อิชย์ครางเบาๆ แล้วยกมือขึ้นคลึงขมับ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด กระบอกตารวดร้าวราวกับถูกทุบ ศีรษะปวดหนึบลามไปจนถึงท้ายทอย มันทำให้เขานิ่วหน้า ริมฝีปากบิดเบี้ยวเหยเกในตอนที่ใช้ข้อศอกยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนขนาดสามฟุต ต้องกะพริบตาถี่ๆ อยู่อึดใจหนึ่ง กว่าสมองจะบอกให้รู้ว่าที่นี่คือห้องพักผ่อนส่วนตัวภายในห้องทำงานนั่นเอง
เจ้าของมือหนายกขึ้นสางผม ตั้งสติต้อนรับผลจากการดื่มหนักเกินตัวขณะลุกขึ้นจากเตียง เดินโซซัดโซเซไปรินน้ำดื่มดับกระหายคลายอาการคอแห้งผาก จากนั้นก็ผลุบหายเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน จนรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้ซีดเผือดและมีหยาดน้ำแพรวพราวเกาะอยู่ จ้องมองตัวเองผ่านกระจกตรงหน้า
เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมาหลับไปตอนไหน แล้วเข้ามานอนอยู่บนเตียงได้อย่างไร รู้แค่ว่าไม่สบายใจเลยที่มินตราทำตัวคล้ายปกปิดบางอย่างเอาไว้...
อิชย์ถอนหายใจ นึกอยากได้กาแฟดำเข้มๆ สักแก้วจึงเดินกลับออกไปในโซนห้องทำงาน เช้ามืดอย่างนี้ย่อมยังไม่มีใครมาที่บริษัท และเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับการที่ต้องชงกาแฟดื่มเอง ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกไปจากห้อง แต่เมื่อสายตามองผ่านไปยังโซฟาตัวยาว เขาก็ชะงักฝีเท้าลงเสียก่อน
ภาพที่ตัวเองกำลังตักตวงความสุขและฟอนเฟ้นร่างงามวกวนกลับเข้ามาในหัว อิชย์หน้าซีด ผงะถอยหลังไปชนกับประตูห้อง มือของเขากำแน่น ตอนตื่นขึ้นมาไม่มีเรื่องนี้ในหัวเลย แต่เมื่อมองไปยังโซฟาตัวนั้น ภาพที่เขาทำบางอย่างกับใครสักคนก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน...
วาสิตา!
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือแค่เพียงความฝัน จึงรีบร้อนปลดถอดกางเกงออกดูทันที พบคราบสีขาวขุ่นปะปนไปกับเลือดที่แห้งกรังยังคงเปรอะเปื้อนอยู่
นั่นเป็นคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่การคิดไปเองอย่างแน่นอน ยิ่งมองเห็นรอยเลือดที่ยังคงฉาบทาอยู่บนโซฟา เขาก็ยิ่งอ้าปากหอบหายใจแรงด้วยความตื่นตกใจ
นี่เขาพลาดพลั้งนอกกายมินตราอย่างนั้นหรือ!?...
“ซวยแล้วไง โธ่เอ๊ย!” เขาอุทานลั่น ยังคงจำไม่ได้ว่าอะไรดลใจให้ทำเรื่องแบบนั้น “วาสิตา...” เขาพึมพำชื่อพนักงานสาวที่ทุกคนในบริษัทต่างก็รู้ดีว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา
อิชย์ไม่รู้ว่าเป็นแค่เพราะความเมาหรือเปล่าที่ทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ จนเผลอไผลหลับนอนกับเธอ แต่วาสิตาจะต้องรู้ดีกว่าเขาแน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธออาจวางยาเขา หรือยั่วยวนหลอกล่ออาศัยตอนที่เขาเมาเพื่อให้ทำเลยเถิด คงหวังสบาย จะได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นอย่างอื่น
หรือไม่ก็ตั้งใจจะข่มขู่เรียกร้องเงินทองทีหลัง ไม่อย่างนั้นวาสิตาคงไม่ลงทุนเอาความบริสุทธิ์เข้าแลก ยอมเสียเลือดพลีกายเพื่อเขาถึงขนาดนี้หรอก
“เห็นหน้าตาใสซื่อ ไม่คิดเลยว่าจะร้ายขนาดนี้” อิชย์พึมพำอย่างขุ่นเคือง จากที่เคยนึกเอ็นดู เห็นวาสิตาขยันขันแข็ง ทุ่มเทเพื่องานและอัธยาศัยดีมาก เขากลับไม่พอใจเธอขึ้นมาทันที
หากหวังจะทำลายชีวิตเขาด้วยการข่มขู่ให้รับผิดชอบ เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด แต่ถ้าเธอต้องการเงิน เขาอาจจะยอมจ่ายเพื่อจบปัญหา แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่องเสียก่อน
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะรู้ถึงหูของมินตราไม่ได้เด็ดขาด!
เช้านี้วาสิตาไม่ได้ตื่นแต่เช้ามืด แล้วลงมาช่วยป้าบุหลันเตรียมเปิดร้านเหมือนอย่างทุกวัน เนื่องจากตัวร้อนผ่าวด้วยพิษไข้และปวดเมื่อยตามเนื้อตัวมาก เธอนอนซมอยู่บนเตียงจนกระทั่งสายโด่ง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ฝ่ามือเย็นเฉียบของป้าบุหลันทาบลงบนหน้าผาก พร้อมทอดถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างลูก ทำไมถึงเป็นไข้ได้นะ ปกติวาแข็งแรงจะตาย”
“วา...วาดีขึ้นแล้วค่ะป้า แต่หิวจังเลย”
หญิงสาวพูดยิ้มๆ ไม่อยากให้ผู้เป็นป้าต้องกังวล
“งั้นไปอาบน้ำนะ ป้าจะทำราดหน้าไว้ให้ กินร้อนๆ จะได้ดีขึ้น”
“ค่ะป้า” เมื่อวาสิตารับคำแล้ว ป้าบุหลันก็ลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ แล้วเดินกลับออกจากห้องไป
วาสิตานิ่วหน้าในยามที่ขยับลุกขึ้น เจ็บแปลบแสบระบมตรงกลางกายจนต้องนั่งลงเพื่อตั้งสติใหม่ ภาพเมื่อวานที่เกิดขึ้นในห้องทำงานของเจ้านาย ผุดขึ้นมาตอกย้ำอีกครั้งว่าร่างกายของเธอไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความบริสุทธิ์ที่เฝ้าหวงแหนมาตลอดยี่สิบสี่ปี สูญสิ้นหมดไปแล้วด้วยน้ำมือของอิชย์
ผู้ชายที่เธอเฝ้ารักและเฝ้าบูชาเขามาตลอดสองปี...
วาสิตาเม้มปากแน่น ในตอนที่พาตัวเองก้าวลงจากเตียงนอน เหลือบตามองแผงยาคุมฉุกเฉินที่ทิ้งเอาไว้ในถังขยะข้างเตียง ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะไม่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยเธอก็เบาใจไปได้เปลาะหนึ่งที่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยตัวเอง การใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมักให้ผลดี และน้อยคนนักที่จะพลาดท้องขึ้นมาได้
วาสิตาได้แต่ภาวนา ขอให้เธอไม่ใช่กลุ่มคนส่วนน้อยพวกนั้น...
การได้อาบน้ำอุ่นๆ ช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นมาก หญิงสาวจึงยืนพิงผนังอยู่ใต้ฝักบัวนานกว่าทุกวัน เมื่อกลับออกมาเช็ดผมและแต่งตัวด้วยชุดเรียบง่ายอย่างเสื้อแขนกุดสีครีมละมุนตากับกางเกงยีนขาสั้นแล้ว เธอถึงได้เดินลงไปชั้นล่าง แย้มยิ้มน้อยๆ เมื่อพบว่าวันนี้มีลูกค้าเต็มร้านตั้งแต่ช่วงสาย
“เห็นป้าบอกว่าไม่สบาย ดีขึ้นหรือยังจ๊ะ น้องวา”
พนักงานเสิร์ฟที่ชื่อพี่สุดาเดินเข้ามาถาม
“ดีขึ้นแล้วจ้ะพี่สุดา ปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยน่ะจ้ะ”
วาสิตาตอบเสียงใส เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ดีแล้ว วันนี้ลางานทั้งที พักผ่อนเยอะๆ นะน้องวา เห็นป้าแกไปเตรียมราดหน้าไว้รอในครัวโน่นแน่ะ น่าจะใกล้เสร็จแล้ว ไปกินเถอะจ้ะ แล้วจะได้กินยา”
คนที่คุ้นเคยกันมานานแรมปีเอ่ยบอกด้วยความหวังดี วาสิตายิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวทางด้านหลังเพื่อเตรียมรับประทานมื้อแรกในตอนเกือบสิบโมงเช้า
ป้าบุหลันได้รับตึกพาณิชย์สามชั้นย่านดังแห่งนี้ มาจากสามีที่เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อหลายปีก่อน ลุงพรศักดิ์เป็นคนดี มีเมตตา รักและเอ็นดูวาสิตาเหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่ง ป้าบุหลันเองก็เช่นกัน ท่านไม่เคยปริปากบ่นสักคำที่ต้องเลี้ยงดูเธอแทนมารดาที่จากไป
วาสิตาไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเธอ รู้แค่ว่ามีแม่คนเดียวเท่านั้นที่อุ้มท้องและคลอดเธอออกมา หลังเธอลืมตาดูโลกได้แค่ไม่นาน ท่านก็เสียชีวิตไปด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้ป้าบุหลันต้องรับเลี้ยงดู ทั้งที่ตัวเองก็มีลูกชายอยู่แล้วอีกคน
ตอนนั้นป้าบุหลันเองก็ลำบาก ครอบครัวหาเช้ากินค่ำ แต่ยังต้องเลี้ยงทั้งลูกของตัวเองและลูกของน้องสาว ทว่าก็อดทนสู้มาจนกระทั่งส่งเสียทั้ง ‘ชยุตม์’ และวาสิตาจนเรียนจบ
ชยุตม์อายุมากกว่าวาสิตาสิบปี ตอนนี้เป็นเจ้าของรีสอร์ตและสวนผลไม้อยู่ที่จันทบุรี ไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมเยียนมารดาที่กรุงเทพฯ นัก เพราะภรรยาของเขากำลังตั้งท้องลูกคนแรกอยู่ แล้วก็ยังอยู่ในช่วงเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่างโรงงานแปรรูปผลไม้อีกด้วย ทำให้ไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนได้อำเภอตามใจ
ส่วนใหญ่จะเป็นป้าบุหลันเสียเองที่เป็นฝ่ายไปเยี่ยมลูกชาย แต่ถึงอย่างนั้นชยุตม์ก็ไม่เคยทอดทิ้ง โทรศัพท์มาถามไถ่ความเป็นอยู่ของมารดาเกือบทุกวัน ส่งเงินทองมาให้ใช้ไม่เคยขาด แม้ป้าบุหลันจะปฏิเสธว่าตัวเองยังหาได้ก็ตาม ดังนั้นเงินทุกบาทของลูกชาย ป้าจึงเก็บใส่ธนาคารเอาไว้เป็นทุนในยามแก่เฒ่าแทน
“เย็นนี้ป้าว่าจะไปหาพี่ชินเขาหน่อย เห็นว่าหนูมะปรางแพ้ท้องหนักเชียว ป้าคงต้องอยู่ดูแลสักสองสามวัน วาจะลางานไปกับป้าไหมลูก” ป้าบุหลันเปิดฉากพูดคุย เมื่อเห็นหลานสาวเดินเข้ามาในครัว แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“วาขออยู่บ้านดีกว่า ป้าไปเถอะค่ะ ฝากบอกพี่ชินกับพี่มะปรางด้วยนะคะว่าวาคิดถึง”
“แล้วถ้าเกิดป่วยไข้หนักขึ้นมา ใครจะดูแลวาล่ะ ป้าห่วง”
“วาไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากหรอกค่ะ วาแค่...”
หญิงสาวเงียบลง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ
นับตั้งแต่มะปรางจากไปพร้อมกับลูกในท้อง เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครมาแทนที่ภรรยาสุดที่รักอัญรสเองก็บริสุทธิ์ใจเสียจนคิดน้อย ลืมไปแล้วว่าคนข้างตัวเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและกำลังมึนเมาเสียด้วย เธอพาเขาเข้าไปในห้อง นึกโล่งใจที่ตอนนี้มารดาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นท่านคงดุด่าว่ากล่าวอย่างหนักแน่ ที่เธอให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านเกลียดชังเข้าไส้“เดี๋ยวค่ะ ไปห้องน้ำสิคะ อย่าอ้วกใส่เตียงนะพี่ชิน!”เธอร้องบอก เมื่อเขาไม่ยอมให้ประคองไปทางห้องน้ำ แต่กลับโซซัดโซเซไปที่เตียงนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนนั้นแทน เจ้าของห้องมองแล้วถอนหายใจพรืด โล่งอกไปที่เห็นเขาหลับตาลง ไม่ได้อาเจียนพุ่งอย่างที่เธอนึกกังวลไปเองอัญรสยืนเคว้งอยู่กลางห้อง หัวใจเต้นรัวในตอนที่ก้าวช้าๆ ไปยืนมองชยุตม์ พี่ชายข้างบ้านที่เธอเคยปลื้ม แต่ตอนนี้กลายเป็นหลงรักจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอนวัตผู้เป็นพี่ชายเกิดความหมางใจกับเพื่อนสนิทคนนี้เข้า เธอก็คงได้วนเวียนใกล้ชิดเขาไม่ห่างเหมือนเมื่อก่อนอัญรสยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ให้ชยุตม์ช่วยสอนทำการบ้านบ้าง ช่วยประดิษฐ์งานส่งอาจารย์บ้าง แล้วยังช่วยติ
แน่นอนว่าเมื่อเหล้าเข้าปาก ใครเล่าจะหยุดยั้งได้...ดื่มไป คุยไป ได้อรรถรสจนเผลอรินเพิ่มอีกไม่รู้กี่แก้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว คู่บ่าวสาวเพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องสวีตสุดหรู ชั้นบนสุดของโรงแรม หลังคุณปู่อรรคกับป้าบุหลัน รวมทั้งคนสนิทอื่นๆ อีกไม่กี่คน ขึ้นไปร่วมอวยพรและส่งตัวบ่าวสาวแล้ว บรรดาเพื่อนสนิทของวาสิตาก็ยังไม่ยอมแยกย้ายกันกลับ แต่ลงมานั่งดื่มและคุยกันต่อ เพราะไหนๆ ก็ได้มารวมตัวกันทั้งที จึงอยากสนุกกันเต็มที่ไปเสียเลย“ชิน พอเถอะลูก ขึ้นข้างบนไปพักผ่อนเถอะ” บุหลันเห็นลูกชายลืมตัวดื่มไปมากก็นึกห่วง เดินมาชักชวนให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เปิดไว้ เพราะตอนนี้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว“อีกแป๊บนะครับแม่ กำลังคุยกับเจ้าโปรดสนุกๆ เลย” ชยุตม์ บอกเสียงอ้อแอ้“แต่ถ้าดื่มต่อ แม่กลัวชินจะกลับขึ้นห้องไม่ไหวน่ะสิ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปูให้โปรดพาขึ้นไปส่งก็ได้ค่ะ” เปรมิกาเสนอ“ใช่ครับ คุณป้า เดี๋ยวโปรดพาพี่ชินขึ้นไปส่งให้ก็ได้ครับ วันนี้โปรดกับปูก็เปิดห้องที่นี่ไว้แล้วเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ชั้นเดียวกันกับคุณป้าด้วยครับ”“ก็ได้ลูก ถ้างั้นป้าฝากพี่ชินเขาด้วยนะจ๊ะ”เมื่อปรีชาวัฒน์กับเปรมิกาอาสาว่าจ
หนึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งงานใหญ่โตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น อิชย์ควงภรรยาเดินอวดไปทั่วงาน แสดงความรักด้วยการจูงมือและหอมแก้มวาสิตาอวดคนอื่นอยู่บ่อยๆ เขาโง่มากที่ก่อนนี้มองไม่เห็นความงดงามทั้งภายในและภายนอกของเธอ แต่ช่างเถอะ นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่...คุณปู่อรรค เปรมิกา ปรีชาวัฒน์ ยาตรา รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งทางฝ่ายวาสิตาและอิชย์ ต่างก็ยิ้มแย้มยินดีกับคู่บ่าวสาว พยานรักตัวน้อยในวัยเก้าเดือนเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคน ไม่ร้องไห้โยเยกวนใจใครเลย ราวกับเป็นใจให้พ่อและแม่ได้มีคืนวันที่ดีร่วมกัน“วันนี้เมียผมสวยจัง” เจ้าบ่าวดื่มเข้าไปไม่น้อยจึงปากหวานนัก“อย่าดื่มมากนักนะคะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา...”“กลัวผมไม่ไหวเอา หรือกลัวผมเอาไม่ไหวกันแน่” เขาหัวเราะร่วน“คุณอิชย์! พูดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”เจ้าสาวที่สง่างามและโดดเด่นน่ามองที่สุดในค่ำคืนนี้ ตีเบาๆ ตรงอกสามี ห้ามปรามไม่ให้เขาทำตัวก๋ากั่นนักต่อหน้าผู้คน โชคดีที่ผ่านช่วงที่ต้องขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวทีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเธออายม้วนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ“ไม่เห็นต้องอายใครเลย
“เพราะความรักและการสำนึกผิดล้วนๆ เลยน่ะสิที่ทำให้ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปอีกสักสิบปี ผมก็ยอมนะวา ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เรียบง่าย ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็พอ ผมรักลูก ผมอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีบ้าง ถ้าคุณยอมให้โอกาสผม...”ดวงตาของคนพูดทอประกายอ่อนลง เมื่อเอ่ยถึงแก้วตาดวงใจ วาสิตาถึงกับคอแข็ง เพราะถ้อยคำที่ตัวเองรอฟังยังคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขา“ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณรักลูก แล้วคุณมีแผนยังไงต่อเหรอคะ ถ้าฉันยอมให้โอกาสคุณ คุณจะเอายังไงกับลูก แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงทนไม่ได้แน่ ถ้าคุณจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ ถึงจะแค่วันเดียวฉันก็คงทนไม่ได้ ฉันยอมรับค่ะว่าติดลูกมาก เพราะแทบไม่เคยปล่อยให้แกห่างอกเลย” หญิงสาวบอกความรู้สึกออกไปตามตรง“ผมก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะพาลูกกลับไปกับผมแค่คนเดียวนี่วา ผมอยากให้คุณกลับไปกับผมด้วย”“จะดีเหรอคะ ถ้าวันนึงคุณเกิดอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร...”“เดี๋ยวนะ! นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”อิชย์รีบขัด ยกมือห้ามไว้ไม่ให้เธอพูดต่อ“ที่คุณยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกไม่ใช่เหรอคะ คุณรักลูกมาก แล้วฉันก็จะเลิกขัดขวางคุณ เพียงแต่ฉันกำลังบอกคุณไปตา
อิชย์ขยับตัวเบาๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลพุ่งเข้ามาปะทะจมูกเป็นสิ่งแรก ตามด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เขาขนลุกด้วยความเหน็บหนาวราวกับคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองออก เพราะทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิดการทำงานของมันทันที ชายหนุ่มอยากขยับหันไปมองว่าใครกันที่สละเวลามาเฝ้าดูแลเขา แต่อาการปวดหนึบบริเวณศีรษะที่ถูกเย็บมากกว่าสิบเข็ม ทำให้เขาจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ไปก่อน“เป็นยังไงบ้างคะ”เสียงหวานคุ้นหูทำให้อิชย์ลืมตัว รีบหันไปมองทันที“โอ๊ย!” คนเจ็บร้องลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด“ระวังหน่อยสิคะ! คุณหัวแตกนะ ไม่ได้เป็นไข้หวัด”วาสิตาลุกพรวดจากเก้าอี้ ยืนอยู่ข้างเตียงในจุดที่มองสบตากับคนบนเตียงได้อย่างถนัดถนี่อิชย์หน้าซีดเผือดเหมือนไข่ปอก คุณหมอบอกว่าเขาเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดได้ทันและตามรถพยาบาลได้เร็วทันใจ เขาจึงไม่ช็อกเสียชีวิตไปเสียก่อนรู้แบบนั้นวาสิตาก็ใจหายมาก ตัดสินใจให้ป้าบุหลันกับชยุตม์กลับไปช่วยกันดูแลลูกชาย ส่วนเธออาสาเฝ้าดูแลอิชย์เสียเอง หวังจะไถ่โทษที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้“นี่ผมหลับไปนานมาก
ยิ่งเมื่อภาพเลือดแดงฉานวกเข้ามาในหัว หญิงสาวก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น มองมือของตัวเองแล้วน้ำตาไหล...เธอโทษว่าเขาเลว แต่ตัวเองกำลังเดินตามรอยเดียวกันตอนนั้นเองที่คำพูดของชยุตม์ดังขึ้นในความคิด...‘วารู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยเข้าข้างใครไปมากกว่าวา พี่เจ็บแค้นแทนวามาตลอดที่วาถูกอิชย์มันรังแก แต่พี่ก็ไม่ใช่พวกหูเบาหัวอ่อนนะ พี่มองออกว่าสิ่งที่มันอดทนทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มันเข้าใจว่าพี่กับวาเป็นผัวเมียกัน มันก็ไม่เคยยอมแพ้ มันบอกไอ้เชิดว่าต่อให้วามีใครสักร้อยคน มันก็จะอดทนสู้ต่อไป ถ้ามันยังสันดานเหมือนเดิมล่ะก็นะ ป่านนี้มันคงฉุดวาแล้วก็แย่งลูกคืนไปนานแล้ว มันทำได้ แต่มันก็ไม่ทำ วาจะเกลียดมัน พี่ไม่ว่า แต่มันเจ็บปางตายแบบนี้ วาจะใจดำได้ลงคอเหรอ!’สิ่งที่พี่ชายของเธอพูด ถูกต้องที่สุดแล้ว หากอิชย์ต้องการตัวลูกจริง เขามีอำนาจมากพอที่จะแย่งชิงยอดดวงใจไปจากเธอได้ตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนรอหรือพิสูจน์ตัวเองด้วยความยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้แม้อิชย์จะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลเหมือนจามร แต่ตระกูลของเขาก็สามารถสั่งการทุกอย่างได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกม