:จางหลินอี๋
ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น …อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไป พอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอน ช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้น เมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก "แล้วชุดสายเดี่ยวที่เธอใส่นั้นมันอะไร ทั้งสั้นทั้งบาง" หลังจากวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มก็อดจะมองสำรวจร่างสวยด้วยความไม่พอใจไม่ได้เลย ชุดที่เธอใส่วันนี้เป็นชุดสายเดี่ยวซีทรูสีดำกับกระโปรงยีนที่สั้นจนเห็นขาอ่อนที่ดูขัดตาผมที่สุด ซึ่งขอสาบานกับตัวเองเลยว่าจะไม่ให้เธอใส่แบบนี้อีกเด็ดขาด "แต่งตัวโป๊เกินไปจนรับไม่ได้เลย" ผมพูดก่อนจะห่มผ้าห่มให้เธอถึงคอด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะละความสนใจไปจากหญิงสาวแล้วหันไปสนใจเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอที่กำลังสั่นแทน มันกำลังมีเบอร์โทรเข้าที่ไม่โชว์ชื่อผมเลยถือวิสาสะกดรับมันทันที (ผมอี๋เฉินนะ พอดีได้เบอร์มาจากเพื่อนเธอ) !!! เสียงผู้ชายจากปลายสายทำเอาผมถึงกับตะลึงไปเลยนี่ ไปเที่ยวคืนเดียวมีผู้ชายติดจนโทรมาหาดึกแบบนี้เชียวกลับมารอบนี้เสน่ห์แรงไม่เบาเลยนะยัยตัวดี "..." (เอิ่ม ผมแค่อยากรู้ว่าคุณถึงบ้านปลอดภัยไหม) ผมสูญหายใจเข้าออกลึกๆ พลางหลับตาข่มอารมณ์ร้อนในใจเพื่อไม่ให้มันระเบิดออกมา ยังไงสะผมก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ควรโวยวายกับเด็ก ก่อนจะลืมตามองจ้องไปยังใบหน้าสวยที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างคาดโทษ (ลู่จิน คุณถึงบ้านปลอดภัยใช่ไหม?) "ปลอดภัยดี..."ผมกดเสียงต่ำแสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ปลายสายรับรู้ (อ่อ คุณคงเป็นญาติของเธอที่มารับ ยังไงผมต้องฝากคุณดูแลเธอด้วย...) "ฉันต้องดูแลเธออยู่แล้ว เพราะฉันไม่ใช่ญาติของเธออีกอย่างฉันไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่มีผู้ชายโทรมาหาคู่หมั้นฉันดึกๆ แบบนี้"ผมพูดไปตามตรงและกำลังจะกดวางสายแต่ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสายจนต้องยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง (ถ้าเขามีแฟนทำไมมานัดบอร์ดละ นอกเสียจากเธออยากหาใครสักคนที่ไม่ใช่คนที่อ้างว่าเป็นคู่หมั้น) เสียงท้าทายจากปลายสายทำให้ความอดทนผมหมดทันที ผมกดวางสายแล้วจะปาโทรศัพท์ลงพื้นระบายอารมณ์โกรธแต่ต้องชะงักเมื่อคิดไปว่ามันอาจจะเกิดเสียงดังจนทำคนบนเตียงตื่น ด้วยอารมณ์โกรธที่มีอยู่ตอนนี้มันทำเอาผมร้อนรุ่มไปหมดจนต้องรีบเข้าไปอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายร้อนเย็นลง ในสมองก็ยังวนภาพของลู่จินกับชายคนนั้นไปมาไม่สิ้นสุด การกระทำของเธอวันนี้มันไม่ต่างกับการหยามผมเลย! เธอไปหาคู่ทั้งๆ ที่เรายังมีสถานะเป็นคู่หมั้นกันอย่างชัดเจนมันออกจะมากไปหน่อยไหมลู่จิน!! .... : ไป๋ลู่จิน กริ่งงงงง กริ่งงงงง เสียงนาฬิกาปลุกไม่คุ้นหูดังขึ้นลั่นห้องทำเอาฉันต้องสะดุ้งตัวตื่นมากดปิดมัน สายตาก็ค่อยๆ ปรับโฟกัสไปยังมุมหนึ่งของห้องแล้วต้องชะงักไปเมื่อฉันเห็นร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกำลังกอดอกมองฉันอยู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ก่อนที่สมองจะย้อนภาพเมื่อคืนกลับมาทำให้ฉันต้องหลบสายตาคม "พะ พี่พาฉันมานอนที่ไหน..." "ห้องฉัน" ฉันเงยหน้ามองใบหน้าคมด้วยความแปลกใจ ทั้งๆ ที่ห้องของฉันอยู่ตรงข้ามทำไมเข้าถึงพาฉันมาที่นี่ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยถามผ้าขนหนูผืนโตก็ถูกโยนมาคลุมหัวฉันไว้จนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ "จริงๆ ส่งฉันที่ห้องก็ได้นิ" "เดี๋ยวตื่นมาคุยกับผู้ชาย..." "ห๊า?" "ไปจัดการตัวเองสะฉันจะลงไปเตรียมอาหารเช้า แล้วเราต้องคุยกัน" เขาพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุกก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แค่ฉันที่กำลังมึนงงกับคำพูดของเขา ผู้ชายที่เขาว่าคงจะเป็นมู่อี๋เฉินที่เดินออกมาส่งฉันเมื่อคืนแต่ทำไมเขาถึงได้กลัวฉันคุยกันละในเมื่อไม่ได้ตกลงเริ่มความสัมพันธ์กันเสียหน่อย ฉันแต่งตัวเสร็จก็ตามลงมาด้านล่างก่อนจะเห็นว่าพี่หลินอี้กำลังนั่งทำงานอยู่ในโซนห้องครัวพร้อมกับน้ำเต้าหู้สองแก้วและขนมปังที่ถูกอุ่นให้มีกลิ่นหอมจนฉันอดที่จะวิ่งตรงไปหยิบมันเข้าปากไม่ได้ "อร่อย" พี่หลินอี้ละความสนใจจากคอมพิวเตอร์ก่อนจะพับมันลงเสียงดังแล้วนั่งจ้องหน้าฉันอย่างหาเรื่องจนฉันที่กำลังดื่มน้ำเต้าหู้ถึงกับสำลักเพราะสายตาคมกริบนั้น "เมื่อคืน...มันคืออะไร" "ก็...ไปเฉยๆ เพื่อนชวน"ฉันตอบตามความจริงแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้คนตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นเท่าไหร่นักเขายังคงมีสีหน้าบึ้งตึงไม่ต่างจากเดิม "ไปเฉยๆ แต่ก็ได้ผู้ชายติดมาตั้งคนหนึ่ง"เขาพูดประชดพร้อมกับยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มแถมยังหันหน้าหลบไปอีกทางราวตั้งใจกวนอารมณ์ฉัน "เขาเห็นว่าฉันเมาเลยออกมาส่ง มันก็เท่านั้น" "แล้วทำถ้าไม่ไปอ่อยไว้ เขาจะเป็นห่วงถึงขั้นโทรมาดึกๆ งั้นเหรอ?"ฉันนิ่งไปทันทีหลังจากได้รู้ว่าเมื่อคืนอี๋เฉินโทรหาฉันงั้นเหรอ นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่พอใจฉันมากกว่าเมื่อวานสินะ "ฉันไม่รู้ว่าเขาเอาเบอร์ฉันมาจากไหน แต่ฉันไม่ได้ให้นะคะ" "อืม...แถมยังบอกว่าฉันเป็นญาติของเธอ"พอพูดจบประโยคสายตาคมก็จ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างคาดโทษ "ฉันไม่ได้บอกว่าพี่เป็นใครเสียหน่อย..."ฉันตอบเสียงอ่อน "งั้นต่อไปนี่ก็อย่าลืมว่าฉันเป็นคู่หมั้นเธออยู่ ไม่ใช่หัวหลักหัวตอที่เบื่อเมื่อไหร่ก็วิ่งไปเข้านัดบอร์ดแถมใส่ชุดโป๊โชว์เนื้อหนังให้ผู้ชายมองฟรีๆ"เขาบ่นยาวด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นจนฉันหงุดหงิด "ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันแค่ไม่ได้เจอเพื่อนนานแล้ว ชุดนั้นก็ของเพื่อนก็บอกแล้วว่าฉันจะนอนกับเพื่อนพี่ก็ยังตามมาพอเห็นก็ไม่พอใจทำตัวเป็นตาแก่ เมื่อวานพี่จูบฉันฉวยโอกาสขนาดนั้นฉันยังไม่ถือโทษเลย" "นี่! ไป๋ลู่จิน" เขาขึ้นเสียงทำเอาฉันรีบหดตัวลงทันทีเมื่อกี้โมโหจนเผลอเถียงเขาไปเสียแล้ว แถมตอนนี้เขายังดูโมโหมากขึ้นด้วย ฉันจึงทำได้แค่กินอย่างเงียบๆ ต่อไปท่ามกลางสายตาดุของคนตรงหน้าฉันก็รู้หรอกว่าตัวเองผิดแต่เขาจะมาว่าทำไมในเมื่อฉันโตขนาดนี้แล้วแท้ๆ เขามาดุฉันอีกได้ยังไงเมื่อวานเขาเองก็โกรธจนถึงขั้นเผลอจูบฉันไปแล้วฉันยังไม่พูดสักคำมีแต่เขาที่เอาแต่บ่นอยู่ได้ทั้งๆ ที่เราก็แค่เป็นคู่หมั้นที่ถูกบังคับกันทั้งคู่"ฉันชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น"เสียงของมู่อี๋เฉินเบาราวกับลมถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวในดวงใจเดินออกจากร้านไปจนลับตา กว่าเขาจะทำใจมาแสดงละครกับเธอในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหนักใจไม่น้อย...เพราะเขาเองก็ชอบเธอมาก คนที่เป็นพลังบวกให้คนรอบข้างอย่างลู่จินเขาไม่อยากจะเสียเธอไปเพียงเพราะคบกันไม่ได้ เขาจึงจำยอมจะต้องลดความรู้สึกตัวเองลงเพื่อให้ตัวเองยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม"สวัสดี"มู่อี๋เฉินเอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามานั่งแทนที่ของลู่จินที่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงๆ เขาเห็นหลินอี้แอบมองมาตั้งแต่ตอนที่ลู่จินนั่งรออยู่ตรงนี้แล้ว การที่หลินอี้ทนเก็บความหึงได้ขนาดนั้นคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแน่"เรื่องของลู่จิน..."หลินอี้เอ่ยเปิดประเด็นด้วยเสียงนิ่ง"ไม่ต้องห่วง ผมขอกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอ"มู่อี๋เฉินเอ่ยแทรกประโยคของหลินอี้ เขารู้ดีว่าใบหน้าตึงเครียดนั้นคงคิดว่าเขาจะมาตามเซ้าซี้ลู่จินจนกังวลใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคนตรงหน้าได้คำตอบที่ชัดเจนจากเขาคิ้วที่ถูกผูกโบเป็นปมก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายออกราวกับโล่งใจ"ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้"หลินอี้พูดโดยที่ห
: บริษัทจางหลิน: ลู่จิน ฉันถูกปู่ไล่กลับมาช่วยงานที่บริษัทกับพี่หลินอี้หลังจากที่เราอยู่เฝ้าปู่กันถึงสามวันติด ทำให้ตอนนี้งานที่บริษัทยุ่งเหยิงไปหมด และฉันเชื่อว่าพี่หลินอี้จะไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยถ้าตอนอยู่อเมริกาเขาหัดรับสายเลขาเสียบ้าง "พี่หลินอี้มีอะไรให้หนูช่วยไหม"ฉันถามขึ้นด้วยความเบื่อเหนื่อยเมื่อเล่นเกมจนชนะไปทุกด่านแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันเข้าไปแล้วพี่หลินอี้ก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารและแก้เอกสารอยู่ที่เดิมไม่ขยับ "ไม่มีครับ เบื่อเหรอ?"พี่หลินอี้วางปากกาพร้อมหันมามองสบตาฉันผ่านแว่นตาใส ภาพของเขาตอนนี้มันช่างหล่อเหลาจนสามารถสะกดให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยจริงๆ"ก็...เบื่อสิคะ หางานให้ทำหน่อย"ฉันพูดอ้อนก่อนจะเดินตรงไปกอดคอแฟนหนุ่มของตัวเองไว้หลวมๆ เป็นการเอาใจ ตอนนี้บอกตามตรงฉันไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อแล้ว "อยากทำอะไรละ? ให้พี่กินหนูฆ่าเวลาดีไหม"คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยหอมที่แก้มฉันเสียงดัง ฟอด ตั้งแต่คบกันมาเขาก็เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลยแถมยังไม่เคยจะเลือกที่อีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างเป็นเอาเปรียบไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน"คิดแต่เรื่องลามก!""ก็เห็นครางสะเพรา
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ลู่จินก็ยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่างนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดมากมาย จนหลินอี้ที่เอนตัวทำงานอยู่บนเตียงข้างกันถึงกับต้องเก็บงานแล้วขยับตัวเข้าไปโอบเมียสาวไว้ก่อนจะเกยคางลงบนบ่าเล็กอย่างเอาใจ เขารู้ว่าเธอคงคิดมากเรื่องคุณปู่ไม่น้อยอีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแผนการของท่านเท่านั้น ไม่แปลกที่เธอจะกังวลอันที่จริงการผ่าตัดของปู่ลู่จินผ่านไปได้ด้วยดี เนื้องอกส่วนนั้นถูกตัดได้อย่างปลอดภัย จะเหลือเพียงแค่รอให้แผลฟื้นตัวดีขึ้นก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ อีกทั้งการตรวจสุขภาพครั้งใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"คิดมากเรื่องคุณปู่เหรอ""คิดถึงช่วงเวลาที่ทำให้ครอบครัวหนักใจค่ะ""หมายถึง?""ที่หนูหนีไปทุกคนคงเป็นห่วงมาก...ตอนนั้นหนูโกรธจนไม่ติดต่อใครเลยแต่สุดท้ายทางบ้านก็ยังส่งคนตามหาและตามดูแลห่างๆ""ท่านคงห่วง...""แต่หนูก็ทำเป็นไม่รู้ใช้ชีวิตของตัวเองไป หางานทำเลี้ยงตัวเอง เที่ยวกับเพื่อนทุกวัน...ยังดีที่งานพิเศษรายได้ดีหนูเลยไม่ต้องติดต่อขอเงินทางบ้าน แต่การที่หนูไม่ติดต่อมันก็ทำให้หนูพลาดไปหลายอย่าง..."เสียงลู่จินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนหลินอี้ต้
ร่างสวยยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีโดยที่มีมือหนาของหลินอี้คอยจับที่บ่าไว้ตลอด ทั้งที่ตลอดการเดินทางมาลู่จินทำใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเข้มแข็ง แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นคุณปู่ป่วยจนนอนโรงพยาบาลมาก่อน บอกตามตรงมันทำให้เธอรู้สึกหน่วงที่ใจจนเจ็บ"ไม่เป็นไรนะลู่จิน คุณปู่แค่อ่อนเพลียจากการผ่าตัด"หลินอี้ยังคงปลอบใจแฟนสาว ทำให้ลู่จินมีแรงใจขึ้นมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอย่างสงบ ก่อนที่สายตาสวยของเธอจะมองสำรวจไปทั่วห้องสีขาวแล้วมาหยุดที่ร่างชายสูงวัยบนเตียงผู้ป่วย ร่างนั้นเต็มไปด้วยสายออกซิเจนและสายยางมากมายถูกเชื่อมเข้ากับตัวที่ยังคงนอนนิ่งภาพที่เห็นทำเอาลู่จินถึงกับจุกอกจนน้ำตาไหลเธอได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปหาท่านช้าๆ โดยไม่สนคำทักทายของพ่อและแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่จะวางมือเล็กลงบนมือที่ทั้งขาวซีดและเหี่ยวแห้งตามกาลเวลานั้น "ลู่จินลูกเพิ่งมาถึงทำไมไม่ไปพักก่อนละลูก"แม่ของลู่จินเดินเข้ามาลูบเข้าที่ผมลูกสาวเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นลู่จินก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเอาแต่มองใบหน้าชายสูงวัยที่กำลังนอนหลับนิ่งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"ลู่จิน ตอนนี้คุณปู่เพิ่งได้รับยานอนหลับไปไม่ต้องคิดมาก”
หลังจากลงไปส่งแม่ขึ้นรถไปที่สนามบินเสร็จ หลินอี้ก็รีบขึ้นมาเก็บของเพื่อจะไปรับลู่จินและเตรียมใจจะบอกเธอเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ ทั้งที่ในใจก็กำลังกังวลเรื่องความรู้สึกของลู่จินเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่เขาคิดว่าในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะคบหากันอย่างจริงจังแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ไม่ควรปิดบังเธอเพียงไม่นานเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่จอดรถของกองถ่ายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลู่จินกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทอย่างสะอึกสะอื้น จนหลินอี้ตกใจรีบจอดรถทิ้งไว้กลางทางแบบนั้นก่อนจะตรงเข้าไปโอบไหล่เธอไว้เพื่อปลอบขวัญ"เกิดอะไรขึ้น หนูเป็นอะไร"เขาถามอย่างร้อนใจในขณะที่มือก็ลูบไปตามเนื้อตัวของเมียสาวฟืบ !ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะโผล่กอดหลินอี้แน่นจนเขารับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาใส ก่อนเธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้หนัก"คุณปู่ไม่สบายเหรอ?""รู้แล้วเหรอ?"หลินอี้ถามแฟนสาวเบาๆ เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้เขาซึ่งมันก็แสดงประวัติการโทรเข้าเป็นเบอร์ของคุณน้าแม่ของลู่จิน"แม่โทรมา บอกว่า อึกๆ ที่หายไปเพราะคุณปู่ไม่สบาย"เธอเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มด้ว
หลายวันต่อมาหลินอี้ยังคงทำงานตามปกติส่วนลู่จินแฟนสาวคนสวยวันนี้เธอขอไปออกกองเพื่อไปช่วยงานร้าน ซึ่งชายหนุ่มก็กำชับแฟนสาวอย่างเคร่งครัดว่าอย่าเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบและอยู่ให้ห่างจากมู่อี๋เฉิน ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จเขาจะรีบตรงไปรับเธอ"ประธานครับ""มีอะไรซูเฟีย ถ้าให้เซ็นเอกสารต่อไม่เอาแล้วนะ ฉันต้องไปรับลู่จิน"หลินอี้ตอบเลขาหนุ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำให้ซูเฟียหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ด้านหลังซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาออกจากห้องนี้ไปก่อน ส่วนเธอก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามลูกชายตัวดีก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยเคาะเบาๆ ที่โต๊ะเพื่อเรียกความสนใจของหลินอี้ให้เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อหลินอี้ได้เงยตามองขึ้นมาก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความแปลกใจ เพราะเดิมทีความสัมพันธ์ของเขาและพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหินทำให้การได้พบกันระหว่างเขาและครอบครัวส่วนมากจะเกิดขึ้นทางธุรกิจ แต่ใช่ว่าเขาจะน้อยใจ...เขาเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจมันยุ่งและวุ่นวายมากขนาดไหน"มาได้ยังไงครับแม่ ไม่เห็นบอกก่อนเลย"หลินอี้ยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างอบอุ่น