LOGINอีกด้าน
ภายในห้องทำงานของบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ถูกความเงียบปกคลุมสักพักใหญ่
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบสะอาดตานั่งจ้องตำราเล่มหนาอยู่บนโต๊ะเรียบ ใกล้ ๆ กันนั้นมีแฟ้มเอกสารกองโตวางอย่างไม่ได้เป็นระเบียบมากนักเนื่องจากเพิ่งผ่านการใช้งานมา สายตาคมจดจ่ออยู่กับข้อมูลของโรคชนิดหนึ่งที่เขาต้องเข้าผ่าตัดในบ่ายวันนี้
แต่แล้วความสงบเงียบเหมาะแก่การศึกษาความรู้ก็ถูกเพื่อนร่วมวิชาชีพทำลายลง ประตูห้องดีไซน์สวยเปิดออกโดยชายหนุ่มสวมเครื่องแบบหมออีกคน
“เมื่อคืนนี้หนักไปเหรอวะถึงมาทำงานสายได้” เขาคนนี้ชื่อ ธนา เป็นหมอศัลยกรรมทรวงอกและโรคหัวใจทำงานอยู่แผนกเดียวกันกับเจ้าของห้อง ทั้งสองคนรู้จักกันสมัยเรียนมหาลัยฯ แต่เริ่มสนิทกันตอนเป็นแพทย์ฝึกหัด
“มาตั้งนานแล้วแต่ไปกินกาแฟอยู่” คนถูกแซะรีบออกตัวก่อนจะยกหลักฐานขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสบายใจ ถึงจะชอบเที่ยวกลางคืน แต่เจ้าตัวก็แยกเรื่องงานกับเรื่องเที่ยวออกจากกันอย่างชัดเจน
“อย่าบอกนะว่ามึงไปดื่มกาแฟกับคุณหมอมัดมา” ไม่ตอบหากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แต่การที่เขาให้ความเงียบตอบแทนก็ยิ่งทำให้คุณหมอมาดเจ้าชู้รู้สึกเจ็บใจเข้าไปใหญ่
“มึงพาหมอมัดของกูไปกินไส้กรอกมาแล้วใช่ไหมไอ้ภิม มึงยอมรับมาเลยนะ” เหยื่อชิ้นโตที่เล็งเอาไว้คงจะถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมงับไปรับประทานเรียบร้อยแล้ว
เป็นอีกคร้้งที่ชายหนุ่มไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ช่วยไม่ได้ ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง
“ไอ้เพื่อนเลววว” ทำท่าฟึดฟัดก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หมอธนากอดอกมองหน้าเพื่อนด้วยความแค้นเคือง และตอนนั้นเองก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“เออ ว่าแต่ ผู้หญิงที่มึงหิ้วออกไปกินเมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ” พอเป็นเรื่องผู้หญิง ดวงตาของหมอธนาก็เป็นประกาย ความขุ่นเคืองก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งสองคนคบหากันมานานเกินกว่าจะให้เรื่องยิบย่อยพวกนี้มาทำลายความสัมพันธ์
สายตาคมคายซึ่งกำลังไล่ดูฟีดข่าวบนจอโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยเปื่อย พลันหยุดเคลื่อนไหวและนิ่งไป จนอีกฝ่ายต้องพูดย้ำ
“มึงได้ยินที่กูถามไหม”
“งั้นๆ” เขาแค่จะตอบให้จบ ๆ เพราะรำคาญคู่สนทนา หากแต่นัยน์ตาคมกริบกลับเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง
ความจริงจะใช้คำว่า งั้น ๆ ก็คงไม่ได้เพราะลีลาแบบนั้น...ต้องเรียกว่าเด็ดดวงถึงจะถูก
“เหรอ แล้วมึงมีเบอร์ติดต่อไหม กูขอหน่อยดิ” ไม่รังเกียจถ้าเพื่อนฝูงจะมีน้ำใจแบ่งอาหารชิ้นใหญ๋ให้กันกินบ้าง
ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่ง ภาพตอนที่เขาตื่นนอนก็ฉายขึ้นในหัว แต่นอกจากเขาจะไม่มีช่องทางติดต่อ แม่เสือสาวคนเมื่อคืนนี้ยังทิ้งค่าตัวไว้ให้เขาพร้อมกับข้อความเหล่านั้น
ความคิดชั่วครู่ทำให้การสนทนาชะงักไปอีกครั้งจนอีกฝ่ายต้องย้ำคำถามอย่างนึกรำคาญบ้าง
"มึงได้ยินที่กูถามไหมเนี่ย ตกลงมึงมีเบอร์ติดต่อผู้หญิงคนนั้นไหม คอนแทคต์ไลน์ก็ได้ หรือว่าจะเก็บไว้กินต่อ"
"ไม่มี" เขาขยับฐานแว่นสายตากรอบสีขาว ตั้งใจว่าจะอ่านตำราแพทย์ต่อเป็นการขอจบการสนทนา แต่พอสั่งให้สมองกลับไปจดจ่อกับตัวหนังสือเจ้าของเงินห้าร้อยก็กวนใจเขาไม่เลิก
“เคยมีผู้หญิงทิ้งเงินไว้ให้มึงไหมวะ?”
“เงินอะไรวะ?” หมอธนาขมวดคิ้วทำท่าสงสัย คนตั้งคำถามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังหารือกันเรื่องคนไข้
“ก็หลังจากมีอะไรกันแล้ว”
“ไม่เคย ทำไม?”
“เปล่า” เมื่อคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามพวกนี้ก็หันหน้ากลับไปหาตำราในมือ ทว่าท่าทีส่อพิรุธก็ทำให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์เกิดอยากรู้ขึ้นมา
“อย่าบอกนะว่าหลังจากกินกันเสร็จแล้วผู้หญิงเอาเงินให้มึง” พอเห็นเขาเงียบ หมอธนาก็เลยยิ่งมั่นใจในข้อสงสัยของตนเอง แม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ความหมายก็ไม่แตกต่างกัน
“เห้ย! จริงเหรอวะไอ้ภิม”
"อืม" เขายอมรับออกมาง่าย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเสียหน้า เพียงแต่เขาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบเธอ
ปกติถ้าไม่ขอสานสัมพันต่อ ร้อยทั้งร้อยผู้หญิงก็ต้องขอค่าเสียหาย แต่เธอ…กลับชิ่งหนีไปก่อน หนำซ้ำยังทิ้งแค่ร่องรอยกับเงินห้าร้อยบาทเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
พอสรุปเรื่องราวได้คุณหมอมาดเจ้าชู้ก็ล้อเพื่อนยกใหญ่
“มึงรับงานอย่างว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กูไม่เห็นรูเลย”
“รับพ่อง…” ตอกกลับแบบไม่ออกเสียง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อนทำเหมือนเงินห้าร้อยนั่นคือค่าตอบแทนสำหรับลีลาสุดเร่าร้อนของเขา
“แล้วผู้หญิงคนนั้นทิ้งค่าตัวไว้ให้มึงเท่าไหร่วะ” คนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมอาชีพและเพื่อนร่วมหัวจมท้ายรอฟังคำตอบด้วยความตั้งใจ ประหนึ่งเป็นประชุมสำคัญกับระดับผู้บริหาร
“มึงไม่ต้องรู้หรอก” พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกไปจากห้องเพราะอีกสิบกว่านาทีข้างหน้าเขามีตรวจคนไข้วีไอพี
นอกจากหมออย่างเขาจะต้องรักษาคนมีเงินเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ ข้อมูลทุกอย่างของคนไข้จะต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ส่วนมากบรรดาคนไข้วีไอพีเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง ตลอดจนนักการเมืองที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้เรื่องสุขภาพ เพราะอาจทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นตามมา
ชายหนุ่มความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเดินไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล ขณะยืนรอลิฟต์เขาหยิบแบงก์ห้าร้อยออกมาจากช่องหนึ่งในกระเป๋าสตางค์ คิดไปถึงเรื่องในเมื่อคืนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะถูกหมอธนาคะยั้นคะยอให้ไปเปลี่ยนบรรยากาศ เขาคงไม่ได้บังเอิญไปเห็นอะไรดี ๆ เข้า
สามสิบปีก่อนตระกูลวิวัฒเมธากุลมีทายาทสืบทอดธุรกิจสองคน คือ คุณนิพนธ์ วิวัฒเมธากุล
อีกคนคือ คุณปรเมศก์ วิวัฒเมธากุล ทั้งสองคนเป็นพี่น้องต่างมารดา อายุห่างกันหนึ่งปี
คุณปรเมศก์เกิดจากภรรยาที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสจึงได้รับมรดกน้อยกว่าพี่ชาย แม้แต่ธุรกิจโรงพยาบาลซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว วิวัฒเมธากุล ก็ตกเป็นของคุณนิพนธ์ ทายาทเกิดจากภรรยาหลวง มีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องถามกฎหมายทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองก็คนประสบกับเหตุการณ์สูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันในเวลาไล่เลี่ยกัน
โชคดีที่คุณปรเมศก์ยังมีสายเลือดไว้สืบทอดมรดก นั่นก็คือ นิรุท ในขณะที่คุณนิพนธ์สูญเสียภรรยาและลูกชายไปทั้งคู่
แต่ภายในปีเดียวกันนั้นคุณนิพนธ์ก็ได้ลูกชายกลับคืนมา ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่ ๆ คุณนิพนธ์ก็เก็บก้อนเนื้อที่ไม่เคยต้องการมาเลี้ยงดูต่างหาก
ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากใช้ วิวัฒเมธากุล ต่อท้ายชื่อด้วยซ้ำ และถ้าเลือกได้เขาอยากกลับไปเป็น พิธา พินิจนันท์ มากกว่า
แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกและไม่ยุติธรรมกับเขาเอาซะเลย
ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเขากับครอบครัวของนิรุทค่อนข้างซับซ้อน แม้ว่าทางนิตินัยจะเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ทว่าพิธากับนิรุทก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนนอก พูดให้ชัดเจนคือพวกเขาไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก
เป็นนิรุทมากกว่าที่คอยตั้งตัวเป็นศัตรูเพียงเพราะเขาเป็น วิวัฒเมธากุล ผู้ซึ่งจะได้ขึ้นแท่นไปนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลในอนาคตอันใกล้นี้
และถ้าคุณปรเมศก์รู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสร้างเรื่องก่อนแต่งงาน อาจจะเกิดปัญหาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
แต่เขาไม่ใช่พวกขี้ฟ้องเล่นสกปรกเหมือนเด็ก สู้ทำเรื่องอื่นน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ
ดีไม่ดี อาจจะมาเพื่อประกาศตัดลูกชายออกจากกองมรดกต่อหน้าทุกคนความเงียบเข้าปกคลุมในงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้แต่เสียงเพลงรักหวานซึ้งของนักร้องชื่อดังยังต้องหยุดเอาไว้เมื่อพ่อกับลูกเผชิญหน้ากันพิธารู้ว่าในใจของอัจจิมาตอนนี้รู้สึกอย่างไร กับการที่พ่อของเขามางานทั้งที่ไม่ยอมรับเธอเป็นสะใภ้ของวงศ์ตระกูล เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือเธอ สายตาสื่อความหมายลึกซึ้งต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เขาก็จะแต่งงานกับเธอและจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปเด็ดขาดให้ความมั่นใจกับเธอแล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับคุณนิพนธ์อีกครั้งผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งซึ่งสนิทกับคุณนิพนธ์พอสมควรตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะเพื่อจะเข้าไปช่วยพูดไม่ให้คนเป็นพ่อทำเสียฤกษ์หรือพูดอะไรที่จะเป็นการหักหาญน้ำใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวผู้ใหญ่คนดังกล่าวไม่ทันจะได้พูดอะไร อดีตนายแพทย์นิพนธ์ก็ยกมือขึ้นห้าม สายตามองไปยังเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด“แกแต่งงานแต่ไม่คิดจะเชิญฉัน ยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่ไหม” แม้จะฟังดูเป็นการต่อว่าต่อขาน หากแต่ทุกคนก็มองออกว่าคุณนิพนธ์ไม่ได้จะมาพังงานแต่งลูกชายอย่างที่พากันกังวล หรือกระทำการใดที่บ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงา
ในที่สุดความอดทนในการเฝ้ารอให้ถึงวันที่เขาจะได้แต่งงานกับอัจจิมาก็จบลง เมื่อฤกษ์มงคลที่ประสิทธิ์ได้มาจากหลวงพ่อวัดดังย่านหนึ่งแล้วก็ขอให้เขารอมาอีกสามเดือน ในที่สุดก็ถึงวันนี้แล้วขณะที่แขกเหรื่อกำลังทยอยกันมาร่วมงาน บ่าวสาวยังอยู่บนห้องรับรอง อัจจิมาที่ตื่นแต่เช้ามืดถูกช่างแต่งหน้าชื่อดังทั้งหมดสามคนรุมแปลงโฉมเป็นเจ้าสาว ด้านเจ้าบ่าวแต่งตัวอยู่อีกห้องหนึ่งชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเรียบหรูยืนรออยู่หน้ากระจกบานใหญ่เกือบเท่าความสูงของชายหนุ่ม สายตาคมปลาบมองสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว จัดเนกไทเส้นแพงหลายครั้ง ไม่ยอมให้มีจุดไหนบกพร่องเล็ดลอดสายตา เมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา“มึงจะดูอะไรนักหนาวะ” เห็นเพื่อนพิถีพิถันกับการแต่งตัวแล้วเคืองลูกกะตาหมอธนาจึงแซวขึ้น พลอยให้ช่างแต่งหน้าสาวสวยมองแล้วยิ้มตาม“มึงไม่เคยแต่งงานมึงไม่รู้หรอก” อยากอ้าปากเถียงให้หายหมั่นไส้ในความขี้อวด แต่หนุ่มมาดเจ้าชู้ก็ดันเถียงไม่ออก เจ้าบ่าวสายเห่อเดินไปหย่อนกายลงบนโซฟาอย่างคนอารมณ์ดี หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของตัวเองจนพอใจแล้ว“เชิญมึงแต่งไปคนเดียวเหอะ ส่วนกูขออยู่เป็นโสดแบบนี้ดีกว่า” คนนั่งไขว่ห้างกร
“เร็วสิ ภิมน้อยมันอยากให้คุณสัมผัสจะแย่แล้ว” ช้อนตามองบอกเสียงนุ่มปนแหบพร่าเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่แกล้งให้เขาทรมาน“แบบนี้ไม่น้อยแล้วค่ะ” อัจจิมาพูดเย้าหยอกหากก็เป็นความจริง ก่อนจะหลุบตาลงมองแผ่นท้องเครียดครัดด้วยมัดกล้ามของคุณหมอเห็นไรขนสีเข้มประปรายเลื้อยต่ำลงไปในขอบกางเกง แล้วจัดการถอดหัวเข็มขัดเส้นแพงออก นิ้วเนียนนุ่มเลื่อนลงไปปลดตะขอทันทีกางเกงเนื้อดีเลื่อนลงจากสะโพกเพรียวตามด้วยบ็อกเซอร์ตัวเล็ก เผยให้เห็นลำเอ็นอวบใหญ่ที่เริ่มจะแข็งขึงขึ้นมาจนน่ากลัวแม้จะยังขยายขนาดไม่เต็มที่เธอลูบไล้เนื้อตัวของเขาโดยปราศจากความเหนียมอาย มือเล็กนุ่มเคลื่อนต่ำลงไปจนถึงกึ่งกลางกาย คว้าจับท่อนเนื้อแข็งร้อนเอาไว้แล้วรูดรึงลำเอ็นขึ้นลงจนมันโป่งพองขยายขนาด รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดขรุขระที่ปูดโปนบนลำยาวเขากดไหล่เธอให้นั่งลงบนขอบอ่างด้านหลังโดยที่เขายังอยู่ในท่ายืน มือข้างหนึ่งกุมมือเธอรอบท่อนเนื้ออวบใหญ่ของตนเอง อีกข้างรวบกำเส้นผมยาวสลวย ตรึงเธอไว้ให้มั่น ก่อนที่มือข้างหนึ่งนั้นจะเคลื่อนต่ำลงไปหาจุดอ่อนไหวของเธอนิ้วเรียวยาวเสียดสีกับยอดเกสร ส่งกระแสซาบซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวรู้สึกถึงความฉ่ำชื้นที่ซ
หลังจากผลการตรวจแน่ชัดว่าอัจจิมาตั้งครรภ์ พิธาก็ขออนุญาตประสิทธิ์ให้เธอมาอยู่ที่เพ้นท์เฮาส์ในช่วงนี้เพื่อที่เขาจะได้สะดวกในการดูแลเธอเริ่มต้นเดือนแห่งความรักท้องฟ้าแจ่มใสตลอดทั้งวัน อัจจิมาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเธอก็หันไปมองข้างกาย กลับพบแต่ร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้มีคนนอนอยู่ด้วยอัจจิมาลุกขึ้นจากเตียงหนานุ่ม เปิดประตูออกไปจากห้อง พลันได้กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก ชวนให้คนเพิ่งตื่นนอนรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อเดินเข้าไปใกล้กับส่วนของเคาน์เตอร์ เธอก็เห็นใครบางคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าพิธาอยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ หากก็ยังดูดี เขาผูกกันเปื้อนสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางดูคล่องแคล่ว เห็นแล้วอัจจิมาก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าเธอไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอจะมีคนตื่นมาทำกับข้าวให้ทาน แถมเขายังตื่นนอนก่อนเธอทุกวันแม้ว่าจะเลิกงานกลับมาดึกดื่น และพิธาก็ปฏิบัติกับเธอแบบนี้ตั้งแต่วันที่สารภาพความรู้สึกอัจจิมาค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของชายหนุ่ม สวมกอดเขาไว้เพียงหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นไปถามคนตัวสูง “ทำอะไรกินคะ หอมจัง”“ข้าวต้มหมู คุณหิ
สองเดือนต่อมาอัจจิมาไม่ได้ไปทำงานเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เมื่อวานที่บริษัทก็หน้ามืดไปครั้งหนึ่ง วันนี้เจ้านายเลยอนุญาตให้เธอหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน“ไปหาหมอหน่อยไหม จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” ประสิทธิ์เห็นลูกไม่ได้ไปทำงานก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูซื้อยามากินแล้ว นอนพักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เจ้าของใบหน้าอ่อนเพลียเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อก่อนจะนั่งลงทานข้าวต้มร้อน ๆ ที่ประสิทธิ์เพิ่งจะยกออกมาให้“คงไม่ใช่ว่าท้องหรอกนะ” เพ็ญพักตร์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็ทำให้เธอฉุกคิด…ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง บางวันอัจจิมาถึงกับต้องเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน เธอจึงลืมไปเสียสนิทว่าเดือนนี้ประจำเดือนยังไม่มา แต่นอกจากอาการหน้ามืดซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่มีอาการอื่นประสิทธิ์มองหน้าหญิงสาว จะว่าไปแล้วสมัยที่บังอรตั้งท้องเธอก็หน้ามืดแบบนี้“ไปโรง’บาลเถอะ เป็นอะไรจะได้รู้”“ไปก็ไปค่ะ แต่วันหลังนะคะ วันนี้หนูไปไม่ไหว”“แล้วทำไมไม่ให้คุณหมอมารับล่ะ” สองสัปดาห์ให้หลังมานี้อัจจิมากลับมานอนที่บ้านทุกวัน อีกทั้งยังไม่เห็นพิธาขับรถมาส่งลูกเหมือนช่วงแรก ๆ ประสิทธิ์จึงถามไถ่ถึงว่าที่ลูกเขย“ช่วงนี้เขางานยุ
ร่างบางในชุดนอนตัวโคร่งขดอยู่ใต้ผ้าห่มกำลังหลับสนิท ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาในห้องกลางดึก ผ้าห่มหนานุ่มถูกดึงเลื่อนลงจากตัวทีละน้อยหญิงสาวขดตัวเข้าหันกันเมื่อผิวเนื้อปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ฝ่ามือเรียวยาวของชายหนุ่มกุมเท้านุ่มนิ่มข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ลูบคลำขึ้นมาถึงปลีน่องนวลเนียน ปลายนิ้วลูบโลมสูงขึ้นไปจนถึงด้านในขาอ่อนใต้ร่มผ้า ลากไล้เนินเนื้อที่กึ่งกลางกายสาวผ่านชุดนอน ‘ไม่ได้นอน’ สุดวาบหวิวที่อัจจิมาเพิ่งจะถอยมาวันนี้ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อคนหลับตาอยู่ส่งเสียงงึมงำออกมา “อื้ออ”“ไหนว่าจะรอผมไง” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ริมหู อัจจิมาลืมตาขึ้นในความมืดสลัว มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก หากก็รู้ว่าเจ้าของมือซุกซนคือเจ้าของหัวใจและร่างกายของเธอ“กี่โมงแล้วคะ”“ตีหนึ่ง” เขากระซิบข้างหูพลางรู้สึกผิดขึ้นมาที่บอกให้เธอรอแต่ตัวเองดันกลับดึกเพราะมีเคสผ่าตัดเร่งด่วนเข้ามา แถมการผ่าตัดใหญ่ยังลากยาวกว่ากำหนด ขนาดว่าเขารีบบึ่งรถกลับมาแล้วอัจจิมายันตัวลุกขึ้นนั่ง พิธาโน้มศีรษะซุกหน้าลงกับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทอง กลิ่นโรงพยาบาลคละเคล้ากับกลิ่นโคโลญจน์จากตัวชายหนุ่ม เธ







