"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!" ภาคิน หรือ ภาคินัย เดชาบวรสกุล วัย 30 ปี ชายหนุ่มเอเชียไทยแท้ตั้งแต่หัวจรดเท้า รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่...กำลังใช้ฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะของผู้เป็นบิดาซึ่งคือซีอีโออย่างแรงด้วยความโมโห
"เอะอะโวยวายอะไร ฉันไปทำอะไรให้แกไอ้ภาคิน" คุณดำเกิงผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ค่อยๆปิดแฟ้มเอกสารแล้วแหงนขึ้นไปมองหน้าบุตรชายคนรองทั้งขมวดคิ้วนิ่วหน้า "แม่นั่น เด็กฝากที่ใช้เส้นสายไต่เต้าขึ้นมาเป็นเลขาของผมคือใคร ทำไมคุณขวัญชีวินถึงบอกว่ามาจากพ่อ" ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเคาะประตูแล้วบอกกล่าวกับเขาจบ...เขาก็หัวเสียเหวี่ยงสุดขีดแล้วรีบพุ่งตรงมายังห้องของผู้เป็นบิดาด้วยความฉุนเฉียว "แม่นั่นที่แกหมายถึงเขามีชื่อนะ เขาชื่อหนูมินตรา คนที่ฉันคัดเลือกว่าเหมาะสมดีละสำหรับการคอยดูแลแก" คุณดำเกิงคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นเพราะไอ้ความทิฐิสูงถือตัวของไอ้เจ้าบุตรชาย เขาจึงต้องไปขอร้องขอโพยให้มินตรามาคอยช่วยกำราบและรายงานเป็นระยะๆถึงพฤติกรรมพรรค์นั้น "เหมาะสมตรงไหน? หน้าตาก็จืดชืด ไร้รสนิยมสุดๆ พ่อจะให้แม่นั่นมายืนเคียงข้างผมในฐานะเลขาได้ยังไง อายเขาตาย" ภาคินทรุดตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มเหยียดแขนขึ้นกอดอกแล้วยกขาอีกข้างไขว้ห้างลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว "หนูมินตราเรียนจบคณะบริหารธุรกิจมาด้วยเกรดนิยมอันดับหนึ่ง เคยผ่านประสบการณ์การทำงานจากบริษัทใหญ่ๆมาหลายต่อหลายแห่งแล้ว แค่นี้ก็คงจะการันตีความสามารถได้ ส่วนไอ้เรื่องหน้าตาหรือบุคลิกอื่นๆแกก็ค่อยปรับเปลี่ยนกันสิ ฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากมั้งนะ" คุณดำเกิงเหยียดแขนทั้งสองข้างประสานกันไว้วางบนโต๊ะทำงานแล้วเหลือบขึ้นมองหน้าบุตรชายคนรองเพื่อดูปฏิกิริยาการตอบโต้ของเขาอีกคราว "ปกติพ่อไม่เคยฝากงานให้ใคร แม่นั่นมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเหรอครับ" ภาคินหรี่ตามองอย่างจับผิด ภาวนาให้สิ่งที่เขาคิดเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันไปเพราะหากเกิดเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงไม่ยอมแน่ๆ "ก็ไม่ได้พิเศษอะไร แค่เห็นว่าหนูมินตรามีความสามารถ ที่สำคัญเด็กมันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีงานทำและกำลังเดือดร้อนเพราะตอนนี้แม่ของหนูมินตราต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ฉันก็เลยฝากฝังงานให้ก็เท่านั้นเอง" แต่สำหรับภาคินมันไม่ใช่น่ะสิ...เขารักความยุติธรรมยิ่งกว่าอะไรดี พวกใช้เส้นสายไต่เต้าขึ้นมาเพื่อหวังจะได้งานไม่มีวันประสบความสำเร็จหรอก! ยิ่งได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก...ต้องการนำเงินก้อนใหญ่ไปรักษาแม่ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหล่อนคิดเกาะผู้เป็นบิดาซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเพื่อหวังเป็นปลิงดูดเลือด อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาเป็นเห็บหมัดสูบเลือดสูบเนื้อแล้วเป็นส่วนแบ่งกองกลางมรดกที่มารดาและเขาควรจะได้รับอีกคน!...ให้มารดาของเขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เจ็บช้ำพอสมควรแล้ว หากรู้ว่าพ่อมีผู้หญิงตัวเล็กตัวน้อยอีกคนคงปวดใจไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นเขาต้องรวบรัดเอาเธอมาไว้ใกล้ตัวจะได้คอยจับตามอง ดีกว่าปล่อยแล้วมันแว้งกลับมาฉกกินหาง "ครับ งั้นผมรับเธอเข้าทำงาน" คำตอบนี้ทำเอาคุณดำเกิงถึงกลับขมวดคิ้วนิ่วหน้า เมื่อครู่เจ้าลูกชายยังคัดค้านเสียงแข็งเอาเป็นเอาตายว่าอย่างไรก็จะไม่ใช้คนที่เล่นเส้นเล่นสายเข้ามาทำงานใกล้ตัวเด็ดขาด แต่นี่ดันตกปากรับคำง่ายๆเสียงนั้น "เริ่มงานได้เลย เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้คือคนของผม พ่อไม่มีสิทธิ์ยุ่ง เข้าใจตรงกันนะครับ" คุณดำเกิงทำท่าจะอ้าปากกล่าวก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพ่อลูกชายตัวดีดีดตัวลุกขึ้นพรวดพราดเปิดประตูหุนหันพลันแล่นออกไปจากห้องเสียโดยเร็ว ... ... ปัง!! แฟ้มเอกสารถูกโยนลงบนโต๊ะทำงานของรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทโดยฝีมือของเขา ก่อนจะแหงนหน้าชำเลืองตามองเลขาสาวสุดสวยที่ปัจจุบันนี้เข้ามาทำงานเป็นพนักงานเต็มตัวได้ประมาณหนึ่งปี "งานชุ่ยๆแบบนี้ จ้างพวกเด็กจบใหม่หรือเด็กที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็ยังโอเคกว่าเลย" มินตรา สาวน้อยวัย 26 ปี ปัจจุบันนี้อยู่ในตำแหน่งเลขานุการรองประธานบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป รีบก้มหน้างุด...หลุบตาลงมองต่ำเพราะไม่กล้าสบกับความแข็งกร้าวที่แผ่กระจายรังสีรอบๆกายเจ้านาย ภายในใจของเธอร้อนรุ่มเต้นตุบตับโครมครามไม่เป็นจังหวะ...ทำไมพ่อกับลูกถึงได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้นะ คุณภาคินไม่ได้นิสัยของพ่อมาเลยสักนิดหรือไง! "คุณภาคินต้องการให้ดิฉันแก้ตรงไหน บอกได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบดำเนินแก้ไขให้ก่อนครบกำหนดส่งแน่นอนค่ะ" พูดในขณะที่ไม่ได้มองหน้าเขา "ฉันต้องการให้เธอแก้ทั้งหมดและส่งงานภายในตอนเที่ยงนี้" คำตอบนี้ทำเอามินตราถึงกับตาลุกวาว แล้วลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่...จะบ้าหรือไงแฟ้มเอกสารกองเบอเร่อมีจำนวนแผ่นกระดาษ a4 อยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แล้วนี่เวลาก็เดินเลยมาจนใกล้จะ 10 โมงแล้ว ต่อให้เธอบริหารจัดการดีแค่ไหนก็ไม่ทัน! "ดิฉันมีแค่สองมือนะคะคุณภาคิน นี่ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเอง ถ้าให้สรุปเอกสารใหม่ทั้งหมดคงจะไม่ทันแน่ๆ...หากดิฉันจำไม่ผิดเอกสารชุดนี้ไม่ใช่เอกสารเร่งด่วนเพราะทางฝ่ายบุคคลต้องการภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้นี่คะ" มินตราตอบกลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาคินถึงได้จงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้ ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือสร้างความวุ่นวายให้เลยสักครั้ง ในทางกลับกันเธอออกจะเชื่อฟังคำสั่งไม่ให้ขาดตกบกพร่องทุกประการเสียด้วย! "แต่ฉันต้องการวันนี้ไง" ภาคินยกสองแขนแกร่งค้ำยันลงบนโต๊ะ แล้วเลื่อนฝ่ามือจรดปลายคางมนเลิกคิ้วหลิ่วตาถามหล่อนอย่างกวนตีน "หรือว่าคุณมินตรามีปัญหา?" "ไม่มีปัญหาค่ะ ดิฉันจะรีบนำกลับไปแก้ไขให้" "ดีครับ" ภาคินเค้นเสียงหัวเราะอย่างพอใจ ก่อนที่มินตราเอื้อมลงมาหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นแนบเสมอเนินอก ทำท่าทำทางหันหลังก้าวออกไป "คงจะผิดคาดไปหน่อยนะครับ ที่คิดว่าหากใช้เต้าไต่ขึ้นมาจะได้อยู่สุขสบาย...แต่กลับต้องทำงานงกๆเพื่อชดเชยเงินที่ผลาญไป" มินตรากลืนก้อนสะอื้นลงคอ...แล้วรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องที่ร้อนรุ่มดังขุมนรกนี้ให้เร็วที่สุด! ถ้าไม่จำเป็นเหนือบ่ากว่าแรง กลัวโดนเขาแบล็คเมล์และดันตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำ เธอก็คงหนีออกไปเสียตั้งนานแล้ว! มินตราหย่อนสะโพกลงนั่งบนฝาโถส้วมด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีปนกันมั่วไปหมดในสมอง...เธอไม่น่าหลงกล หลงคารมคำปากหวานที่ถูกพ่นออกมาจากผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างภาคินเลย! เธอมันคงใจง่ายเอง...ตกหลุมรักเขาเพียงเพราะเขามาทำดีด้วยนิดๆหน่อยๆ ก็ดันปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาทำเรื่องอย่างว่า สนับสนุนเขา จนเขาสามารถปิดจ๊อบเธอได้ภายในระยะเวลาสองเดือน!! คราวแรกมันก็หวานชื่นมื่น เขาคอยดูแลเอาใจใส่ ประคบประหงม พูดจาหวานเข้าหว่านล้อมจนใจเธอมันอ่อนน้วย เขาว่าอะไรก็ยอมไปเสียทุกอย่าง...แต่พอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์เนี่ยสิ ออกฤทธิ์ออกเดทไม่เว้นแต่ละวัน เปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่น่าใจง่ายเลย! แต่ยอมรับจริงๆว่าผู้ชายอย่างภาคินมีโคตรเสน่ห์บ่างอย่างน่าดึงดูดเพศตรงข้ามโดยเฉพาะตอนที่เขาอ้อนอยากจะมีอะไรด้วย...เขาทั้งหล่อ สมบูรณ์แบบ เพอร์เฟกต์ เป็นชายในฝันของใครหลายๆคน ถ้าย้อนเวลากลับไปเธอก็คงไม่ปฏิเสธอยู่ดีนั่นแหละ!"ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ