มีนากลับมาถึงโรงพยาบาลก็ถึงเวลาอาหารเย็นของนฤดลพอดี หญิงสาวเตรียมราดหน้าใส่จานให้เขาและตัวเองก่อนจะลากโต๊ะคร่อมมาเตียงให้เขา ส่วนตัวเองก็มานั่งทานที่โต๊ะทานข้าว
ระหว่างทานนฤดดลก็แอบมองหน้ามีนาไปด้วย เขารู้สึกว่ามีนามีอะไรบางอย่างในใจ แต่ไม่กล้าถามเพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว
หลังจากทานอาหารพยาบาลมาเช็ดตัวและพาเข้าห้องน้ำอย่างเคย เพราะลำพังมีนาคนเดียวคงไม่สามารถพยุงเขาลงจากเตียงใต้
“ผมขอออกไปข้างนอกไปสุดอาการข้างนอกได้ไหมครับ” นฤดลถามพยาบาลหลังจากที่เขาเข้าห้องน้ำเสร็จและยังนั่งอยู่บนรถเข็น
“ได้ครับ คุณดลจะไปไหนเดี๋ยวผมพาไปครับ”
“ผมไม่อยากขึ้นไปที่สวนบนดาดฟ้า เขาให้ขึ้นไปใช่ไหมครับ”
“ขึ้นได้ครับ”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมให้มีนาพาไปเอง”
“มีนา ว่าไงพาฉันขึ้นไปได้ไหม”
“ได้ค่ะ บนนั้นสวยมากเลยค่ะ อากาศก็สดชื่นมากด้วย”
“เคยขึ้นไปแล้วเหรอ”
“ค่ะ มีนาขึ้นไปหลายครั้งแล้วตอนที่คุณดลให้พี่พยาบาลเช็ดตัว”
“มีนา ถ้าไม่ไหวก็โทรลงมาตาพี่ได้นะ”
“ค่ะพี่ก้อง”
มีนากับพยาบาลพิเศษที่ชื่อก้องเกียรติเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะเจอกันทุกวัน
ประตูลิฟต์เปิดออกบนชั้นดาดฟ้าที่เต็มด้วยต้นไม้และดอกไม้สร้างความสดชื่นให้กับคนที่อุดอู้อยู่แต่ในห้องมานานเกือบสิบวันอย่างนฤดลเป็นอย่างมาก เขาอยากออกจากห้องมาหลายวันแล้ว แต่ติดที่ยังมีสายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด แต่พอวันนี้เอาสายทุกอย่างออกหมดแล้วจึงได้ขอให้มีนาพาเข้าขึ้นมาด้านบน
“ข้างบนนี้สวยเหมือนกันนะ”
“ค่ะ สวยแต่เงียบไปหน่อย”
“ปกติคนขึ้นมาเยอะไหม”
“ถ้าเป็นเวลากลางวันก็เยอะค่ะ แต่ค่ำๆ แบบนี้มีนาก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน”
“ฉันจะให้มีนาพามาบ่อยๆ ได้ไหม”
“ได้สิคะ มีนารู้ว่าคุณอยู่แต่ในห้องก็น่าจะเบื่อ” เพราะเขาเอาแต่นอนแล้วอ่านเอกสารที่คุณดลฤดีเอามาให้
“แล้วมีนาเบื่อไหม”
“ไม่ค่ะ ปกติมีนาไม่ค่อยชอบออกจากบ้านอยู่แล้ว มีนาชอบอ่านหนังสือหรือไม่ก็ดูซีรีส์มากกว่าค่ะ”
“ฉันเห็นเธอชอบดูจัง มันสนุกมากเหรอ”
“ค่ะ คุณดลอยากดูไหม”
“ไม่ละ ฉันคงแก่เกินกว่าจะดูอะไรพวกนั้น”
“แก่ที่ไหนคะ คุณดลยังไม่แกเลยนะคะ”
“ฉันอายุเยอะแล้วนะ มากกว่าเธอสิบกว่าปีเลยนะมีนา”
“มันก็แค่ตัวเลขค่ะ”
“ขอบใจนะมีนา”
“ขอบใจมีนาเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เธอมาดูแลฉันไง เธอทำให้ฉันรู้สึกดีนะมากๆ นะ การอยู่โรงพยาบาลของฉันไม่ได้เหงาอย่างที่กลัวเลย”
“คุณดลพูดเหมือนจะไม่ให้มีนาดูแลคุณดลต่อ”
“เปล่านะมีนา ฉันอยากให้เธอดูแลฉันต่อ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเพราะกลัวเธอเข้าใจผิด
“คุณดลยังไม่รำคาญมีนาใช่ไหมคะ แล้วถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วให้มีนาไปดูแลต่อที่บ้านได้ใช่ไหมคะ”
“ได้สิ แต่อีกหน่อยตอนกลางวันฉันก็ต้องไปทำงาน เธออยู่บ้านจะเหงาไหมล่ะ”
“ให้มีนาไปทำงานด้วยก็ได้นะคะ หมอบอกว่ากว่าคุณดลจะลงน้ำหนักได้ปกติอย่างน้อยก็สามเดือน ถึงจะเอาเฝือกแล้วก็ยังต้องใส่ที่พยุงข้อเท้าไว้ด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นมีนาก็จะไปเป็นเบ้คอยรับใช้คุณดลจนกว่าจะเปิดเทอมดีไหมคะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว สรุปว่าจากนี้จนกว่าจะเปิดเทอมเธอจะอยู่กับฉันตลอดใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“เราต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เพราะฉะนั้นฉันก็อยากจะให้เขาทั้งสองคนเปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่อง เธอว่าดีไหมล่ะ”
“ค่ะ คุณดลมีอะไรไม่ชอบหรืออยากให้มีนาปรับปรุงเรื่องอะไรคุณดลบอกมีนาได้เลยนะคะ”
“ไม่มีหรอก มีนาทำดีแล้ว ทำแผลก็เก่งขึ้น ฉันไม่เจ็บเลย”
“จริงเหรอคะ” มีนาดีใจที่เขาไม่เจ็บ อันที่จริงการทำแผลเป็นหน้าที่ของพยาบาล แต่พอมีนาได้ฝึกทำแผลมาแล้วเธอก็เลยขอเป็นคนทำเองโดยมีพยาบาลคอยดูอยู่ใกล้ๆ
“จริงสิ”
“เรื่องที่คุณดลบอกว่าจะเปิดใจคุยคือเรื่องทำแผลเหรอคะ”
“ฉันไม่ใช่คนที่จะเปิดใจแต่เธอต่างหากล่ะมีนา เธอมีอะไรอึดอัดใจหรือเปล่าตั้งแต่กลับมาจากบ้าน ฉันว่าเธอท่าทางแปลกๆ ไปนะ”
มีนามองหน้าชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณอย่างช่างใจ เรื่องที่เธอเจอมาวันนี้เธออยากจะเล่าให้ใครสักคนฟัง ครั้นจะโทรไปหาเพื่อน ตอนนี้ทุกคนก็กำลังเที่ยวช่วงปิดเทอมและเธอก็กลัวว่าเวลาเพื่อนมากินข้าวที่ร้านแล้วมีพิรุธ
แต่ถ้าจะเก็บไว้คนเดียวก็รู้สึกอึดอัด ในเมื่อเขาบอกว่าเธอสามารถเปิดใจคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง มีนาก็จะลองคุยกับเขาเรื่องนี้ดีสักครั้ง บางทีการได้พูดออกไปก็คงจะทำให้หายอึดอัด
หญิงสาวตัดสินใจเล่าเรื่องที่เธอไปเจอกับกิตติศักดิ์และรวมถึงคำพูดและกิริยาที่เขาแสดงออกต่อเธอให้เขาฟังอย่างไม่มีปิดบังเพราะอยากฟังความคิดเห็นของเขา และอยากจะรู้ว่าในมุมมองของผู้ชายการแสดงกิริยาแบบนั้นมันมีความหมายอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า
“มีนาบอกเรื่องนี้กับแม่หรือยัง”
“ยังค่ะมีนาไม่กล้าบอก”
“แต่มีนาจะหลบเขาแบบนี้ไม่ได้ตลอดนะ”
“มีนาจะไม่กลับไปอยู่ที่นั่นแกแล้วค่ะ มีนาตัดสินใจไปอยู่ที่บ้านคุณดลแล้ว พี่ฤดีบอกว่าให้มีนาอยู่ที่นั่นจนเรียนจบ”
“แล้วไม่คิดถึงแม่เหรอ”
“คิดถึงสิคะ”
“แล้วคิดไหมว่าแม่อยู่คนเดียวจะเหงา”
“คิดค่ะ แต่แม่ก็ไม่ได้ห้ามถ้ามีนาจะออกมาอยู่ข้างนอก”
“ถ้าเธอตัดสินใจแล้วฉันก็ไม่ว่าอะไร แล้วเธอรู้สึกยังไงเวลาที่เขาเข้ามาใกล้”
“บอกไม่ถูกค่ะ ทั้งกลัวทั้งขยะแขยง”
“เขาใกล้มากแค่ไหน”
“ก็ใกล้จนมีนาได้กลิ่นลมหายใจของเขา มันน่าขนลุกมาก”
“ลองมานั่งบนตักฉันสิ ฉันจะให้เปรียบเทียบความรู้สึก”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้มีนาก็รู้แล้ว คุณดลไม่เหมือนเขาเลยสักนิด”
“ไม่เหมือนยังไง ฉันก็ผู้ชายเหมือนกันนะ เธอลองมานั่งบนตักก่อนแล้วค่อยตอบอีกที”
“แต่คุณดลเจ็บขาอยู่นะคะ”
“กระดูกน่องฉันร้าวแต่ขาฉันไม่เป็นอะไร นั่งแป๊บเดียวไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าเจ็บอย่ามาโทษมีนานะคะ”
พูดจบหญิงสาวก็มานั่งบนตัดเขา นฤดลใช้มือข้างที่ไม่เจ็บกอดเอวไว้หลวมๆ รั้งให้หญิงสาวพิงมาบนหน้าอกแกร่งด้านที่ไม่มีแผล
“ใกล้ฉันแบบนี้ รู้สึกยังไงบ้าง ขยะแขยงไหม” เขากระซิบเบาๆ
“ไม่ค่ะ แต่มีนาใจเต้นแรงมาก”
“ตื่นเต้นเหรอ”
“ประมาณนั้นค่ะ มีนาลุกได้หรือยังคะ”
“ขอห้านาทีได้ไหม ขอฉันอยู่แบบนี้ห้านาทีนะมีนา” นฤดล เกยศีรษะลงบนไหล่มน มีนานั่งนิ่ง หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดต้นคอเธอกลับรู้สึกดีจนอยากให้เขาพิงอยู่แบบนี้ไปนานๆ
ชายหนุ่มหลับตานิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะปล่อยให้เธอลุกขึ้น ชายหนุ่มเห็นว่ามีนาหน้าแดงซ่านก็เลยไม่ได้พูดอะไรเพราะเหมือนกับว่าหญิงสาวกำลังอายที่ได้ใกล้ชิดกับเขามากขนาดนี้
นฤดลเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเมื่อครู่ทำไมถึงทำแบบนั้น แต่ถ้าว่าอยากทำอีกไหม เขาตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า เขาอยากทำเหมือนเดิม อยากใกล้ชิดกับเธออย่างให้เธออุ่นใจว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยังมีเขาอยู่ข้างๆ แม้ว่าสภาพร่างกายของเขามันจะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม
“ไม่ค่ะ ยังไงพิมพ์ก็ไม่หย่า”“แต่ผมไม่อยากยื้ออีกต่อไปแล้วนะ คุณไม่มีความสุข ผมก็ไม่มีความสุข”“คุณจะรีบหย่าแล้วไปหาเด็กนั่นเหรอคะ เราคุยกันแล้วนี่ดลว่าเราจะแต่งงานกันสองปี ถึงตอนนั้นคุณค่อยมาคุยเรื่องหย่าดีกว่าไหมคะ”“ถ้าคุณไม่ยอมหย่าผมจะฟ้องหย่า”“คิดดีแล้วเหรอคะดล คุณจะเอาความสุขส่วนตัวมาแลกกับชื่อเสียงของครอบครัวเหรอคะ”“คุณคงคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าแต่บางครั้งไพ่มันก็เปลี่ยนได้นะพิมพ์”“หมายความว่ายังไงคะ”“ผมมีหลักฐานที่จะฟ้องหย่าคุณได้ ถ้าคุณไม่ยอมจบแบบเงียบๆ”“ถ้าคุณคิดว่ามันคุ้มกับชื่อเสียงก็เอาสิคะ ถ้าคุณฟ้องหย่าพิมพ์ก็จะบอกเรื่องของคุณให้ทุกคนรู้ พิมพ์คงได้รับความเห็นใจมากๆ ใครจะคิดล่ะคะว่าคุณนฤดลที่แสนจะเพอร์เฟกต์จะมีอีหนูซ่อนไว้”“เรื่องแบบนี้ผู้ชายก็มีกันทั้งนั้น แต่ถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณก็หนีสามีไปแต่งงานละ มันจะน่าสนใจกว่าไหม”“ดลหมายถึงอะไร” พิมพ์ปภัสเริ่มร้อนตัว“เรื่องที่คุณพาผู้ชายเข้ามาที่บ้าน ผมไม่ว่าอะไรเลยเพราะมันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ที่คุณควงกันไปเที่ยวต่างประเทศแล้วไปแต่งงานที่นู่น คุณคิดเหรอว่ามันเป็นความลับ”“ดลพูดเรื่องอะไรคะ” พิมพ์ปภัสคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจ
ดลฤดีกลับมาถึงเมืองไทยก็รีบเข้าไปคุยเรื่องสำคัญกับมารดาทันทีโดยที่ยังไม่ทันจะเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บ“เรื่องด่วนอะไรกันหรือว่ามีนาเป็นอะไร” คุณดวงกมลถามลูกสาวขณะที่ถูกเร่งให้เดินเข้ามาในห้องทำงานของบิดาซึ่งตอนนี้เจ้าของห้องนั้นไปรดน้ำกล้วยไม้อยู่ที่เรือนเพาะชำ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมีนาค่ะ มีนาสบายดีทุกอย่างไม่มีปัญหา”“แล้วมันเรื่องด่วนอะไรกันล่ะ”“แม่นั่งก่อนนะคะ”พอให้มารดานั่งและหายาดมมาไว้ใกล้ตัวแล้วก็รีบเล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอมา ทั้งเรื่องที่โรงแรมและเรื่องที่ร้านอาหารในเวกัส“ตาฝาดไปหรือเปล่าลูก เมื่อวานแม่ยังคุยกับน้องอยู่เลย น้องบอกว่าออกมาทานข้าวกับเมียเขา”“แต่ฤดีมีรูปนะคะ นี่ค่ะ” เธอส่งทั้งรูปทั้งคลิปให้มารดาดูซึ่งทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ก็ชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พิมพ์ปภัส“แม่ไม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยัยไง ตอนแต่งงานก็เห็นว่ารักกันดี นี่ลูกชายแม่กำลังโดนหลอกใช่ไหม” หญิงสูงวัยถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า“ฤดีว่าแม่ลองเรียกน้องเข้ามาที่บ้านดีไหม”“แม่ไม่อยากเห็นน้องต้องเสียใจอีกเลย เวรกรรมอะไรกันนะถึงได้มาเจอเรื่องแบบนี้”“แม่ไม่อยากให้น้องรู
มีนาเดินทางมาถึงอเมริกาได้หลายวันแล้ว หญิงสาวเข้าพักที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภาษา ส่วนดลฤดีนั้นพักที่โรงแรมใกล้ๆ เพราะอยากให้มีนาลองใช้ชีวิตคนเดียวระหว่างนี้เธอกับสามีก็ไปดูงานที่โรงเรียนซึ่งใช้เป็นต้นแบบในการจัดการเรียนการสอน ก่อนที่จะพากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ“พี่วัฒน์คะ”“ครับ”“ฤดีว่าเห็นคนรู้จักนะคะ แต่พี่อย่าเพิ่งหันไปนะคะ นั่งนิ่งๆ ก่อนเดี๋ยวเขาจะรู้ตัวค่ะ”“ให้พี่นั่งนิ่งแล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนรู้จักของเราไหม” ธนวัฒน์ถามภรรยาอย่างไม่เข้าใจ เพราะถ้าเขาไม่หันไปดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนที่ตนเองรู้จักไหม“เชื่อฤดีนะคะ นั่งอยู่แบบนี้ก่อน” ดลฤดีบอกสามีจากนั้นเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นเหมือนกำลังถ่ายรูปของธนวัฒน์ แต่ทว่าเธอกำลังซูมกล้องไปไกลกว่านั้นหญิงสาวนึกขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สามารถซูมได้มากจนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่เธอเห็นนั้นใช่คนที่เธอรู้จักไหมดลฤดีกดถ่ายรูป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายวิดีโอจนกระทั่งเธอคนนั้นเดินหายเข้าไปในลิฟต์“พี่วัฒน์ดูนี่นะคะ” เธอส่งโทรศัพท์ให้สามีดูภาพที่ตนเองถ่ายไว้“นี่มันน้องพิมพ์นี่ครับ ผมไม่รู้เลยว่าเธอมาเที่ยว
นฤดลแอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาอยากคุยกับเธอแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เขาคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมานานเกินครึ่งปีนั้นจะทำให้ความรู้สึกที่มีต่อมีนาลดน้อยลงแต่มันกลับตรงกันข้ามเพราะเขายังรักและคิดถึงเธออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อลองเปรียบเทียบกับครั้งที่ตัวเองตามหาพิมพ์ปภัสไม่เจอมันต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่ตนเองแต่งงานไปแล้วและควรมีความสุขกับคนรักที่รอคอย แต่ในทุกๆ วันในใจของเขายังคงนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองมีความสุขกับมีนาอยู่ตลอด“พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนมีนารอก่อนนะ”“ค่ะพี่ฤดี” มีนานั่งรอดลฤดีที่ห้องรับแขกขณะที่คนอื่นก็ต่างก็กลับห้องของตัวเองไปกันหมดแล้ว“มีนาสบายดีไหม” ในที่สุดเขาก็เปิดปากถาม“ค่ะ คุณดลล่ะคะ”“พี่สบายดี” เขายังแทนตัวเองเหมือนเดิมขณะที่อีกคนนั้นเปลี่ยนสรรพนามไป“แม่บอกว่าปิดเทอมใหญ่มีนาจะไปเรียนภาษาเหรอ” เขาพยายามจะชวนเธอคุย อย่างน้อยตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านของตนเองมันไม่ได้น่าเกลียดอะไรถ้าจะพูดคุยกันบ้าง“ค่ะ”“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ”“ขอบคุณค่ะ”“มีนายังโกรธพี่อยู่เหรอ”“เปล่าค่ะ”“แต่เหมือนมีนาไม่อยากคุยกับพี่เลยนะ” เพราะการถามคำตอบคำแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของหญิงสาวท
ทางด้านมีนาที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจใครอื่น แม้จะมีคนเข้ามาจีบแต่มีนาก็ปิดตายหัวใจ เธอทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักและวางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบจะเข้าไปช่วยคุณดลฤดีทำงานที่โรงเรียน ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนที่นฤดลบริหาร แต่หญิงสาวก็ไม่คิดเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานในเมื่ออีกคนแต่งงานไปแล้วเรื่องราวของเธอกับเขาก็จบลงไปด้วย ไม่มีการติดต่อไม่ว่าจะทางโทรศัพท์ทางไลน์หรือทางข้อความ เขาและเธอทำเหมือนอยู่กันคนละโลก แม้จะเจอกันก็แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้นใช่ว่ามีนาจะไม่เสียใจที่ถูกเขาหลอก แต่ชีวิตของเธอจะต้องก้าวไปข้างหน้าต่อ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับเรื่องราวที่ผิดหวังในอดีตเธอก็คงหาความสุขให้กับตนเองไม่ได้ แม้จะรักเขามากแค่ไหน แต่ถ้ามันเจ็บเธอก็ต้องยอมตัดใจ หญิงสาวคิดได้แล้วว่าการอยู่โดยไม่มีคนรักมันไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิดมีนายังคงไปมาหาสู่ที่บ้านหลังนั้นอยู่ตลอด เพราะเธอรักและเคารพทุกคนที่นั่น อีกอย่างตอนนี้นฤดลก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับภรรยาแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้เจอเขาบ่อยนัก“เรื่องฝึกงานมีนาตัดสินใจหรือยังว่าจะฝึกที่ไหน อาจารย์ว่ายังไงบ้าง” ดลฤดีถามขณ
งานแต่งงานของนฤดลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมงานต่างพากันชื่นชมเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก “ดลคะ ยิ้มหน่อยสิคะ แขกมากันเยอะแล้วนะ” พิมพ์ปภัสบอกเจ้าบ่าวที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง “ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อผมอยากยิ้ม คุณอย่ามาบังคับผม แค่เรื่องแต่งงานมันก็มากเกินไปแล้ว” “แต่วันนี้วันแต่งงานของเรานะคะ” “ผมว่ามันเป็นงานของคุณคนเดียวต่างหากล่ะ” นฤดลพูดพลางทำหน้าเบื่อโลกยิ่งกว่าเดิม “ดลคะ เราแต่งงานกันแล้วนะ พิมพ์ว่าดลเลิกคิดที่จะกลับไปหาเด็กมีนานั่นได้แล้ว” “ผมไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้น ผมก็แค่เบื่อที่จะต้องปั้นหน้าว่ามีความสุข” ที่เขาทำหน้าเบื่อก็เพราะไม่คิดว่างานแต่งของตนจะจัดใหญ่แบบนี้ “อดทนอีกนิดสิคะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าหอแล้ว พิมพ์รับรองว่าดลจะมีความสุขและลืมผู้หญิงทุกคนอย่างแน่นอน” พิมพ์ปภัสกล่าวอย่างมั่นใจ เธอจะต้องทำให้นฤดลลืมผู้หญิงที่ชื่อมีนาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถึงกำหนดที่เขากับเธอตกลงกันไว้ “ผมบอกเหรอครับว่าจะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณ” “ดลค่ะ คุณเป็นผู้ชายนะ จะอดทนได้แค่ไหนกั