รำอวยพรเปิดงานจบลง...
ปัฐวิกรยกมือขึ้นปรบทำให้คนที่กุมมือเขาอยู่ต้องปล่อยและปรบมือตาม ทว่าดวงหน้าขาวเครื่องสำอางจัดเต็มมองเพียงเขา ไม่ได้มองเวทีแม้สักนิด ตาที่กรีดตกแต่งสวยงามหยาดเยิ้มแทบจะไม่ปกปิดความคิดผู้เป็นเจ้าของ
‘คุณปัฐไปทานข้าวกับพี่สักมื้อนะคะ คุยกันสักน่อย ไม่ได้เจอคุณพี่รุจีนานแล้ว อยากรู้ว่าเป็นยังไง สบายดีไหมน่ะค่ะ’
ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายพูดขึ้นเบาๆ และวางมือลงบนหลังมือเขาเหมือนชวนคุย ปัฐวิกรยังไม่ทันพูดอะไรการแสดงก็จบลงพอดี
ชายหนุ่มยิ้มบางให้ ไม่ได้แสดงออกว่าปฏิเสธไมตรี หลังจากที่เขาวางมาลงบนหน้าขาของตนอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ตามมาวางทาบทับซ้ำยังลูบหลังมือเขาแผ่วเบา ปัฐวิกรยังใจเย็นแม้ว่าจะถูกรุกหนักจนเกินงามก็ตาม
“ไม่ได้เจอคุณปัฐตั้งแต่เรียนมัธยมล่ะมั้ง ใช่ไหมคะ โตจนพี่จำไม่ได้ มาช่วยงานแบบนี้คุณพี่รุจีก็สบายแล้ว ดีจังนะคะ มีลูกชายหล่อล่ำเชียว แต่ไม่เคยเห็นคุณพี่ควงออกงานเลย”
“ผมไม่ค่อยถนัดงานสัมคมเท่าไรครับ แต่พอดีวันนี้คุณแม่ไม่ว่าง”
เขาร่วมพิธีเปิดมางานแฟร์ใหญ่ระดับประเทศที่จัดโดยสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับที่มีประจำทุกปี โดยปกติแล้วจะเป็นมารดาของตนที่มาแต่เพราะช่วงนี้ท่านติดหลานคนแรกจนแทบไม่อยากปลีกตัวไปไหน ปัฐวิกรจึงมาแทน
ซึ่งงานนี้มีคู่ค้าจากหลายประเทศทั่วโลกมาร่วมด้วย พิธีเปิดจึงมีโชว์นาฏศิลป์ไทยอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อเผยแพร่ให้ชาวต่างชาติได้ชม รวมถึงคนไทยที่น้อยครั้งจะได้ดูการแสดงนาฏศิลป์อย่างจริงจัง นับว่านำเสนอรูปแบบการเปิดงานได้ดีทีเดียว
แต่ปัฐวิกรไม่ค่อยมีสมาธิกับพิธิเปิดนักเพราะต้องคอยระมัดระวังตัวจากสาวใหญ่รุ่นพี่ที่บังเอิญถูกชะตาและเอ็นดู หลังจากเขาแนะนำตัวว่าเป็นลูกชายของคุณรุจีรัตน์จนเกาะติดไม่ห่างนั่นเอง
“อุ๊ย หล่อๆ แบบนี้ออกงานบ่อยๆ มีหวังทั้งเด็กทั้งสาวแก่แม่ม่ายเดินเข้ามาคุยทั้งงาน”
คนที่พูดเองก็เป็นแม่ม่ายระดับเศรษฐีนีของเมืองไทยที่อายุน้อยกว่ามารดาของเขาไม่เกินสิบปี ทว่าก็ยังแทนตัวเองกับเขาว่า ‘พี่’
ชายหนุ่มทำได้เพียงยิ้มรับไม่รู้จะพูดอย่างไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย
ร่างอรชรเดินวนเวียนมองอยู่ที่บูธหนึ่งอย่างสนใจ ทำให้คนที่เห็นจากมุมไกลตรงไปเข้าหา หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจไม่แน่ใจนัก ทว่าพักหลังมานี้ค่อนข้างพบเจออีกฝ่ายบ่อยจนเพียงแค่เห็นรูปร่างด้านหลังก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ผิดคน
แขนกำยำขยับเข้าไปโอบไหล่บางกะทันหัน ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งรับรู้ว่ามีคนประชิดตัวถึงกับสะดุ้งตกใจ ข้อศอกเล็กกระแทกเข้าใส่ข้างเอวกลับไป หากก็ถูกโอบกระชับจนแทบขยับแขนไม่ได้ ดวงหน้าเล็กหันมองคนข้างตัวแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายสูงกว่าตนมากจนต้องเงยหน้าขึ้น
“ไงครับที่รัก”
เจ้าของใบหน้าขาวเข้มหล่อเลาเอ่ยเจือยิ้มบาง
“เลือกได้หรือยัง ว่าอยากได้ชิ้นไหน”
คนถูกถามตาโต สีหน้าเหวอด้วยความงุนงง
“คุณปัฐ”
เสียงหวานพึมพำราวกับเตือนตัวเองว่าคนที่เห็นคืออีกฝ่ายจริงๆ
“คนรู้จักเหรอคะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เธอต้องหันมอง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มโอบร่างของเธอให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับคนถาม
“คู่หมั้นน่ะครับ”
“คู่หมั้น?”
คนถามย้ำคือสาวใหญ่วัยประมาณใกล้ห้าสิบ แต่งหน้าสวยจัดจ้าน ทว่าไม่ใช่แค่สาวใหญ่หรอก คนที่ถูกบอกว่าเป็นคู่หมั้นเองก็ตกใจ แต่เพราะแรงกระชับตรงหัวไหล่จากมือใหญ่เธอจึงได้แต่ยืนนิ่งงัน
แววตาสีหน้าบนใบหน้าที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามคาดไม่ถึงและ
บ่งบอกถึงความเสียดายชัดเจน นั่นทำให้หญิงสาวพอจะเดาได้ว่าเวลานี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“ครับ นี่น้องสอง คู่หมั้นผม”
ชายหนุ่มข้างตัวเธอพูดด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง แต่มันให้ความรู้สึกใจแป้วแปลกๆ สำหรับเธอ
“สอง นี่คุณพี่ชฎาพร เพื่อนคุณแม่น่ะครับ”
คำว่า ‘เพื่อนคุณแม่’ ทำเอาสาวใหญ่กระตุกยิ้มแห้ง ขณะที่มาธาวีพยายามยิ้มอย่างอ่อนหวานและยกมือไหว้ฝ่ายที่อายุมากกว่า
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ แหม...คุณปัฐมีคู่หมั้นคู่หมายมาด้วยไม่เห็นบอกกันบ้าง พี่คิดว่ามาคนเดียวก็เลยชวนไปทานข้าว”
“เกรงใจคุณพี่น่ะครับ”
ปัฐวิกรตอบอย่างรักษามารยาท หากคนฟังก็รู้สึกเหมือนหน้าตนเองกำลังปริ ที่ดันไม่ดูตาม้าตาเรือไปอ่อยผู้ชายรุ่นหลานเข้า ลืมคิดว่าหนุ่มเพอร์เฟกต์อย่างเขาหรือจะโสด ด้วยความหล่อ สมาร์ต ภูมิฐาน ทำเอาใจอ่อนยวบทันทีที่เจอ
“อย่างนั้นพี่ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฝากบอกพี่รุจีด้วยนะคะ ว่าพี่คิดถึง”
“ครับ”
สาวใหญ่หันหลังเดินหลบไปอีกทางก่อนจะหายไปในกลุ่มคน
เจ้าของร่างอรชรที่ยืนเงียบมาครู่หนึ่งแล้วรีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนกำยำ พร้อมจ้องหน้าเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง
“คู่หมั้นอะไรของคุณเนี่ย”
“ก็อัปเกรดจากแฟนไง”
ชายหนุ่มตอบพร้อมยักไหล่ สีหน้าเรียบเฉยไม่เห็นว่าสำคัญ ทว่าคำพูดนั้นกัดเธออย่างชัดเจน
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ