“สายแหลกกลับมาแล้วเหรอยะ” คำแซวนี้ทำเอาฉันมองบนใส่ยัยเพื่อนตัวแสบ ที่รู้ใจฉันไปเสียทุกอย่าง...ชิส์
“อื้อ…งั้นไปแหลกบุฟเฟ่ต์นะ อยากกินอ่ะ” “ไปสิ” อัปสรตามใจฉัน เราจึงไปกินบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดด้วยกันเสียเลย พอได้กิน พอได้มานั่งคิด มีเพื่อนให้แนวทาง ฉันก็คลายความกังวลไปได้มาก อะไรมันจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้เกิด ฉันจะทำทุกวันให้มันดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง พอกินข้าวอิ่ม ฉันกับอัปสรก็แวะไปที่บริษัทของพี่นิกกับพี่ตรัย ฉันว่างงานก็ว่าได้ ส่วนอัปสรนั้นกำลังเข้าไปช่วยงานที่บริษัท แต่พอไปถึงหน้าห้องทำงานของพี่นิก ภาพที่เห็นผ่านกระจกก็ทำเอาฉันควันออกหู อารมณ์หึงหวงเล่นงานจนหูอื้อตาลายเบาๆ ก่อนจะสะกิดถามคนข้างๆ “แก…นั่นใคร” “แฟนเก่าพี่นิก” คำตอบของอัปสรทำให้ฉันถึงบางอ้อ ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้พี่นิกเคยคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่เมื่อสี่ปีก่อน เขาสองคนเลิกรากันไป พี่นิกเฮิร์ทหนักมากทีเดียว ฉันรู้เรื่องนี้เพราะอัปสรเคยเล่าให้ฟัง และเพราะคิดว่ามันคืออดีตที่จบไปแล้ว พอคบกับพี่นิกก็เลยไม่ได้เซ้าซี้ให้มันดูเยอะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้แต่ขอดูรูปฉันก็ยังไม่เคยทำ “อ้อ…คนนี้นะเหรอ” “อื้อ…คนนี้นี่แหละ ที่ทิ้งพี่ชายฉันไป ชื่อพี่แก้ว” “แล้วนางมาทำอะไรที่นี่” ขณะพูดฉันก็มองไปยังอดีตแฟนของพี่นิก ยิ่งเห็นเธอคลอเคลียใกล้ๆ เขาด้วยแล้วก็ตงิดๆ “ถ้าตอบแบบนางเอก นางก็คงผ่านมาแถวๆ นี้เลยแวะมาทักทายตามประสาเพื่อนเก่า เพื่อนแก่มั้ง” “แต่เซ้นส์ฉันมันบอกว่านางไม่ใช่แค่ผ่านมาแถวๆ นี้แน่ๆ” “คิดเหมือนกัน เพราะถ้าตอบแบบนางร้าย นางก็มาอ่อยดีๆ นี่เอง ดูจากชุดสุดโป๊กับท่าทางยั่วๆ นั่นก็พอจะดูออก นี่ลากได้นางคงลากพี่นิกไปปล้ำแล้วมั้งน่ะ” “หึ...” ฉันทำเสียงหึในลำคอ มองไปยังทั้งคู่ไม่วางตา ฉันไม่ใช่คนขี้หึง แต่ถ้าได้หึงขึ้นมาก็หึงโหดเป็นเหมือนกัน “แกอย่าหึสิ ลุยเลยไหม” “ไม่ต้องหรอก ฉันจะเชื่อว่านางแค่ผ่านมา” “นั่น...วิญญาณแม่พระเข้าสิงแล้วไหมล่ะแก” คำพูดของอัปสรทำเอาฉันขำ ใครมันจะเป็นแม่พระเมื่อเห็นแฟนเก่าถ่อมาหาแฟนตัวเองแบบนี้ได้กัน แค่ยังไม่ถึงเวลาวีนก็เท่านั้น “จริงๆ เพราะผู้ชายคงไม่ชอบผู้หญิงขี้หึงแบบไร้เหตุผลหรอก รอดูว่านางจะทำอะไร ถ้ามากไปกว่านี้ ฉันจะแหวกอกนางเอง” แม้พี่แก้วจะอายุมากกว่าฉันหลายปี แต่ฉันก็ไม่ค่อยอยากเรียกว่าพี่สักเท่าไหร่ เวลาคุยกันกับอัปสรแทนว่านางก็คงไม่แปลก “สายโหดอย่างแท้จริง นี่ชักจะสงสารพี่นิกแล้วสิ” “สงสารทำไมยะ ไม่ได้ทำอะไรผิด ใครจะไปทำอะไรได้” คำท้ายๆ ฉันทิ้งหางเสียง บ่งบอกถึงความไม่ปกติเล็กน้อย ส่วนอัปสรก็ยิ้มแห้งๆ ให้ “จ้ะ…ว่าที่พี่สะใภ้” “ชิส์…แกนี่” “เราเข้าไปหาพี่นิกกัน ยัยพี่แก้วนั่นจะได้รู้ว่าตอนนี้พี่ชายฉันไม่ได้โสดอีกต่อไป” เอ่ยจบสรก็ลากฉันเข้าไปในห้องทำงานของพี่นิกทันที “เดี๋ยวๆ สร อย่าเพิ่ง” “พี่นิก เลิกงานยังคะเนี่ย” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป สรก็เอ่ยทักทายพี่ชายตัวเองก่อน ส่วนฉันก็ยืนอยู่ ข้างๆ นั่นแหละ แอบชำเลืองมองหน้าอดีตคนรักของพี่นิกบ้าง อืมม์…ก็สวยดี ก่อนที่จะมองไปยังพี่นิก ที่หันมาส่งยิ้มให้ฉัน ซึ่งแขกของพี่นิกก็เห็นว่าเรายิ้มให้กัน “ใกล้แล้วจ้ะ” เจ้าของห้องเอ่ยตอบ “ดีเลย สรกับดาหิ๊ว...หิว เลิกงานแล้วเราไปหาอะไรกินกันนะคะ” “แต่ฉันอิ่มยันคอหอยแล้วนะแก ขืนกินอีกนี่มีอ้วกแน่ๆ” ฉันดึงแขนยัยสรไว้แล้วกระซิบกระซาบบอกข้างๆ หู “เออน่ะ...แก เงียบไว้” พอปรามฉันเสร็จ สรก็หันไปทักทายอดีตแฟนเก่าพี่ชาย ที่สรทำเป็นมองไม่เห็นตั้งแต่เข้ามาในห้องเมื่อไม่มีกางเกง มือของเปรมก็ยิ่งสำรวจร่างกายฉันได้ง่ายขึ้น เขาสอดปลายนิ้วผ่านขอบแพนตี้แล้วสัมผัสกลีบดอกไม้ รวมทั้งส่งนิ้วเข้าไปสำรวจยังใจกลางลำตัวของฉัน ที่มันร้อนผ่าวๆ แม้ตอนนี้ฉันจะอยู่ในน้ำก็ตาม“ข้างในตัวที่รักมันทั้งอุ่น แถมยังนุ่มไม่เปลี่ยน” เขากระซิบชม ซึ่งเป็นคำชมที่ทำให้ฉันยิ่งเร่าร้อน ก่อนจะครางออกมาเมื่อเปรมเร่งนิ้วให้ถี่กระชั้นฉันขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนที่เปรมจะโน้มใบหน้าลงมาจูบฉัน ขณะที่ยังคงสอดนิ้วเข้าออกอยู่ในตัวฉันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฉันลอยขึ้นจากน้ำ เพราะถูกเปรมอุ้มให้ขึ้นมานั่งอยู่ริมสระในสภาพกึ่งเปลือยขาทั้งสองข้างของฉันถูกแยกห่างออกจากกัน โดยมีเปรมแทรกตัวอยู่ตรงกลาง เขาไม่รอให้ฉันตั้งตัว ก็โน้มใบหน้าลงไปสัมผัสจุดกึ่งกลางของฉันด้วยความรวดเร็ว แม้จะมีแพนตี้กั้นอยู่ แต่เนื้อผ้ามันก็บางจึงขวางสัมผัสจากปลายลิ้นของเปรมแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ“อืมม์…ที่รักขา” ฉันครางออกมาเสียงกระเส่า พร้อมๆ กับขยำขยี้เส้นผมที่เปียกน้ำของเปรมเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอ
“หูย…อิจฉาริษยาคนมีปั๋วขยันส่งการบ้าน”“บางทีฉันก็ปล้ำเปรมก่อน...โฮะๆ” ฉันยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่วนคนฟังก็แอบแลบลิ้นใส่ฉัน อ้อ…ลืมบอกไปว่าปรางทิพย์ก็แต่งงานแล้ว มีลูกชายน่ารักๆ หนึ่งคน ตอนนี้เรียนอยู่อนุบาลสอง“ยัยหื่น เอ้!...หรือว่าที่แกยังไม่ป่อง เพราะแกมันหื่นเกินไป”“หื่นเกินไป ทฤษฎีไหนของแกอีกเนี่ยยัยปราง”“ทฤษฎีด็อกเตอร์ปรางทิพย์นี่แหละจ้ะ ฉันว่าแกลองห่างกิจกรรมเข้าจังหวะกันไปสักเดือนนึงแล้วค่อยซั่ม คราวนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะติดน่าจะมากขึ้นนะ” ยัยเพื่อนตัวแสบยกตัวเองเป็นด็อกเตอร์ไปซะแล้ว แต่ทฤษฎีนี้ของปรางทิพย์ฉันไม่เคยได้ยิน แต่มันก็ไม่เสียหายที่จะลอง แต่หนึ่งเดือนมันนานไปไหม ฉันจะอดใจได้หรือเปล่า...งื้อ“โหว…ตั้งเดือนนึง” เสียงโอดครวญของฉันดังขึ้น“เออ…เดือนเดียวเอง ท่องไว้สิ ว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ยัยปรางให้กำลังใจฉันแบบสุดๆ“ฉั
จากนั้นก็นั่งคุกเข่าแล้วดื่มกินเกสรน้ำหวานที่กำลังหยาดเยิ้มออกมาจากใจกลางกุหลาบดอกสวย ที่กลีบดอกมันยังคงอวบอูมน่าสัมผัสไม่แพ้ครั้งแรกที่ผมได้เห็น ปลายลิ้นของผมที่ตวัดไปมาทำให้น้องดาสะท้าน ร่างกายสั่นไหวพร้อมๆ กับเสียงครางที่ยังคงดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง“พะ….พี่นิก อะ…อ่ะ” เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่นในยามที่ผมเปลี่ยนมาใช้นิ้วแทนที่จะเป็นลิ้น ผมส่งนิ้วเข้าไปสำรวจความพร้อม ขยับเข้าออกถี่รัว พร้อมๆ กับโน้มใบหน้าลงมาดูดดุนหน้าอกของเธอด้วยการอ้าปากร้อนๆ รับเม็ดยอดสีชมพูสวยที่กำลังแข็งเป็นไตเข้าไปหยอกเย้าในปาก ในขณะที่มือก็ยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกไม่ได้หยุด“พี่นิกขา ดาไม่ไหวแล้ว อ่ะ…” ผมรู้ว่าน้องดาใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเต็มที นั่นเพราะภายในร่างกายของเธอมันตอดรัดถี่รัว ผมจึงเร่งจังหวะส่งเธอไปก่อน เพราะอีกไม่นานผมจะตามไปสมทบน้องดาอ่อนระทวยสลับไหวสะท้านขึ้นลงบ่งบอกว่าได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว ผมยิ้มให้เธอก่อนที่จะรั้งเธอมาจูบหนักๆ ซึ่งน้องดาเองก็จูบตอบผมกลับมาเช่นเดียวกันจังหวะนั
“มีค่ะ” เธอเอ่ยรับ ก่อนจะหยิบผ้าคลุมไหล่ออกมาพันไว้รอบเอวคอด ผมจึงหายใจหายคอโล่งขึ้นมาได้หน่อย เพราะไม่อยากให้ใครแทะโลมคู่หมั้นผมจากนั้นเราก็เดินจูงมือกันไปที่ชายหาด ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเล่นสกีก่อน แล้วค่อยลงเล่นน้ำกันทีหลัง พอเหนื่อยกับกิจกรรมทางทะเล เราก็ขึ้นมาอาบน้ำ แต่งชุดสวยๆ แล้วออกไปดินเนอร์กันที่ชายหาดในค่ำคืนที่มีดาวประดับประดาอยู่เต็มท้องฟ้า“พี่นิก ยิ้มอะไรคะ”“ยิ้มเพราะพี่มีความสุข พี่อยากเก็บภาพตอนนี้ไว้ให้มันอยู่ในความทรงจำเพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจของพี่ พี่จะรอจนกว่าเราจะได้กลับมาพบกัน”“สองปีเอง ไม่นานสักนิด” น้องดาพยายามปลอบผม ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าเธอเองก็กลัวเรื่องเวลาที่เราต้องห่างกัน แต่ผมจะทำลายความกลัวนั้นให้พังราบคาบเอง“ใช่…สองปี ไม่เห็นจะนานเลย”“ดารักพี่นิกนะคะ”“พี่ก็รักน้องดาจ้ะ ไปเต้นรำกับพี่ไหม” ผมเอ่ยชวน เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศมันดูเศร้า&
“ว่าแต่ข้า เอ็งบอกยัยสรยังว่าเย็นนี้ชวนข้าไปกินเหล้า”“บอกแล้วสิ ถ้าไม่บอกข้าจะมาชวนเอ็งแบบนี้เหรอ”“บอกตอนไหนคะ พี่ตรัย” ผมนี่เห็นกับตาว่าไอ้ตรัยมันมีอาการสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองน้องสาวผม พร้อมกับถามเสียงอ่อยๆ ผมอยากหัวเราะท่าทางมันนัก แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้“สร มาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”“ก็นานพอจะได้ยินทั้งหมดนั่นแหละค่ะ ว่าไงคะ สรจำไม่ได้นะ ว่าพี่ตรัยบอกสรตอนไหนว่าเย็นนี้จะไปปาร์ตี้กับพี่นิก...หืม” เอาแล้วไง น้องสาวผมเริ่มซักแล้ว โชคดีนะเพื่อนตรัย“บอกตอนนี้จ้า สรจ๋า...คืนนี้พี่ขอไปปาร์ตี้กับไอ้นิกหน่อยได้ไหมจ๊ะ”“นั่นไง ทีตะกี้ทำเป็นซ่าส์ เอ็งมันก็พ่อบ้านใจกล้าดีๆ นี่เองแหละไอ้ตรัย” ผมเอ่ยขึ้น มันถึงกับหันขวับมามองผมเลยทีเดียว“อืมม์…จะให้ไปดีไหมนะ”“อดแล้วเอ็ง” ประโยคนี้ก็ยังเป็นของผม ส่วนไอ้ตรัยตอนนี้หน้ามันจ๋อยๆ บอกไม่ถูก
“งั้นก็อย่าห้ามพี่เลยนะ พี่ขอ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็ต้องอยู่ห่างกันครึ่งค่อนโลกแล้ว” ผมได้ทีกระชับอ้อมกอด“ชิส์…ทำมาเป็นอ้อน ดูไม่เข้ากับพี่นิกเท่าไหร่เลย”“ก็เมื่อก่อนพี่ไม่เคยมีคนให้อ้อนแบบนี้นี่นา พี่ต้องเป็นพี่ใหญ่ ต้องเข้มแข็ง ขืนมามุ้งๆ มิ้งๆ ยัยสรได้ล้อตาย”“เชอะ”“พี่อ้อนน้องดาก็เพราะพี่รักนะ หรือน้องดาไม่รักพี่” ผมถามกลับบ้าง เพราะอยากได้ยินเธอบอกรักกลับมา ซึ่งมันก็ได้ผล“รักค่ะ ไม่รักพี่นิกแล้วจะให้ดาไปรักใคร รู้อยู่ว่าดาแอบรักคนแถวนี้มาตั้งหลายปี...ชิส์” เอ่ยจบเธอก็ย่นจมูกให้ผม ผมจึงโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มเธอหนักๆ ก่อนจะลามมาเป็นการจูบ ที่มันกินเวลาไปหลายนาที กว่าที่ผมจะยอมปล่อยน้องดาให้เป็นอิสระ“เรื่องหมั้น เดี๋ยวพี่ให้ผู้ใหญ่ไปคุยกันนะ พ่อแม่เราจะได้เจอกันด้วย”“ค่ะ” น้องดาตอบรับอู้อี้อยู่ใต้แผงอกของผม ตอนนี้เธอหายใจหอบเหนื่อย คงเพราะเราเพิ่งจู