“นอนไม่หลับเลยไม่สบายค่ะ วาสัญญาว่าช่วงนี้จะพักผ่อนให้มาก เลิกกลับบ้านมืดค่ำทำงานล่วงเวลาแล้วค่ะ วาจะไม่ทุ่มเทกับอะไรจนเกินตัวอีกแล้วค่ะป้า” เสียงหวานฟังดูเศร้าสร้อยนัก แต่คนเป็นป้าที่สาละวนอยู่หน้าเตา ไม่ทันได้สังเกต
“งั้นก็ดีแล้วลูก นี่ถ้าคุณอิชย์เขารู้ว่าพนักงานตัวน้อยๆ ทำงานล่วงเวลาจนป่วย เขาคงไม่สบายใจ”
ป้าบุหลันไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น วาสิตาก็แทบหมดความอยากอาหารขึ้นมาทันที อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่อยู่กับเขาบนโซฟาตัวนั้น แล้วรู้สึกผิดบาปต่อมินตราอย่างที่สุด
เมื่อราดหน้าร้อนๆ ถูกวางลงตรงหน้า ป้าบุหลันก็ยิ้มหวานแล้วลูบศีรษะวาสิตาอย่างรักใคร่ ทำให้คนที่แทบไม่อยากจับช้อนจำต้องยิ้มตอบ แล้วเริ่มรับประทานอย่างเสียมิได้
รสมือของป้าอร่อยล้ำเสมอ ไม่ว่าเมนูไหนก็ทำให้เธอเจริญอาหารไม่เปลี่ยน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะต่างออกไป วาสิตาตักราดหน้าใส่ปากโดยไม่อาจรับรู้รสชาติของมันได้เลย
มีเพียงกลิ่นและรสชาติของความขมขื่นเท่านั้น...
“ป้าคะ” วาสิตาเรียกไว้ ก่อนที่ป้าบุหลันจะเดินออกไปจากครัว
“ว่าไงลูก”
“ถ้าวาอยากลาออก แล้วหางานทำใหม่ ป้าจะว่าอะไรไหมคะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ป้าก็เห็นวามีความสุขกับงานเดิมมากไม่ใช่เหรอ” หญิงวัยหกห้าปีดูแปลกใจ รีบเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะอาหาร แล้ววางมือลงบนไหล่
“ใช่ค่ะ แต่มันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว วาอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าวา วาบอกป้าได้นะลูก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ วาแค่รู้สึกเบื่อๆ เท่านั้นเอง งานที่ทำไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรียนมาเท่าไรด้วย แต่ถ้าป้าไม่อยากให้วาลาออก...”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ป้าเคารพการตัดสินใจของหนูเสมอนะ งานน่ะ วาทำ ไม่ใช่ป้าทำ ถ้าวาอยากเปลี่ยนงานก็ตามใจเลย ป้าพร้อมสนับสนุนวาอยู่แล้วลูก”
ป้าบุหลันรีบอธิบาย ยิ้มหวานส่งให้หลานสาวคลายใจ
ไม่ว่าวาสิตาจะเลือกชีวิตของตัวเองแบบไหน ในฐานะป้าที่เลี้ยงดูมา บุหลันมีหน้าที่คอยสนับสนุนและช่วยประคับประคองในยามที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่เคยคิดจะทำตัวเป็นเจ้าชีวิต คอยสั่งให้ทำตามใจเลย ด้วยเหตุนี้เองวาสิตาถึงได้รักผู้เป็นป้ามากเหลือเกิน
“ขอบคุณนะคะ วาโชคดีจังที่มีป้าเสมอ” เธอซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
“ไม่ใช่แค่มีป้าเสมอนะ แต่วาจะมีป้าไปตลอดจนกว่าเราจะตายจากกันเลย” คำพูดของบุหลันทำเอาน้ำตาที่คลออยู่แล้วไหลรินรดแก้มลงมาทันที
วาสิตาหัวเราะน้อยๆ แก้เก้อที่ทำตัวงอแงเหมือนเด็ก มองป้าบุหลันที่ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มให้ด้วยความรัก ถึงชีวิตจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังมีป้าอยู่ตรงนี้ เธอจะไม่ยอมอ่อนแอเด็ดขาด
วาสิตาวางช้อน แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของป้าทันที...
“วารักป้านะคะ ถ้าวาทำอะไรไม่ดีลงไป วาขอโทษค่ะ”
เสียงหวานสะอื้นสั่นเครืออยู่กับอก
“ไม่มีหรอกลูก ตั้งแต่ป้าเลี้ยงวามา วาไม่เคยทำให้ป้าผิดหวังเลย แต่ถึงมี ป้าก็ไม่โกรธ เพราะป้ารู้ดีว่าหลานสาวของป้าจะทำอะไร ย่อมคิดดีก่อนแล้ว”
หญิงสูงวัยเอ่ยแล้วก้มลงจูบเบาๆ กลางศีรษะ
“ไม่เอาน่า ไม่งอแงนะลูกนะ เวลาไม่สบายมันก็ห่อเหี่ยวแบบนี้แหละ หยุดร้องไห้แล้วกินต่อเถอะ กินแล้วจะได้ขึ้นไปนอนพักต่ออีกหน่อย คนเก่งของป้า”
ยิ่งได้ยินการปลอบประโลมเสียงนุ่มนั้น วาสิตายิ่งร้องไห้หนักขึ้น
มันคงดีกว่านี้ หากเธอกล้าพอที่จะเล่าความจริงให้ป้าบุหลันฟัง ความทุกข์ตรมขมขื่นในอกคงลดลงไปมาก ถ้ารู้ว่าป้ายอมให้อภัยกับความไม่เจียมตัวของเธอเอง ที่ผ่านมาเธอสามารถพูดคุยปรึกษาป้าได้ทุกเรื่อง แต่กับเรื่องนี้ วาสิตาไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
เพราะเรื่องบางเรื่องก็ควรเป็นความลับตลอดไป...
อิชย์กระวนกระวายตลอดทั้งวัน ไม่มีสมาธิในการทำงานเลย เขาใช้เวลาค่อนข้างนานในการทำความสะอาดโซฟาที่เปื้อนคราบเลือด จากนั้นก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดมิเนียม แล้วกลับเข้ามาทำงานเหมือนอย่างทุกวัน
เช้านี้นงนุชเงียบขรึมกว่าที่เคย ไม่ทักทายยิ้มแย้มเหมือนทุกวัน มันทำให้เขาอดระแวงไม่ได้ว่าเลขานุการหน้าห้องอาจรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า แต่พอทบทวนดูใหม่ก็มั่นใจว่าคงไม่ใช่ น่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนพนักงานหลายคน รวมทั้งนงนุช ออกไปดื่มสังสรรค์เลี้ยงส่งพนักงานคนหนึ่งที่จะลาออกมากกว่า ทำให้เช้านี้ไม่สดใสเหมือนเคย
แปลก...แล้วทำไมเมื่อวานนี้วาสิตาถึงยังอยู่ที่บริษัทจนเย็นย่ำ ไม่กลับไปเตรียมตัว หรือมันจะเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ว่าเธอจงใจให้เรื่องเลยเถิดเกิดขึ้น!
อิชย์แทบทนรอให้ถึงเวลาเลิกงานไม่ไหว แรกทีเดียวคิดว่าหากวาสิตามาทำงานตามปกติ เขาจะเรียกมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่พอรู้ว่าเธอหนีหน้าลาป่วย เขาก็ตั้งใจจะตามไปพบถึงที่บ้านเลย ดูสิ...วาสิตาจะให้คำตอบกับเขาอย่างไร แล้วเธอจะคิดเรียกร้องอะไรหรือไม่ที่เลือกเสียตัวให้กับเขา
นับตั้งแต่มะปรางจากไปพร้อมกับลูกในท้อง เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครมาแทนที่ภรรยาสุดที่รักอัญรสเองก็บริสุทธิ์ใจเสียจนคิดน้อย ลืมไปแล้วว่าคนข้างตัวเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและกำลังมึนเมาเสียด้วย เธอพาเขาเข้าไปในห้อง นึกโล่งใจที่ตอนนี้มารดาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นท่านคงดุด่าว่ากล่าวอย่างหนักแน่ ที่เธอให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านเกลียดชังเข้าไส้“เดี๋ยวค่ะ ไปห้องน้ำสิคะ อย่าอ้วกใส่เตียงนะพี่ชิน!”เธอร้องบอก เมื่อเขาไม่ยอมให้ประคองไปทางห้องน้ำ แต่กลับโซซัดโซเซไปที่เตียงนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนนั้นแทน เจ้าของห้องมองแล้วถอนหายใจพรืด โล่งอกไปที่เห็นเขาหลับตาลง ไม่ได้อาเจียนพุ่งอย่างที่เธอนึกกังวลไปเองอัญรสยืนเคว้งอยู่กลางห้อง หัวใจเต้นรัวในตอนที่ก้าวช้าๆ ไปยืนมองชยุตม์ พี่ชายข้างบ้านที่เธอเคยปลื้ม แต่ตอนนี้กลายเป็นหลงรักจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอนวัตผู้เป็นพี่ชายเกิดความหมางใจกับเพื่อนสนิทคนนี้เข้า เธอก็คงได้วนเวียนใกล้ชิดเขาไม่ห่างเหมือนเมื่อก่อนอัญรสยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ให้ชยุตม์ช่วยสอนทำการบ้านบ้าง ช่วยประดิษฐ์งานส่งอาจารย์บ้าง แล้วยังช่วยติ
แน่นอนว่าเมื่อเหล้าเข้าปาก ใครเล่าจะหยุดยั้งได้...ดื่มไป คุยไป ได้อรรถรสจนเผลอรินเพิ่มอีกไม่รู้กี่แก้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว คู่บ่าวสาวเพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องสวีตสุดหรู ชั้นบนสุดของโรงแรม หลังคุณปู่อรรคกับป้าบุหลัน รวมทั้งคนสนิทอื่นๆ อีกไม่กี่คน ขึ้นไปร่วมอวยพรและส่งตัวบ่าวสาวแล้ว บรรดาเพื่อนสนิทของวาสิตาก็ยังไม่ยอมแยกย้ายกันกลับ แต่ลงมานั่งดื่มและคุยกันต่อ เพราะไหนๆ ก็ได้มารวมตัวกันทั้งที จึงอยากสนุกกันเต็มที่ไปเสียเลย“ชิน พอเถอะลูก ขึ้นข้างบนไปพักผ่อนเถอะ” บุหลันเห็นลูกชายลืมตัวดื่มไปมากก็นึกห่วง เดินมาชักชวนให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เปิดไว้ เพราะตอนนี้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว“อีกแป๊บนะครับแม่ กำลังคุยกับเจ้าโปรดสนุกๆ เลย” ชยุตม์ บอกเสียงอ้อแอ้“แต่ถ้าดื่มต่อ แม่กลัวชินจะกลับขึ้นห้องไม่ไหวน่ะสิ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปูให้โปรดพาขึ้นไปส่งก็ได้ค่ะ” เปรมิกาเสนอ“ใช่ครับ คุณป้า เดี๋ยวโปรดพาพี่ชินขึ้นไปส่งให้ก็ได้ครับ วันนี้โปรดกับปูก็เปิดห้องที่นี่ไว้แล้วเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ชั้นเดียวกันกับคุณป้าด้วยครับ”“ก็ได้ลูก ถ้างั้นป้าฝากพี่ชินเขาด้วยนะจ๊ะ”เมื่อปรีชาวัฒน์กับเปรมิกาอาสาว่าจ
หนึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งงานใหญ่โตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น อิชย์ควงภรรยาเดินอวดไปทั่วงาน แสดงความรักด้วยการจูงมือและหอมแก้มวาสิตาอวดคนอื่นอยู่บ่อยๆ เขาโง่มากที่ก่อนนี้มองไม่เห็นความงดงามทั้งภายในและภายนอกของเธอ แต่ช่างเถอะ นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่...คุณปู่อรรค เปรมิกา ปรีชาวัฒน์ ยาตรา รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งทางฝ่ายวาสิตาและอิชย์ ต่างก็ยิ้มแย้มยินดีกับคู่บ่าวสาว พยานรักตัวน้อยในวัยเก้าเดือนเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคน ไม่ร้องไห้โยเยกวนใจใครเลย ราวกับเป็นใจให้พ่อและแม่ได้มีคืนวันที่ดีร่วมกัน“วันนี้เมียผมสวยจัง” เจ้าบ่าวดื่มเข้าไปไม่น้อยจึงปากหวานนัก“อย่าดื่มมากนักนะคะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา...”“กลัวผมไม่ไหวเอา หรือกลัวผมเอาไม่ไหวกันแน่” เขาหัวเราะร่วน“คุณอิชย์! พูดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”เจ้าสาวที่สง่างามและโดดเด่นน่ามองที่สุดในค่ำคืนนี้ ตีเบาๆ ตรงอกสามี ห้ามปรามไม่ให้เขาทำตัวก๋ากั่นนักต่อหน้าผู้คน โชคดีที่ผ่านช่วงที่ต้องขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวทีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเธออายม้วนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ“ไม่เห็นต้องอายใครเลย
“เพราะความรักและการสำนึกผิดล้วนๆ เลยน่ะสิที่ทำให้ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปอีกสักสิบปี ผมก็ยอมนะวา ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เรียบง่าย ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็พอ ผมรักลูก ผมอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีบ้าง ถ้าคุณยอมให้โอกาสผม...”ดวงตาของคนพูดทอประกายอ่อนลง เมื่อเอ่ยถึงแก้วตาดวงใจ วาสิตาถึงกับคอแข็ง เพราะถ้อยคำที่ตัวเองรอฟังยังคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขา“ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณรักลูก แล้วคุณมีแผนยังไงต่อเหรอคะ ถ้าฉันยอมให้โอกาสคุณ คุณจะเอายังไงกับลูก แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงทนไม่ได้แน่ ถ้าคุณจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ ถึงจะแค่วันเดียวฉันก็คงทนไม่ได้ ฉันยอมรับค่ะว่าติดลูกมาก เพราะแทบไม่เคยปล่อยให้แกห่างอกเลย” หญิงสาวบอกความรู้สึกออกไปตามตรง“ผมก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะพาลูกกลับไปกับผมแค่คนเดียวนี่วา ผมอยากให้คุณกลับไปกับผมด้วย”“จะดีเหรอคะ ถ้าวันนึงคุณเกิดอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร...”“เดี๋ยวนะ! นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”อิชย์รีบขัด ยกมือห้ามไว้ไม่ให้เธอพูดต่อ“ที่คุณยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกไม่ใช่เหรอคะ คุณรักลูกมาก แล้วฉันก็จะเลิกขัดขวางคุณ เพียงแต่ฉันกำลังบอกคุณไปตา
อิชย์ขยับตัวเบาๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลพุ่งเข้ามาปะทะจมูกเป็นสิ่งแรก ตามด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เขาขนลุกด้วยความเหน็บหนาวราวกับคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองออก เพราะทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิดการทำงานของมันทันที ชายหนุ่มอยากขยับหันไปมองว่าใครกันที่สละเวลามาเฝ้าดูแลเขา แต่อาการปวดหนึบบริเวณศีรษะที่ถูกเย็บมากกว่าสิบเข็ม ทำให้เขาจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ไปก่อน“เป็นยังไงบ้างคะ”เสียงหวานคุ้นหูทำให้อิชย์ลืมตัว รีบหันไปมองทันที“โอ๊ย!” คนเจ็บร้องลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด“ระวังหน่อยสิคะ! คุณหัวแตกนะ ไม่ได้เป็นไข้หวัด”วาสิตาลุกพรวดจากเก้าอี้ ยืนอยู่ข้างเตียงในจุดที่มองสบตากับคนบนเตียงได้อย่างถนัดถนี่อิชย์หน้าซีดเผือดเหมือนไข่ปอก คุณหมอบอกว่าเขาเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดได้ทันและตามรถพยาบาลได้เร็วทันใจ เขาจึงไม่ช็อกเสียชีวิตไปเสียก่อนรู้แบบนั้นวาสิตาก็ใจหายมาก ตัดสินใจให้ป้าบุหลันกับชยุตม์กลับไปช่วยกันดูแลลูกชาย ส่วนเธออาสาเฝ้าดูแลอิชย์เสียเอง หวังจะไถ่โทษที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้“นี่ผมหลับไปนานมาก
ยิ่งเมื่อภาพเลือดแดงฉานวกเข้ามาในหัว หญิงสาวก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น มองมือของตัวเองแล้วน้ำตาไหล...เธอโทษว่าเขาเลว แต่ตัวเองกำลังเดินตามรอยเดียวกันตอนนั้นเองที่คำพูดของชยุตม์ดังขึ้นในความคิด...‘วารู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยเข้าข้างใครไปมากกว่าวา พี่เจ็บแค้นแทนวามาตลอดที่วาถูกอิชย์มันรังแก แต่พี่ก็ไม่ใช่พวกหูเบาหัวอ่อนนะ พี่มองออกว่าสิ่งที่มันอดทนทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มันเข้าใจว่าพี่กับวาเป็นผัวเมียกัน มันก็ไม่เคยยอมแพ้ มันบอกไอ้เชิดว่าต่อให้วามีใครสักร้อยคน มันก็จะอดทนสู้ต่อไป ถ้ามันยังสันดานเหมือนเดิมล่ะก็นะ ป่านนี้มันคงฉุดวาแล้วก็แย่งลูกคืนไปนานแล้ว มันทำได้ แต่มันก็ไม่ทำ วาจะเกลียดมัน พี่ไม่ว่า แต่มันเจ็บปางตายแบบนี้ วาจะใจดำได้ลงคอเหรอ!’สิ่งที่พี่ชายของเธอพูด ถูกต้องที่สุดแล้ว หากอิชย์ต้องการตัวลูกจริง เขามีอำนาจมากพอที่จะแย่งชิงยอดดวงใจไปจากเธอได้ตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนรอหรือพิสูจน์ตัวเองด้วยความยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้แม้อิชย์จะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลเหมือนจามร แต่ตระกูลของเขาก็สามารถสั่งการทุกอย่างได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกม