ก่อนมื้ออาหารเย็น ปัฐวิกรกับอธิปเข้าไปคุยกับพ่อเลี้ยงในห้องสมุดของบ้าน ขณะที่แม่เลี้ยงยังควบคุมดูแลอาหารมื้อใหญ่ที่เรือนครัวจนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อขจัดกลิ่นและคราบเหงื่อไคลเพราะต้องต้อนรับแขกอย่างเหมาะสม
มาธาวีพากัญญานันเดินดูรอบบ้านกับเรือนกล้วยไม้จนมืดจึงกลับเข้ามา เมื่อเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำและต้องคุยโทรศัพท์กับสามีเธอจึงพาขึ้นไปบนห้อง เพราะอย่างน้อยจะได้คุยอย่างเป็นส่วนตัว จากนั้นตนเองก็เลี่ยงออกมาแล้วก็เจอกับมาลินีที่อยู่ในชุดอยู่บ้าน หากก็เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงพอดีตัวอย่างดูดีเป๊ะตามสไตล์สาวมั่น
“ทำไมต้องเป็นฉันที่มาคอยตามแก้ปัญหาให้เธอ”
พออยู่กันสองคนมาลินีก็ใส่คนเป็นน้องทันที เพราะต่อหน้าปัฐวิกรไม่อาจบ่นอีกฝ่ายได้
“สองก็ไม่ได้อยากให้พี่หนึ่งมารับผิดชอบหรอก”
มาธาวีเสียงอ่อย เธอก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องให้มาลินีมาโกหกพ่อกับแม่ช่วยตัวเองแบบนี้ ความจริงเธอตั้งใจนัดแนะกับอธิปก่อนตอนขึ้นรถมาด้วยกัน ว่าเธอเชิญเขามาเพราะอยากขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยเรื่องงานของโรงเรียนเอาไว้หลายครั้ง ด้วยความที่ไม่ต้องการให้พวกท่านรู้ว่าในคืนนั้นเกิดปัญหาขึ้น
“แล้วทำไมเรื่องมันถึงมาตกอยู่ที่ฉันล่ะหา”
พี่สาวกัดฟันพูดเสียงไม่พอใจ แถมยังเท้าเอวอีกต่างหาก ทำเอาคนเห็นอดเคืองไม่ได้
“ที่สองทำไปเพราะอยากช่วยพี่หนึ่งนะ”
“ช่วยอะไรยะ”
“ก็พี่หนึ่งชอบคุณปัฐ สองก็ชวนคุณอธิปมาด้วย ตั้งใจให้คุณปัฐโกรธสอง มันจะได้เข้าทางพี่หนึ่งไง”
คำพูดของน้องสาวทำเอามาลินีตาวาววับ พร้อมกับหันมองรอบตัวอย่างระมัดระวัง
“พูดอะไรดูตาม้าตาเรือบ้างนะ”
มาลินีกระซิบสีหน้าเครียด
“สองพูดจริงๆ นะคะ”
“ไม่ต้องย่ะ”
พี่สาวปฏิเสธเสียงแข็งทันที
มาธาวีมองพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ เธออุตส่าห์หวังดี แทนที่จะพอใจอีกฝ่ายกลับมาโมโหเธอเสียอย่างนั้น
“อะไรของพี่หนึ่งเนี่ย นี่สองหวังดีกับพี่นะ”
เธอเอื้อมมือไปจับพี่สาวอยากให้ฟังตัวเองก่อน
“ยายสอง!”
อีกฝ่ายเสียงเข้มขึ้น
“นี่เธอกำลังเยาะเย้ยฉันอยู่ใช่ไหม ทำเป็นแกล้งอ้างว่าจะใส่พานยกแฟนตัวเองมาให้ คิดว่าที่เขาจูบหน้าผากเธอโชว์ฉันมันหมายความว่ายังไง เธออยากจะให้ฉันเสียหน้าไปถึงไหนหา!”
มาลินีตวาดน้องสาวพร้อมสะบัดมืออีกฝ่ายออกอย่างแรง
“แค่ที่ฉันออกตัวว่าสนใจเขาไปก็หน้าแตกจนแทบจะเย็บไม่ติดอยู่แล้ว ฉันก็มียางอายนะ”
คนโกรธจัดบีบเสียงให้เบาแต่ก็เค้นจนแทบแตกพร่า พยายามข่มใจตัวเองทว่ากลับหอบแรงเพราะพูดยาวเหยียดอย่างใส่อารมณ์
มาธาวีหน้าซีด กะพริบตาปริบๆ กับอาการโมโหของพี่สาวที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้งนี้มาลินีดูน่ากลัวกว่าการทะเลาะกันในทุกครั้ง ทั้งพี่สาวยังไม่เคยสะบัดมือเธอแบบนี้ เรียกได้ว่าไม่เคยมีการทำร้ายร่างกายใดๆ ด้วยมาลินีออกจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าและสั่งสอนเธอมากกว่าจะทะเลาะกันเหมือนพี่น้องวัยไล่เลี่ยกัน
“พี่หนึ่ง...”
น้องสาวเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ใจแป้วไม่น้อยเมื่อสบตาพี่สาวแล้วเห็นน้ำใสเอ่อคลออยู่ในนั้น ตาเธอเองก็ร้อนผ่าวไม่แพ้กัน
“เธอมันเอาแต่ใจ เพราะไม่เคยต้องทำเพื่อใคร”
มาลินีเค้นเสียงใส่น้องสาวจนเครือสั่น
“คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยบังคับ อยากเรียนอะไรก็ให้เรียน ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องฉลาดเรียนดี ในขณะที่ฉันต้องพยายามเป็นที่หนึ่งเพื่อให้พวกท่านภูมิใจ ต้องรับราชการ ต้องเก่ง ต้องแกร่งเพราะเป็นลูกคนโต แต่น้องอย่างเธอกลับอยู่สบายๆ ไม่ต้องกดดันอะไรทั้งนั้น ที่สำคัญ...”
สิ่งที่ฟังพี่สาวพูดทำเอามาธาวีอึ้ง น้ำในตาเอ่อคลอ ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกดดันตัวเองถึงขนาดนั้น แถมยังเปรียบเทียบกับเธออยู่ตลอดเวลา
“ไม่เคยเห็นหัวพี่อย่างฉันเลย”
มาธาวีเสียใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของพี่สาว เธอไม่เคยสนใจเรื่องงานข้าราชการ แถมบิดามารดาก็ไม่บังคับเรื่องเรียน พอสนใจนาฏศิลป์และไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมมารดาก็ไปเยี่ยมทุกอาทิตย์ แม้บิดาจะไม่เห็นด้วยในตอนแรกหากท่านก็ไม่ได้ห้าม
“พี่หนึ่ง...สอง...”
เธอพูดไม่ออก รู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากให้พี่สาวเข้าใจผิดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากเรื่องไหนก่อน ทว่ามาลินีไม่ต้องการฟังอะไร หญิงสาวสะบัดหน้าเดินหนีลงไปก่อนแต่มือที่ยกขึ้นปาดหน้าเร็วๆ นั้นทำให้คนที่มองตามน้ำตาไหลลงอาบแก้ม
เธอหันกลับเข้าห้องตัวเองแทน แล้วพอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักเพราะเจอเข้ากับกัญญานันที่ยืนหน้าเสียอยู่หลังประตู
ทว่าที่มาธาวีกับมาลินีไม่รู้คือ แม่เลี้ยงมารตีที่ออกจากห้องของตนมาหยุดยืนฟังอยู่มุมหนึ่งโดยที่ไม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนรู้ ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นทาบอก รู้สึกปวดใจกับสิ่งที่ได้ยินอย่างที่สุด
======
แม้จะมีเรื่องไม่สบายใจหากแม่เลี้ยงก็เก็บความรู้สึกนึกคิดเอาไว้เพียงในใจและแสดงออกอย่างปกติ พูดคุยกับทั้งปัฐวิกรและอธิป ถามไถ่เรื่องความถูกปากของอาหารอย่างใส่ใจ พร้อมทั้งพยายามสังเกตท่าทีของลูกสาวสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร และเมื่อสังเกตปัฐวิกรกับมาธาวีก็ไม่เห็นถึงความพิเศษใดๆ ท่านจึงอดแปลกใจไม่ได้“คุณปัฐกับคุณอธิปมาทานข้าวที่บ้านได้บ่อยๆ นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ นานๆ บ้านนี้จะครึกครื้นคนเยอะสักที มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ คนแก่สองคนจะได้สดชื่นขึ้น”แม่เลี้ยงเอ่ยขึ้นหลังจากย้ายมาทานขนมหวานเล็กๆ น้อยๆ กันที่ห้องรับแขก“คุณแม่...หนึ่งก็อยู่บ้านนี้นะคะ มีหนึ่งอยู่ด้วยก็เหงาเหรอคะ”มาลินีพูดเสียงเรียบทว่าใบหน้างอนิดๆมารดารู้สึกตัวว่าพลาดทำให้ลูกสาวคนโตที่ท่านเพิ่งรับรู้ว่ามีปมในใจน้อยใจ ท่านจึงรีบแก้ตัว“แม่หมายถึง คุณพ่อจะได้มีเพื่อนคุยถูกคอแบบวันนี้ไงจ๊ะ”พูดแล้วก็หันไปวางมือลงบนหลังมือสามี“ใช่ไหมคะคุณ”มือที่วางกระชับเล็กน้อย พร้อมสายตาของภรรยาที่มองมาดูมีบางอย่างน่าสงสัย แต่พ่อเลี้ยงก็ตอบกลับอย่างเห็นด้วย“นั่นสิ คุณปัฐมาเชียงใหม่อีกเมื่อไรก็อย่าลืมแวะมาหาคนแก่นะครับ อธิปด้วย ทำงานกับลู
ก่อนมื้ออาหารเย็น ปัฐวิกรกับอธิปเข้าไปคุยกับพ่อเลี้ยงในห้องสมุดของบ้าน ขณะที่แม่เลี้ยงยังควบคุมดูแลอาหารมื้อใหญ่ที่เรือนครัวจนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อขจัดกลิ่นและคราบเหงื่อไคลเพราะต้องต้อนรับแขกอย่างเหมาะสมมาธาวีพากัญญานันเดินดูรอบบ้านกับเรือนกล้วยไม้จนมืดจึงกลับเข้ามา เมื่อเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำและต้องคุยโทรศัพท์กับสามีเธอจึงพาขึ้นไปบนห้อง เพราะอย่างน้อยจะได้คุยอย่างเป็นส่วนตัว จากนั้นตนเองก็เลี่ยงออกมาแล้วก็เจอกับมาลินีที่อยู่ในชุดอยู่บ้าน หากก็เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงพอดีตัวอย่างดูดีเป๊ะตามสไตล์สาวมั่น“ทำไมต้องเป็นฉันที่มาคอยตามแก้ปัญหาให้เธอ”พออยู่กันสองคนมาลินีก็ใส่คนเป็นน้องทันที เพราะต่อหน้าปัฐวิกรไม่อาจบ่นอีกฝ่ายได้“สองก็ไม่ได้อยากให้พี่หนึ่งมารับผิดชอบหรอก”มาธาวีเสียงอ่อย เธอก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องให้มาลินีมาโกหกพ่อกับแม่ช่วยตัวเองแบบนี้ ความจริงเธอตั้งใจนัดแนะกับอธิปก่อนตอนขึ้นรถมาด้วยกัน ว่าเธอเชิญเขามาเพราะอยากขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยเรื่องงานของโรงเรียนเอาไว้หลายครั้ง ด้วยความที่ไม่ต้องการให้พวกท่านรู้ว่าในคืนนั้นเกิดปัญหาขึ้น“แล้วทำไมเรื่องมันถึงมาต
มาธาวีให้อธิปมารับตนเองเพราะเขายังไม่เคยไปบ้านของเธอ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อยืนส่งนักเรียนกลับบ้านอยู่หน้าโรงเรียนแล้วเห็นรถของกิตติกรมาจอด ซึ่งปัฐวิกรใช้รถของน้องชายเขา หญิงสาวหน้าซีดทันที ขณะที่กัญญานันทักพี่ชายเสียงใส“พี่ปัฐ”ร่างสูงใหญ่ของปัฐวิกรเข้ามากอดน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ส่วนมาธาวีก็จำต้องยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะกระซิบบอกว่าไปรอข้างในเพราะน้องสาวกับเพื่อนยังส่งนักเรียนอยู่กับพนักงานต้อนรับรอไม่นานสองสาวก็กลับเข้ามาด้านในเพราะเหลือนักเรียนคนเดียวพนักงานสามารถดูแลได้ ส่งนักเรียนเรียบร้อยอีกฝ่ายก็กลับบ้านได้เลย“มารับสองไปบ้านเหรอคะ”กัญญานันเอ่ยถามพี่ชายทันที เธอรู้ว่าวันนี้พี่ชายจะไปบ้านเพื่อนตามคำชวนของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเพราะเขาเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ชายหนุ่มมาก็ทำงานที่คั่งค้างของกิตติกรเพิ่งจะมาหาเธอก็วันนี้“ครับ”มาธาวีกัดริมฝีปากล่างด้วยความลำบากใจ เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังก็เห็นว่าเวลานี้อธิปเองก็คงเลิกงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มออกมาหรือยัง“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้นะคะ”เธอพูดขึ้นพยายามจะเลี่ยงออกไปเพื่อโทรหาอธิป“ไม่เป็นไร ผมเอามาแล้วนี่ไง”ตาคู่กลมโตเหล
เป็นเช้าที่มาธาวีตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย ทั้งที่บ้านเธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ปกติมานอนที่บ้านเมื่อไรหญิงสาวจะลุกขึ้นไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นหน้าระเบียงห้องนอนตอนเช้า ทว่าวันนี้แม้แสงแดดส่องผ่านกระจกที่ผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้เจ้าของร่างอรชรก็ไม่มีอารมณ์จะลุกขึ้นแต่อย่างใด ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในมือถือจึงหยิบขึ้นมาดู‘พี่ปัฐบอกให้ส่งเบอร์เขาให้สองน่ะ แล้วเขาก็ขอเบอร์สองไปด้วย เห็นว่ารับปากพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเอาไว้ตอนท่านชวนไปทานข้าวที่บ้าน เลยขอเบอร์สอง’เห็นข้อความของกัญญานันแล้วก็ได้แต่ทิ้งมือถือลงอย่างอ่อนแรง ไม่นึกอยากให้ปัฐวิกรมาที่บ้านของเธอเลยสักนิด สังหรณ์ในใจบอกเธอว่าเรื่องราวคู่หมั้นจอมปลอมจะไม่จบลงแค่ที่พี่สาวของเธอแม้แทบไม่อยากลุกจากเตียงนอนไปเผชิญหน้ากับมาลินีในเวลาอาหารเช้า แต่มาธาวีก็ต้องขยับตัวเพราะไม่อยากทำตัวให้ผิดปกติจนอีกฝ่ายหาเรื่องค่อนขอดได้อีก จึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจร่างโปร่งระหงในชุดข้าราชการเรียบร้อยเดินลงจากบันไดไปก่อน มาธาวีที่ก้าวออกมาเห็นอีกฝ่ายหยุดกึกรอให้
‘จะเอาให้ครางเอาอีกๆ ไม่หยุดเลย คอยดูสิ’‘ไอ้บ้าเอ๊ย!’มาธาวีตะโกนด่าเสียงดังอย่างรังเกียจสุดจิตสุดใจ ทั้งยังวาดมือใส่หน้าที่ซุกไซ้แก้มกับลำคอไม่หยุดสุดกำลังเท่าที่มือจะใช้แรงได้‘โอ๊ะ...’ได้ยินเสียงเข้มดังก่อนชายหนุ่มจะเข่นเขี้ยว‘ตบเหรอหา!’เพี้ยะ!!แรงกระทบหน้าหนักหน่วงทำเอามาธาวีถึงกับชาไปทั้งข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงความเจ็บจี๊ดตรงมุมปาก เธอชะงักไปอึดใจหนึ่งเลยเดียว‘ไง หมดฤทธิ์แล้วสินะ’น้ำเสียงเยาะหยันอย่างพอใจก่อนคุณากรจะถอยออกไปถอดเสื้อของตัวเอง คงเพราะเห็นว่าเธอไม่กล้าแผลงฤทธิ์แล้ว นั่นทำให้มาธาวีรีบปัดป่ายมือควานหาของใกล้มือตรงโต๊ะหัวเตียงแล้วก็เจอไอแพดกับมือถือของตัวเอง เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงหยิบมือถือปาใส่อีกฝ่าย‘โอ๊ย!’คุณากรสะดุ้ง มาธาวีรีบถอยกรูดให้ห่างอีกฝ่ายมากที่สุดทั้งยังถีบเขาไม่ยั้ง มือหนาคว้าขาเธอเอาไว้ คราวนี้หญิงสาวจึงเอาไอแพดปาใส่ซ้ำไปอีก‘โธ้เว้ย!’อีกฝ่ายสบถเสียงดังอย่างหงุดหงิด ขณะที่ร่างอรชรรีบเผ่นลงจากเตียงวิ่งไปยังประตูห้องด้วยความรวดเร็ว ร่างสูงกำยำก้าวตามมา ทว่าเธอก็เปิดประตูได้พอดี กำลังจะพุ่งตัวออกไปอีกฝ่ายก็ดึงกลับมา แต่เธอทันได้สบตากับคนที่อยู่ห้
น้ำร้อนๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคู่กลมโต ความอึดอัดขัดใจแน่นอยู่ในอก มาธาวีรู้ว่าที่พี่สาวโวยวายเพราะกำลังเจ็บ ไม่ใช่เจ็บเพราะโกรธ แต่เจ็บที่โดนน้องอย่างเธอหักหลังมาลินีเป็นคนขี้บ่นจู้จี้จุกจิกอยู่แล้ว เธอโดนตำหนิบ่อยจนเคยชินแต่รู้ว่าที่พี่สาวมักจะเคือง ไม่พอใจ หรือบ่นเธอก็เพราะหวังดี พอมารู้ว่าถูกหลอกเรื่องผู้ชายก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะปรี๊ดขึ้นมาเธอรู้ว่าพี่สาวเสียใจกับความแห้วของตัวเองมาตั้งแต่ครั้งเปรมินทร์แล้ว แถมยังมีกิตติกรอีก แต่เพราะเป็นคนสวย เริด เชิด การศึกษาหน้าที่การงานดี มาลินีจึงมั่นใจในตัวเองว่าต้องมีคนที่ดีเหมาะสมเข้ามาในชีวิต การได้เจอปัฐวิกรในเวลาใกล้เคียงกับที่ต้องถอยห่างจากกิตติกร มาธาวีจึงไม่แปลกใจว่าหนุ่มมาดเนี้ยบหล่อโปรไฟล์หรูย่อมต้องเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่สาวเธออย่างไม่ต้องสงสัยอีกฝ่ายหมายมั่นปั้นมือกับปัฐวิกรพอสมควร เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักเพราะชายหนุ่มไม่ได้อยู่เชียงใหม่เท่านั้น นั่นทำให้คนเป็นน้องสะเทือนใจเมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อสั่นเครือของพี่สาว จนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยออกไปโดยไม่ได้หันไปมองด้วยไม่อาจฝืนทนเห็นอีกฝ่ายเสียใจได้ ทว่าน้ำเสียงก็เจือความสั่นไม่แพ้