จะว่าไปมินตราก็อดเสียดายพรหมจรรย์ที่แม่ให้มาไม่ได้...แต่ก็คุ้มอยู่แหละ หากเขาเป็นคนเปิดมัน...
อย่างน้อยๆเขาก็มีส่วนดี...เขาทำให้เธอดูเป็นผู้เป็นคนและมีสง่าราศีสมฐานะเลขานุการที่สามารถยืนข้างๆเขาได้โดยไม่อายใครขึ้นบ้าง นั่นก็คือปรุงโฉม ปรับเปลี่ยนการแต่งกายใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เว้นแม้กระทั่งทรงผม...ทว่าโชคเข้าข้างหน่อยเพราะพื้นฐานเดิมเธอเป็นคนสะสวย เบ้าหน้าดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย... ซ้ำยังให้เข้าคอร์สเรียนมารยาทขั้นพื้นฐานของเหล่าผู้ดีตีนแดง เอาให้บุคลิกและหน้าตาดีไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องเอาไปขายขี้หน้าใคร...ส่วนเรื่องกำพืดชาติสกุลนั้นไซร้ช่างประไร หากถูกรื้อก็ค่อยขุดหลุมฝังงี้ "นี่! พวกแกรู้หรือยังเรื่องที่คุณดำเกิงจะจับคู่คุณภาคินกับคุณพิรญาณ์หรือยัง คุณพิรญาณ์ลูกสาวเจ้าของบริษัทเฟอร์นิเจอร์น่ะ" ได้ยินคำนี้ใจมินตรากระตุกวูบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม อยากจะเงี่ยหูฟังอีกคราวว่าเมื่อครู่เธออาจจะได้ยินผิดเพี้ยนไป "คุณพิรญาณ์ ที่เป็นดาราน่ะเหรอ?" พนักงานสาวอีกคนถามไถ่เพื่อนร่วมอาชีพ "ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ! คุณพิรญาณ์นั่นแหละ แต่ฉันว่าก็ดูเหมาะสมกันดีนะ คุณภาคินทั้งหล่อ ทั้งรวย หน้าที่การงานดี ส่วนคุณพิรญาณ์ก็สะสวย เก่ง ฉลาด ความสามารถครบเครื่องแถมยังอยู่ในชนชั้นเดียวกัน อย่างกับกิ่งทองใบหยกชัดๆแหนะ" มินตราเองก็พอรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของดาราสาวพิรญาณ์มาบ้างพอสมควร เนื่องจากเธอติดตามผลงานการแสดงละครเรื่องที่ออกฉายทุกๆวันจันทร์ถึงอังคารช่วงเวลาหลังข่าวอย่างแนบประชิดติดจอ เรียกแฟนคลับตัวยงคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ "จริงแก หาคนที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะพวกคุณภาคินแอบซุกอีหนูหนูเอาไว้บ้างหรือเปล่า" คราวนี้เป็นเสียงกระซิบกระซาบอย่างแผ่วเบาแทนเนื่องจากกลัวหลุดลอดออกไปถึงหูเจ้านายประเดี๋ยวจะโดนเล่นงานทั้งแผนก "มันก็ต้องมีบ้างแหละแก" แกร๊ก! มินตราปรับจูนอารมณ์ตัวเองให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติมากที่สุด ก่อนเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำแล้วรีบผันตัวกลับไปยังโต๊ะทำงานเพื่อเคลียร์แฟ้มเอกสารตามคำสั่งของเจ้านายจนเสร็จแม้เลทไปบ้างเล็กน้อย ในที่สุดเธอก็สามารถส่งงานได้ทันเวลา...และดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งสี่โมงเย็น ทำการเก็บข้าวของเตรียมสัมภาระต่างๆที่วางสะเปะสะปะอยู่บนโต๊ะทำงานหอบหิ้วขึ้นรถกลับบ้านจัดสรรค์สองชั้นขนาดกลางที่ภาคินซื้อไว้ให้เป็นค่าตัวเธอ ขณะกลับเธอได้แวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนถึงบ้านจัดสรรค์...เพื่อเลือกพวกผักปลาและของสดเอาไปใส่ติดตู้เย็นไว้ หากวันดีคืนดีภาคินนึกเมตตาค้างคืนด้วยรุ่งสางเขาจะได้มีอาหารเช้าอร่อยๆรองท้องไปทำงานที่บริษัท @บ้านจัดสรรค์ อาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างเหนื่อยล้า...โชคดีที่วันนี้เธอซื้อแกงถุงสำเร็จรูปของคุณป้าซอยด้านหน้าติดไม้ติดมือด้วย มิเช่นนั้นคงต้องตรากตรำทำอาหารจนโมโหหิวตายแน่ๆ จู่ๆเสียงของรถสปอร์ตคันหรูที่ดูคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล่นเข้ามาเทียบจอดหน้าบ้านพร้อมกับเสียงเปิดประตูดังเเกร็ก! และไม่ต้องถามถึงเลยว่าบุคคลปริศนานั้นคือผู้ใดนอกเสียจาก ภาคิน "ไหน วันนี้มีอาหารอะไรให้ผมกินบ้างครับ" ภาคินสวมกอดมินตราจากทางด้านหลังพร้อมทั้งใช้ปลายจมูกซอกไซร้สูดดมความหอมบริเวณลำคอขาวระหงและไล่ต่ำลงมาด้านหลัง "เปลี่ยนน้ำหอมเหรอคะ" "ค่ะ พอดีว่ากลิ่นเก่ามันหมด มินก็เลยเอากลิ่นอื่นมาแทนก่อนน่ะคะ" น้ำเสียงของมินตรายังคงลื่นหูน่าฟังเช่นเดิม "วันนี้มินไม่ได้ทำอาหารนะคะ มินซื้อข้าวแกงถุง 40 บาทจากร้านหน้าปากซอย คุณภาคินกินได้หรือเปล่าคะ" "ผมไม่อยากกินข้าวแล้ว ผมอยากกินมินมากกว่า" ภาคินดันร่างบางหันหน้าเข้าหาตัว แล้วยกเธอขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว แหวกขาเรียวยาวให้แยกออก จากนั้นจึงส่งปลายนิ้วแกร่งเข้าไปควานหาความชุ่มฉ่ำภายใต้กางเกงโปร่งขาสั้น "อื้อ! คะ..คุณภาคิน" ความเย็นยะเยือกสอดแทรกซึมผ่านจนเธอเสียววูบจำเป็นต้องจิกกรงเล็บลงบนพื้นกระเบื้องบริเวณเคาน์เตอร์ ซ้ำยังแอ่นหน้าอกรับสัมผัสจากการบีบคลึงของเขาอย่างใจง่าย... "อื้อ! มะ...มินเสียว อ๊าห์" ภายในไม่กี่วินาทีถัดมาร่างกายของมินตราก็เปลือยเปล่า เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มปลดเปลื้องหล่นลงไปอยู่บริเวณพื้นกระเบื้องเสียหมดจด ก่อนที่ปลายลิ้นร้ายจะลงละเลงตวัดเลียบนยอดปทุมถันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเมามัน ทั้งดูดดึง จนเนื้อแดงเถือกเป็นลูกตำลึงสุกก็ยังมิวายพอใจ สองฝ่ามือไล่ตามเอวคอดกิ่งเลื้อยลงไปปลดเปลื้องหัวเข็มขัดและรูดซิปกางเกงทรงกระบอกสีสุภาพของตนเองหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะควานหาถุงยางอนามัยฉีกฟอยล์สวมใส่เอ็นยาวเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกัน ประคองกลางลำจับถูไถช่องทางคับแคบที่มีน้ำเยิ้มฉ่ำแล้วกดดันเข้าไปจนสุดความยาว "อ๊าส์!!!" ทุกครั้งที่ความเป็นชายเคลื่อนที่ในโพรงกุหลาบสีสวยมันคงยังคับแน่นอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้น้ำในกายจะหลั่งรินมากเพียงใดก็ตาม ภาคินใช้สองแขนแกร่งเหนี่ยวรั้งเอวบางเอาไว้ จากนั้นจึงเริ่มขยับสะโพกเข้าออกถี่ถี่เร็วระรัวขึ้นเรื่อยๆจนเธอสั่นคลอนเต้าอกไหวกระเพื่อมตามแรงอัดกระแทก "อ่าห์ มินตรา" ภาคินคำรามในลำคอด้วยความพึงพอใจ ร่างกายของมินตราช่างเย้ายวนน่าสัมผัสดึงดูดไปทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นใบหน้าเรียวตัดกับดวงตากลมโตเท่าไข่ห่าน ปลายจมูกสันโด่งทรงสโลปคล้ายกับผ่านมีดหมอ กระนั้นริมฝีปากกระจับได้รูปที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งด้วยเครื่องสำอางมากหลากราคาแพง ไล่ต่ำลงมาทอดแลเห็นลาดไหล่สวยจนเขาอดที่จะพรมจูบลงบนเนื้อผิวขาวเนียนไม่ได้ ไหนเล่า...เต้าอกกลมโตลูกซาลาเปาทั้งสองข้างที่ค่อนข้างพอดิบพอดีมือ ส่วนบริเวณตรงกลางของมันปาดด้วยแต้มสีชมพูระเรื่อ เนินหน้าท้องของมินตราแบนราบ คอดกิ่ว...โหนกอวบอิ่มไร้ซึ่งขนปกคลุม บั้นสะโพกขาวเนียนมิมีจุดด่างดำเห็นได้ชัดว่าผ่านการดูแลตัวตนและอบร่ำมาอย่างดี "อ๊ะ อ๊าห์ อื้อ คะ...คุณภา อ๊า" มินตราเปล่งเสียงร้องครวญครางอย่างกระสับกระส่าย ไล่ตามองต่ำทอดแลตั้งแต่ซิคแพคแน่นและเนินหน้าท้องเป็นลอนได้รูปสวยคล้ายกับก้อนขนมปังที่กำลังขยับเขยื้อนเข้าออกหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน "อื้อ! คุณภาคิน บะ...เบาหน่อย" ใบหน้างดงามส่ายศีรษะไปมาเพื่อห้ามปรามเขาให้ทุเลาความรุนแรงลงเพราะมันค่อนข้างหนักหน่วงด้วยอารมณ์ปรารถนาอันลุกโชนโชติช่วงที่เขามอบให้มากเกินกว่าที่เธอจะต้อนรับเอาไว้ได้ไหว แต่ทว่า! ดูเหมือนมันไม่ได้ผลเพราะเขารั้งเอวกลมกลึงดันเข้าแล้วขยับสะโพกตอกอัดสวนเพื่อส่งเธอและเขาถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ "อื้อ! นะ...เหนื่อย" มินตราแทบจะอ่อนยวบ ร้องครวญครางคล้ายหมดเสียง ลมหายใจหอบถี่เคลื่อนเข้าออกไม่เป็นจังหวะ แต่ก็ต้องหวีดอีกครั้งเมื่อเขายกเธอในท่าลิงอุ้มแตงพาเดินเข้ามาหน้าโทรทัศน์ ก่อนวางลงบนฟูกนุ่ม พลิกกายสาวคว่ำหน้า กระดกสะโพกเธอขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากความแข็งแกร่งสอดใส่เนื้อนุ่มในโพรงอุ่นวาบอีกรอบ จากนั้นจึงเริ่มละเลงบทเพลงรักอันแสนดุเดือดถึงพริกถึงขิง บำเรอบำบัดความใคร่กับเรือนร่างของเธอเต็มที่ "อ๊ะ อ๊ะ อื้อ! มะ...มินเหนื่อย" มินตราฟุบหน้าลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยความหนักหน่วงที่เขามอบให้โดยไม่หยุดยั้งหรือยอมทุเลาลงตามคำขอจนตอนนี้มันล้าแทบทรงตัวไม่อยู่... "แต่ผมยังไม่เหนื่อย" ภาคินไม่ได้สนใจใยดีว่าเธอจะล้าหรือเจ็บปวดเลยสักนิด...เพราะผู้หญิงอย่างมินตราก็มีค่าเพียงแค่นอนถ่างขาแล้วเป็นที่บำเรอให้เขาปลดปล่อยอารมณ์ดิบเถื่อนทางกามเท่านั้น แน่นอนว่าภาคินทำตามอำเภอใจของตนเองจนมินตราหลับไปไม่รู้กี่ตื่นต่อกี่ตื่น เขาก็ยังไม่ยอมหยุดยั้ง รอจนกว่าตนจะรู้สึกหมดแรงเสียเองจึงค่อยยับยั้งหยุดพัก@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่