโปรเจกต์สำคัญกับลูกค้ารายใหญ่ ไอรีนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่เคยคิดว่าเธอจะมีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศกับคิรันและลูกค้าระดับนี้มาก่อนเช้าวันนั้น ไอรีนตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ความตื่นเต้นปะปนกับความกังวลทำให้เธอรู้สึกเหมือนร่างกายต้องการจะออกวิ่งไปข้างหน้า แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ เพราะไม่เพียงแค่ต้องทำงานให้สำเร็จ แต่เธอยังต้องเจอกับคิรันที่เข้มงวดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเธอลุกจากเตียงอย่างรวดเร็วและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันสำคัญ ไอรีนเลือกใส่ชุดเดรสเรียบง่ายสีดำเข้มที่ดูสง่างาม ไม่หวือหวาเกินไปแต่ก็ยังคงดูดึงดูด สะท้อนความมั่นใจในตัวเอง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าระดับสูงและคิรันที่เข้มงวด แต่เธอก็มั่นใจว่านี่คือการเลือกที่ดีที่สุดในการสะท้อนภาพลักษณ์ที่เธอต้องการแสดงออกการเดินทางไปสนามบินนั้นค่อนข้างเงียบสงัด บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ เสียงเครื่องปรับอ
บรรยากาศในงานเลี้ยงยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก แขกผู้มีเกียรติต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรส ไอรีนพยายามรักษาท่าทีและอยู่ใกล้คิรันให้มากขึ้น หลังจากที่ถูกเตือนเมื่อครู่ แต่ก็ยังอดรู้สึกอึดอัดกับท่าทีที่เขาแสดงออกมาไม่ได้เธอเดินหลบมุมออกมาจากกลุ่มลูกค้าคนสำคัญของบริษัท และบังเอิญได้พบกับกลุ่มนักธุรกิจที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส พวกเขาเป็นกลุ่มสถาปนิกที่มีชื่อเสียง ซึ่งบังเอิญเป็นสายงานที่ไอรีนหลงใหลมาตลอด เธอเรียนสถาปัตย์ปีสุดท้ายแล้ว และมีความฝันที่จะเป็นสถาปนิกในอนาคต“คุณสนใจด้านการออกแบบสถาปัตย์เหรอ?” หนึ่งในนักธุรกิจเอ่ยถามหลังจากที่เธอเริ่มสนทนาเกี่ยวกับโครงสร้างอาคารเชิงนิเวศอย่างลืมตัว“ใช่ค่ะ ฉันกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย และหวังว่าจะได้ทำงานในสายนี้จริง ๆ” ไอรีนตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย เสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตื่นเต้นกลุ่มนักธุรกิจหัวเราะอย่างเป็นมิตร “น่าสนใจมาก! เรากำลังมองหาคนรุ่นใหม่ไฟแรงแบบคุณอยู่พอดี”เธอไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของเธอและความสนใจของเธอไปกระทบสายตาของใครบางคนที่กำลั
เสียงดนตรีจากงานเลี้ยงยังคงก้องอยู่ในหัวของไอรีน แม้ว่าจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ภาพคืนนั้นยังคงชัดเจนโดยเฉพาะ… คำพูดของเขา "เธอเป็นของฉัน"และรอยจูบที่จู่โจมอย่างเร่าร้อน…เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคิรันถึงทำแบบนั้น เขาไม่เคยแสดงออกถึงความสนใจในตัวเธอมาก่อนเลยสักครั้ง มีแต่ความเย็นชาและคำพูดเฉียบคมที่กดดันเธอตลอดเวลา แต่คืนนั้นเขากลับทำราวกับว่าเธอเป็นของเขาจริง ๆ คำพูดที่หนักแน่นและสายตาที่ไม่ยอมให้เธอปฏิเสธได้ยังคงตามหลอกหลอนเธอมันทำให้เธอรู้สึกสับสน… และหวั่นไหวเพราะแบบนั้น ไอรีนจึงตัดสินใจว่าเธอจะต้องตีตัวออกห่างจากเขาตั้งแต่เช้าวันแรกที่กลับมาทำงานหลังงานเลี้ยง ไอรีนก็เริ่มต้นแผนการหลีกเลี่ยงคิรัน เธอพยายามไม่เข้าไปในห้องทำงานของเขาโดยไม่จำเป็น และหากเขาเรียกพบ เธอจะพาธันวาเข้าไปด้วยเสมอเพื่อไม่ให้ต้องอยู่กับเขาตามลำพัง“พี่ธันวาคะ วันนี้ช่วยเข้าไปกับฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ไอรีนถามพลางยิ้มหวานธันวาขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ แต่ทำไม—”“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่คิดว่าเราควรทำงา
ภายในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ทีมบริหารระดับสูงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสำคัญ ไอรีนเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารและตัวอย่างสินค้าหลายชิ้นในมือ เธอกัดฟันแน่น ขณะที่พยายามแบกรับน้ำหนักทั้งหมดไว้คนเดียว ไม่ต้องให้ใครช่วย — เธอทำได้แต่ยังไม่ทันจะถึงโต๊ะดี เท้าเล็กพลันสะดุดกับขอบพรมที่ไม่เรียบ สมดุลในร่างเธอเริ่มเสียไป หัวใจเธอหล่นวูบ แต่ยังไม่ทันจะล้มลง ร่างสูงของคิรันก็ก้าวเข้ามาทันเวลา มือหนาคว้าเอวของเธอไว้มั่นก่อนที่ร่างเธอจะกระแทกพื้นไอรีนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบกับดวงตาคมกริบของเขา เธอรู้สึกถึงแรงกดเบา ๆ จากมือของเขาบนหน้าท้องของเธอ ร้อนจนเธอเผลอกลืนน้ำลายลงคอคิรันขมวดคิ้วเล็กน้อย กรามของเขากระตุกคล้ายกับกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่อยากแตะต้องเธอเกินความจำเป็น"เดินให้มันดี ๆ" คิรันเอ่ยเสียงต่ำไอรีนเม้มปาก เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะขอบคุณหรือไม่ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร ธันวาเข้ามารับเอกสารจากมือเธอไป"คุณไอรีน ให้ผมช่วยเถอะครับ คุณถือเยอะเกินไปแล้ว"เธอขมวดคิ้ว ก่อ
น้ำเสียงหวานหยดนั้นเจือด้วยนัยยะชัดเจนคิรันขบกรามแน่น เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดเหมือนกำลังจะขาดผึงในไม่กี่วินาทีโรงแรม...กับภาคิน...สองคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่หยุด สุมเชื้อเพลิงลงในไฟแห่งความระแวงที่กำลังคุโชนอย่างบ้าคลั่ง"ไอรีน..." เขาคำรามออกมาเสียงต่ำในลำคอ ราวสัตว์ป่าที่ถูกกระตุ้นจนขาดสติธันวาที่ยืนอยู่ไม่ห่าง หน้าซีดลงทันที รีบโค้งตัวขอตัวออกไปอย่างรู้ว่าไม่ควรอยู่ในที่นั้นต่อแม้แต่วินาทีเดียวแววตาคมปลาบของคิรันวาบขึ้นด้วยโทสะ ราวกับมีระเบิดลูกใหญ่ระเบิดกลางอกประตูห้องเพิ่งปิดลงไม่นาน ไอรีนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล"คุณเรียกฉันเหรอคะ..." น้ำเสียงเธอเบาราวกับกลัว"เอ่อ...ฉันแค่บอกสิ่งที่เห็นนะคะ" มายด์ทำท่าทางเหมือนหวังดี ก่อนจะชำเลืองไปทางไอรีนด้วยสายตาเยาะเย้ย แล้วรีบขอตัวออกจากห้อง ทิ้งรอยยิ้มเหยียดไว้อย่างไม่ปิดบังคิรันลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้า ๆ ดวงตาสีดำคมกริบตวัดมองมาอย่างเย็นชาเยือกแข็ง"เมื่อคืนเธอไปไหนมา" เสียงเขานิ่งแต่แฝงแรงกดดันมหาศาล"ฉัน...ไปนอนที่ห้
คิรันยังคงไม่ปล่อยไอรีนไป หลังจากคืนโหดร้ายคืนนั้นเขาบังคับให้เธอย้ายกลับมาอยู่ที่คอนโดฯ โดยไม่มีทางเลือกคำพูดมีน้อย แต่สายตาเย็นชาและการกระทำที่กดดันนั้นชัดเจนเกินพอแม้ไม่มีโซ่ตรวนพันธนาการ แต่ไอรีนก็รู้ดี... เธอกำลังถูกกักขังในห้องกว้างใหญ่ที่ควรจะรู้สึกปลอดโปร่ง บัดนี้กลับเหมือนกรงเหล็กหนาวเย็น ที่มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาของเขาไล่ต้อนเธอจนแทบขยับหนีไม่ได้สภาพความสัมพันธ์ในตอนนี้ คือการอยู่ด้วยกันอย่างเย็นชาและระวังภัยเขาไม่เคยเอ่ยคำว่ารักอีกเลย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยเธอไปไอรีนสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งในใจเขา ทว่ากำแพงหวาดระแวงที่เขาสร้างขึ้นก็หนาแน่นจนเธอเอื้อมไม่ถึงทุกครั้งที่สบตาเธอ คิรันเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง... แต่ก็เลือกที่จะกักขังเธอเอาไว้แทนที่จะเชื่อใจไอรีนกัดฟันอดทนในความทุกข์ที่ไม่มีทางหนีไปได้ได้แต่เว้นระยะห่างจากเขา เงียบ... และนิ่งให้มากที่สุดไม่เรียกร้อง ไม่อ้อนวอน และไม่แสดงความอ่อนแอแต่คิรันเองก็ไม่ได้โง่เขารู้... ว่ากำลังทำร้ายคนที่เขาหวงแหนที่สุดด้วยมือของตัวเอง
เสียงเคาะประตูห้องพักดังสนั่นกลางดึกจนชั้นทั้งชั้นแทบสั่นสะเทือน ไอรีนสะดุ้งเฮือก ลุกจากเตียงด้วยหัวใจเต้นโครมคราม เธอรู้ว่าเป็นใคร ไม่ต้องมองช่องตาแมวก็รู้“เปิดเดี๋ยวนี้นะไอรีน!” น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และอารมณ์ที่พุ่งทะลุขีดเดือดตะโกนกร้าวอยู่หน้าห้องคนในห้องใกล้เคียงเริ่มโผล่หน้ามาโวยวาย บางคนตะโกนด่า บางคนโทรแจ้งนิติ แต่คิรันไม่สนอะไรทั้งนั้น เขาเคาะแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเหมือนประตูจะหลุดออกจากบานพับไอรีนกัดริมฝีปากแน่น หัวใจเธอสั่นคลอนกับเสียงนั้น... เสียงของเขา คนที่เธอพยายามจะลืม คนที่เธอพยายามจะไม่รู้สึกอะไรด้วยอีกแล้วแต่สุดท้าย... เธอก็ต้องยอมเปิดประตูเสียงประตูที่ปิดลงอย่างแรงสะท้อนก้องไปทั้งห้องในค่ำคืนที่เงียบสงัด ก่อนที่แรงกระชากจากแขนแกร่งจะดึงเธอเข้าไปปะทะแผงอกแน่นราวกำแพงเหล็ก ไอรีนหอบหายใจเบา ๆ เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาอวลอยู่เต็มโพรงจมูก“คุณบ้าไปแล้วเหรอ? นี่มันกี่โมงแล้วรู้ไหม!?”“กี่โมงก็ช่างแม่ง!” คิรันเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน“เธอคิดว่าฉันจะยอมให้เธอเมินหน้าหนีฉั
เสียงประตูห้องทำงานด้านหลังปิดลงอย่างเงียบงัน แต่บรรยากาศกลับอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ไอรีนก้าวกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่ตั้งอยู่ด้านหน้าห้องของคิรันอย่างไร้เรี่ยวแรง ภายในใจยังคงสั่นสะท้านจากคำพูดเย็นชาที่ชายหนุ่มใช้กับเธอเธอค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง แล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ ใต้โต๊ะขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในงานตอนนี้—กรอบรูปเล็ก ๆ สมุดบันทึก ปากกาประจำตัว กล่องขนมเล็ก ๆ ที่เธอเอาไว้วางบนโต๊ะ...เธอแค่... เตรียมตัวเพราะสัญญาจ้างของเธอกำลังจะหมด และคิรัน... เขาก็คงไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเขาสั่นคลอนอีกต่อไป“ไอรีน?”เสียงทุ้มเรียบของธันวาดังขึ้นใกล้ ๆ เขาเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ?”ไอรีนชะงักมือวางกล่องลงก่อนจะยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหน้า“เปล่าค่ะ แค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสัญญากำลังจะหมด เลยคิดว่า... ถ้าเคลียร์ของไว้บ้างก็คงดี เวลาต้องไปจริง ๆ จะได้ไม่วุ่นวาย”ธันวานิ่งไป รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหต
เสียงส้นรองเท้าหนังราคาแพงกระทบพื้นกระเบื้องเรียบหรูดังกังวานไปทั่วโถงออฟฟิศเงียบสงบ คิรันเดินกลับเข้ามาหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมข้างนอก ใบหน้าคมเฉียบที่มักเรียบเฉยตลอดเวลา ทว่าในแววตาเย็นชานั้นกลับซ่อนประกายเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการประชุมที่ยาวนานขณะที่เขากำลังจะเดินเลี้ยวไปยังห้องทำงาน เสียงพูดคุยเบา ๆ ของพนักงานหญิงสองคนบริเวณมุมโต๊ะใกล้เครื่องถ่ายเอกสารทำให้ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลงโดยไม่รู้ตัว“ฉันบอกเลยนะว่าเห็นกับตา... ไอรีนเดินไปหาคุณภาคิน! พูดอะไรไม่รู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ด้วยอะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดพลางขยับริมฝีปากแนบหูเพื่อนอย่างตื่นเต้น“จริงเหรอ? หรือว่าเธอจะหว่านเสน่ห์อีกคน? ไม่แปลกหรอก ดูเธอสิ...สวย แถมยังรู้ว่าต้องใช้หน้าตาทำอะไรได้บ้าง” อีกคนรับลูกเสียงสูง ก่อนหัวเราะคิกคิรันยืนนิ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบขึ้นในอก มือที่ถือแฟ้มอยู่บีบแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนชัดหัวใจเริ่มเต้นแรงโดยไม่มีเหตุผลเขากำลังจะสาวเท้าเข้าไปจัดการพนักงานสองคนนั้นด้วยตัวเอง หากแต่เสียงแหลมสูงตวาดขึ้นมาก่อน
เสียงปิดประตูดัง ปัง! กลบความเงียบของห้องคอนโดหรูไปชั่วขณะ ก่อนที่ความเงียบเดิมจะกลับมาอีกครั้ง หนักหนายิ่งกว่าเดิมไอรีนยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองมือกำแน่นข้างลำตัว ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้เริ่มสั่นไหว น้ำตาเอ่อคลอเต็มหน่วยตากลม“คุณไม่เชื่อใจฉันเหรอ?” เสียงของเธอเบา...แต่ชัดเจน เจ็บ...แต่ตรงไปตรงมาคิรันที่ยืนหันหลังอยู่ชะงักไปชั่วครู่ หัวใจของเขากำลังตีกันวุ่นวาย ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บ ทั้งหึง ทั้งหวง ทั้งระแวง และที่สำคัญ...เขากลัวกลัวว่าจะรักเธอมากไปอีกกลัวจะเสียเธอไปกลัวว่าอดีตที่เคยเจ็บ จะย้อนกลับมาเล่นงานซ้ำอีกครั้ง...เขายังจำแววตาหลอกลวงในอดีต...ที่ทำให้เขาไม่เหลือแม้แต่ศรัทธาในความรัก นั่นแหละ...มันกำลังจะกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้งแต่สิ่งที่เขาทำได้...คือความเงียบสายตาที่เขาหันกลับมามองเธอเย็นชาไร้แวว เหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อนดวงตาคู่นั้นปวดร้าวราวกับมีบางอย่างถูกฉีกขาด หญิงสาวเม้มปากแน่น กลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากเย็น แล้วเบือนหน้าหนี ทำท่าจะเดินไปที่ประตู“จะไปไหน?”
หลังจากคืนที่เธอแทบจะถูกกลืนกินไปทั้งร่างในอ้อมแขนของเขา คิรันก็ไม่ปล่อยให้ไอรีนคลาดสายตาอีกเลย เขาบังคับให้เธอย้ายกลับมาอยู่กับเขาที่คอนโดฯ โดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนว่า“ถ้าเธอจะออกไปทำงานนอกสถานที่ เขาจะเป็นคนไปรับไปส่งเองเท่านั้น”ไอรีนไม่กล้าเถียง แม้จะไม่ชอบที่ถูกควบคุมขนาดนี้ แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่าย ๆ และที่สำคัญ เธอยังไม่พร้อมจะเดินออกมาหลังจากคืนนั้น ร่างกายและหัวใจของเธอยังสั่นไหวไม่หาย แม้จะพยายามหลบตาเขา แต่ทุกเช้าเธอก็ยังตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเขาเสมอแต่คนที่ปวดหัวที่สุดกลับเป็นธันวา ผู้ช่วยที่ต้องคอยตามเก็บงานและแก้ไขทุกอย่างหลังจากที่คิรันทิ้งประชุมหรือหายตัวไปเฝ้าไอรีนกลางงานไซต์โปรเจกต์ใหญ่“คุณคิรันครับ ผมเข้าใจว่าคุณเป็นห่วง แต่ถ้าคุณยังหายไปแบบนี้บ่อย ๆ อีกไม่กี่วันนักลงทุนจะเริ่มถอนตัวนะครับ”คิรันเพียงปรายตาใส่ธันวา ไม่พูดอะไร แต่ในที่สุดก็เริ่มยอมลดการประกบไอรีนลงเล็กน้อย โดยเลือกกลับมาเคลียร์งานที่กองพะเนินไว้แทน เขาคิดว่าเรื่องมันคงจบแล้วเมื่อภาคินเงียบหายไป ไม่มีวี่แววจะกลับมายุ่
เสียงปิดประตูดัง “ปัง!” ก้องสะท้อนทั่วห้องนอนกว้าง ก่อนที่ร่างสูงของคิรันจะกระชากไหล่ไอรีนเข้าหาตัวแรง ๆ จนแผ่นหลังของเธอกระแทกกับบานประตูที่ยังสั่นสะเทือนไม่หาย"อย่าทำหน้าแบบนั้นกับคนอื่นอีก..."เสียงเขาต่ำแหบพร่า ใกล้เกินจนปลายจมูกเขาเฉียดกับแก้มเธอ"คุณกำลังพูดเรื่อง—""เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉันพูดเรื่องอะไร!"มือหนารั้งข้อมือเธอขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะ ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะกดลงที่ซอกคอเธอแรงจนเธอสะดุ้งสุดตัว“คิรัน… อย่า—”"ไม่มีคำว่าอย่าในคืนนี้ เธอไม่มีสิทธิ์หนีจากฉันอีก ไม่แม้แต่จะมองคนอื่น"เขาตะคอกด้วยเสียงพร่า ขณะที่มืออีกข้างล้วงเข้าใต้เสื้อของเธอ ไล้ปลายนิ้วลากผ่านผิวเปลือยเปล่าช้า ๆ ก่อนจะขย้ำเนื้อเนียนด้วยความหึงหวงที่แทบจะคลั่ง"ของของฉัน ต้องเป็นของฉันคนเดียว!"เสียงฟืดของเนื้อผ้าถูกฉีกขาดจากเสื้อเชิ้ตของเธอดังลั่น ไอรีนหอบหายใจอย่างสั่นเทา เมื่อผิวกายเปลือยเปล่าท่อนบนถูกสายตาคมเข้มกวาดมองด้วยความหิวกระหาย เขาจ้องเธอราวกับจะกลืนกินทั้งตัว"คุณมัน..."
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น... ภาคินดูจะยิ่งได้ใจ เขาเริ่มเข้ามาวนเวียนใกล้ไอรีนมากขึ้น ราวกับจงใจแสดงตัวต่อหน้าคิรันอย่างท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นในที่ประชุม ห้องทำงาน หรือแม้แต่ช่วงพักเบรก เขาก็หาเรื่องเข้ามาคุยกับเธออยู่เสมอเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ทุกคนเริ่มทยอยกลับบ้าน ภาคินก็เดินเข้ามาหาไอรีนพร้อมรอยยิ้มประจำตัว“ว่าไงคนเก่ง วันนี้เลิกงานเร็วหรือเปล่า? ไปทานข้าวกับฉันหน่อยสิ ถือว่าเป็นการคุยงานนอกสถานที่”ไอรีนชะงัก เหลือบมองเขาด้วยสายตาระวัง “เอ่อ...ฉันยังไม่แน่ใจนะคะ ว่าคืนนี้จะว่างหรือเปล่า”“ไม่เป็นไร ฉันรอได้” ภาคินตอบหน้าตาเฉย “งานที่เราทำด้วยกันยังต้องคุยรายละเอียดอีกเยอะ ฉันจองห้องอาหารไว้แล้วที่โรงแรม Vellare ชั้นบนสุด วิวสวยมาก รับรองว่าคุ้มกับเวลาคุณแน่นอน”เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับรู้ว่าเธอไม่มีข้ออ้างไหนมาปฏิเสธได้ง่าย ๆธันวาที่เดินผ่านมาเห็นภาพนั้นพอดี เขาชะงักไป ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้ามาทันที“คุณไอรีนครับ” เขาเรียกเสียงจริงจัง “คุณคิรันบอกให้ผมมารับกลับพร้อมกัน...&rd