"พี่หลินอี๋! ทะ ทำไมพี่จูบฉัน!!" "จำไว้แค่ฉันไม่ใช่คนเดิมก็พอ" "พี่เปลี่ยนไปมาก พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้" "มันจะมากจนเธอพูดไม่ออกเลยละ! เตรียมใจของเธอให้พร้อมเถอะ" .............. เรื่องนี้เป็นแนวรักโรแมนติกปากแข็ง ของคุณหนูตระกูลไป๋และคุณชายตระกูลจางที่ต้องเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เด็ก ถึงอย่างนั้นคุณหนูตระกูลไป๋อย่าง 'ไป๋ลู่จิน' ก็ดันฉีกหน้า 'จางหลินอี๋' ต่อหน้าบรรดาญาติพี่น้องในงานหมั้น ก่อนจะหนีไปเรียนไกลถึงบ้านเกิดคนเป็นแม่อย่างประเทศไทย สุดท้ายลู่จินก็ต้องกลับมาอยู่ไต้หวันอีกครั้ง แถมกลับมาครั้งนี้ยังมีเงื่อนไขที่มีหัวใจเป็นข้อต่อลอง! ความสนุกและความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นทุกวันของคนสองคนที่ค่อยอยู่เคียงข้างจริงๆ มันก็ฟินไม่น้อยเลยนะ😍 ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ รอบนี้ขอมาแบบฟินๆ บางน๊า แต่อยากกระซิบว่าพี่หลินอี้เขาขี้หวงน้องไม่เบาเลยน๊าาาา
View More: ไต้หวัน
: สนามบิน ใบหน้าหวานยืนรอที่คนมารับด้วยความหงุดหงิด เธอต้องกลับมาอยู่ที่ไต้หวันเพราะได้รับข้อเสนออันน่าสนใจบวกกับเรียนจบพอดี เธอเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่หน้าตาสวยสง่ารูปร่างสูงพอประมาณ และด้วยหน้าตาที่โดดเด่นนี่แค่ยืนเฉยๆ ยังถูกผู้ชายเข้ามารุมจีบจนเป็นเรื่องธรรมดา "ขอวีแชทหน่อยสิ" "ขอโทษด้วยค่ะไม่เล่น" ไป๋ลู่จินตอบกลับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาชวนคุยอย่างอารมณ์เสีย สายตาก็ทอดมองหาคนตระกูลไป๋ที่พ่อส่งมารับแต่ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที แถมยังถูกผู้ชายหลายคนมองจนรำคาญไปหมดแล้ว พรืบ "ว๊าย..." ลู่จินตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นกอดตัวเองเมื่ออยู่ๆ ก็มีเสื้อสูทตัวใหญ่คลุมเข้าที่ตัวเธอกระทันหัน ก่อนที่สายตาจะหันไปสบเข้ากับดวงตาคมของบุคคลที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง 'จางหลินอี้' ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวเนียนบ่งบอกถึงความเป็นชายหนุ่มเจ้าสำอางที่ใครๆ มองก็รู้ว่าเขามาจากตระกูลผู้ดี ตอนี้เขากำลังยืนมองหน้าหญิงสาวด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก ดวงตาเล็กถึงขั้นเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเจ้าของเสื้อสูทนั้นโอบเข้าที่ไหล่เธออย่างถือวิสาสะต่อหน้าชายที่เข้ามาขอวีแชทเมื่อครู่ "คุณเป็นใครไม่ทราบว่ามายุ่งอะไรกับเธอ"เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งจนน่ากลัว "ผมมาขอวีแชท เธอก็กำลังจะให้" "ฉันไม่ได้ให้สักหน่อย! ไปไหนก็ไปเลย"ลู่จินไล่ชายท่าทางน่ากลัวคนนั้นทันทีอย่างปากเก่งเมื่อรู้ว่าตอนนี้มีคนที่สามารถช่วยเหลือเธอได้อยู่ใกล้ๆ พอชายคนนั้นได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความผิดหวังแล้วเดินหลบไป พอพ้นสายตาหลินอี้ก็รีบดึงสูทสีดำของตัวเองกลับมาใส่ทันทีโดยไม่สนว่าคนตัวเล็กข้างกายจะรู้สึกสับสนมากแค่ไหน "พี่หลินอี้ คลุมให้ฉันแล้วยังจะเอาคืนอีก ข้างนอกนั้นมันหนาวนะ" "เธออยากแต่งตัวโป๊แบบนี้เองก็ทนหนาวไปแล้วกัน" เขาพูดโดยที่ไม่หันหน้ามามองลู่จิน แถมยังเดินหนีนำหน้าไปอย่างไม่สนใจว่าลู่จินจะตามมาหรือไม่ ลู่จินที่ไม่รู้ว่าคนของที่บ้านจะมาเมื่อไหร่ก็ต้องตัดสินใจรีบวิ่งตามคนตัวสูงทันทีโดยที่มือก็ยังลากสัมภาระมาด้วยอย่างกับคนบ้าหอบฟาง ...ไอ้บ้าหลินอี้ ไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง!... ลู่จินลากของตามหลินอี้มาถึงรถจนได้ แต่แทนที่เขาจะช่วยเธอขนขึ้นรถกลับทำเพียงแค่เปิดกระโปรงรถให้แล้วเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ จนลู่จินถึงกับอึ้งในความมีน้ำใจของชายหนุ่มไปเลย "คิดจะแก้แค้นเรื่องเมื่อปีก่อนสินะ! ให้ตายเถอะ" "เร็วๆ หน่อย" เสียงตะโกนจากคนในรถดังขึ้นจนลู่จินถึงกับสะดุ้ง โชคดีที่เขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอบ่นไม่อย่างนั้นเขาคงขับรถออกไปทิ้งเธอให้กลับคนเดียวแน่ๆ : ปีที่แล้ว : ไป๋ลู่จิน "งานหมั้นวันนี้หนูต้องสวยที่สุดเลยนะลูก" ฉันมองตัวเองในชุดกี่เพ้าสีขาวปักลายสวยงามผ่านกระจกเงาด้วยท่าทางเศร้าใจในที่สุดก็มาถึงจนได้...ฉันกำลังจะมีเจ้าของแล้ว คู่หมั้นของฉันชื่อ'จางหลินอี้'เป็นทายาทตระกูลดังที่ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับหนังและพวกเขายังสร้างซีรีส์จนร่ำรวยอีกด้วย เราถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กพอเขาเรียนจบงานหมั้นก็ถูกจัดขึ้นทันทีตามธรรมเนียมของบ้านเรา ซึ่งตระกูลเราก็สนิทกันมานานหลายรุ่นจนคุณปู่ของพี่หลินอี้ได้ขอให้หมั้นหมายฉันไว้เพื่อเป็นการผูกความสัมพันธ์ ซึ่งคุณปู่ฉันก็ไม่ขัดและยอมทำตามเป็นคำขอสุดท้ายของเพื่อนรักก่อนที่ท่านจะจากไป สำหรับฉันเขาเป็นคนดีและคอยดูแลฉันมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต แต่เพราะแบบนั้นฉันถึงคิดกับเขาได้แค่พี่ชายยังไงละ ถึงก่อนหน้านั้นฉันจะเคยหลงรักเขาก็เถอะแต่มันก็ผ่านมานานจนกลับไปรู้สึกแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่เคยสนใจฉันแม้แต่นิดเดียว...ฉันไม่ยอมอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันหรอก มีเหรอไป๋ลู่จินคนนี้จะยอมง่ายๆ มันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งนั้นทำไมต้องมาให้เด็กอย่างเราเดือดร้อนก็ไม่รู้ ฉันจึงจัดการโอนหน่อยกิจเทอมสองของปีสี่ไปเรียนที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะให้พูดว่าเพราะอะไร...มันก็เพราะฉันเกลี้ยกล่อมขอความร่วมมือจากพี่หลินอี้ไม่สำเร็จยังไงล่ะ ตาบ้านั้นยืนยันจะหมั้นอยู่ได้! ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีใจให้ฉันเลยสักนิดไม่สิ...เขาไม่เคยเห็นฉันมีตัวตนในชีวิตเลย "ที่รักงานเริ่มแล้วพาลูกออกไปได้แล้ว" เสียงพ่อฉันดังขึ้นเรียกความสนใจจากฉันและแม่ให้หันไปมอง เขายังคงมีสีหน้าสดชื่นที่ได้บังคับลูกสาวที่ยังเรียนไม่จบให้หมั้นได้จนถึงตอนนี้เลยให้ตาย "จินจิน ทำหน้างออะไรขนาดนั้น งานวันนี้หนูสวยที่สุดเลยนะ" "พ่อไม่ต้องมาพูดเลย ก็บอกแล้วว่าหนูไม่หมั้นพ่อก็ยังบังคับ" "เอาๆ งอนพ่ออีกแล้ว พี่เขาไม่ดีตรงไหนถึงไม่อยากหมั้นกันละ"แม่ฉันถามขึ้น "พี่เขาดีกับหนูมากกกกกกค่ะแม่ แต่แม่ไม่คิดเหรอว่าเราไม่เหมาะสมจะเป็นคนรักกันน่ะ เราโตมาด้วยกันเลยนะแบบตามตูดกันมาเลย" ฉันพยายามอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดแต่ดูเหมือนพ่อกับแม่จะไม่สนใจหิ้วปีกฉันคนละข้างให้เดินออกมาหน้างานที่เต็มไปด้วยบรรดาญาติของทั้งสองฝ่าย ฉันจึงต้องจำยอมปรับท่าทางให้สงบลงก่อนจะนั่งลงตรงที่ที่ถูกจัดไว้ ซึ่งดูเหมือนพี่หลินอี้ก็มารออยู่นานพอสมควรแล้ว งานวันนี้เป็นเพียงพิธียกน้ำชาเล็กๆ ระหว่างสองครอบครัวแต่ถึงอย่างนั้นพอญาติทั้งสองฝ่ายมารวมตัวกันก็เยอะเอาเรื่อง "พี่หลินอี้…พี่ยังเปลี่ยนใจได้นะตอนนี้ยังทัน"ฉันก้มกระซิบชายข้างกายเบาๆ หวังอยากจะให้เขาช่วยพูด "ทำให้มันจบๆ ไปเถอะ"และเขาก็ยังยืนยันคำเดิมเช่นเคยว่าจะยอมทำมัน แถมยังปั้นหน้ายิ้มราวกับมีความสุขกับงานวันนี้เสียเหลือเกิน การเกลี้ยกล่อมไม่สำรวจแม้แต่วินาทีสุดท้าย...ได้เลยเจ้าคนบื้อ ถ้าขอความร่วมมือดีๆ ไม่ยอม พี่จะเสียใจแน่! พิธีการเริ่มต้นตามแบบเรียบง่าย คือทั้งสองฝ่ายทำการยกน้ำชาไปให้ฝ่ายผู้ใหญ่จากนั้นท่านจะอวยพรต่างๆ นานา จนมาถึงพิธีสวมแหวนพี่หลินอี้สบตาฉันนิดหน่อยก่อนจะยืนมือมาขอมือฉันไปสวมแหวนแต่แทนที่ฉันจะส่งมือไปให้ฉันกลับลุกขึ้นยืนท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาแขกในงาน "คุณปู่ ขอโทษด้วยนะคะ" ฉันก้มหัวให้กับคุณปู่ ก่อนจะมองหน้าพ่อและแม่ที่กำลังส่ายหน้ารัวๆ อย่างรู้ทันว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร ฉันยกมือไหว้คุณลุงกับคุณป้าท่วมหัวและท่านก็ยกมือรับไหว้ด้วยความงง ก่อนที่ฉันจะหันมาสบสายตาเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งจ้องฉันอยู่ด้วยสายตาเฉยชา เขาไม่พูดอะไรกับการกระทำของฉันและไม่คิดจะห้ามเช่นกัน แน่ละถ้าฉันหนีไปเขาก็สบายเหมือนกันแถมไม่โดยด่าด้วย ฉลาดทิ้งความผิดให้ฉันจริงๆ เพราะไม่อยากถูกต่อว่าสินะถึงไม่ยอมร่วมมือกับฉัน! ไม่มีใครทันจะได้เอ่ยคำพูดอะไรต่อ ฉันก็รีบถลกกระโปรงกี่เพ้าขึ้นแล้วสาวเท้าวิ่งออกจากงานมาทันทีอย่างไม่คิดชีวติแถมด้านหลังยังมีพ่อกับแม่ฉันตะโกนไล่หลังมาไม่หยุด ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นเมื่อบรรดาญาติต่างพากันลุกขึ้นแล้ววิ่งตามฉันมาติดๆ "ขอโทษด้วยนะพ่อแม่ หนูจะยอมกลับมาก็ต่อเมื่อทุกคนสัญญาว่าจะไม่บังคับหนูหมั้น" "ยัยลูกดื้อทำแบบนี้พ่อกับแม่จะแก้ตัวกับทุกคนยังไง!!!"พ่อฉันตะโกนไล่หลังมา "ไม่รู้!!!!" ฉันตะโกนตอบในขณะที่เท้าก็ยังวิ่งไปตามทาง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าครอบครัวของพี่หลินอี้จะสร้างบ้านหลังใหญ่ไปถึงไหนนี่ฉันวิ่งออกมาจะเป็นกิโลยังไม่ถึงถนนใหญ่เลยด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ! "ยัยจินหยุดนะ"แม่ฉันตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห "โหะ นั้นแท็กซี่ แท็กซี่เว้ย!!" ฉันตะโกนเรียกแท็กซี่ที่เพิ่งจอดส่งคนริมถนนให้หยุดรอ ซึ่งดูเหมือนเขาก็ได้ยินจึงยังหยุดรถรอฉันอยู่ เมื่อถึงรถฉันก็รีบกระโดดขึ้นรถแล้วปิดประตูทันทีก่อนที่ฉันจะลดกระจกมาเอ่ยพูดประโยคสุดน่ารักกับทั้งพ่อและแม่ "ก็บอกให้ออกกำลังกาย นี่ไงวิ่งช้าเลย เดี๋ยวติดต่อมาน๊าาาา" "ยัยลูกจอมแสบบบ" พ่อฉันตะโกนลั่นจนเสียงแทรกเข้ามาในกระจก แต่ตอนนี้ฉันไม่สนแล้วในเมื่อคุยกันดีๆ ไม่ได้ฉันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ ในเมื่อไม่มีใครร่วมมือกับฉัน ฉันก็จะใช้วิธีของฉันเอง! ต่อจากนี้ฉันจะไม่ยอมกลับมาถ้าทุกคนไม่ยกเลิกงานหมั้นนี่สะ!"ฉันชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น"เสียงของมู่อี๋เฉินเบาราวกับลมถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวในดวงใจเดินออกจากร้านไปจนลับตา กว่าเขาจะทำใจมาแสดงละครกับเธอในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหนักใจไม่น้อย...เพราะเขาเองก็ชอบเธอมาก คนที่เป็นพลังบวกให้คนรอบข้างอย่างลู่จินเขาไม่อยากจะเสียเธอไปเพียงเพราะคบกันไม่ได้ เขาจึงจำยอมจะต้องลดความรู้สึกตัวเองลงเพื่อให้ตัวเองยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม"สวัสดี"มู่อี๋เฉินเอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามานั่งแทนที่ของลู่จินที่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงๆ เขาเห็นหลินอี้แอบมองมาตั้งแต่ตอนที่ลู่จินนั่งรออยู่ตรงนี้แล้ว การที่หลินอี้ทนเก็บความหึงได้ขนาดนั้นคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแน่"เรื่องของลู่จิน..."หลินอี้เอ่ยเปิดประเด็นด้วยเสียงนิ่ง"ไม่ต้องห่วง ผมขอกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอ"มู่อี๋เฉินเอ่ยแทรกประโยคของหลินอี้ เขารู้ดีว่าใบหน้าตึงเครียดนั้นคงคิดว่าเขาจะมาตามเซ้าซี้ลู่จินจนกังวลใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคนตรงหน้าได้คำตอบที่ชัดเจนจากเขาคิ้วที่ถูกผูกโบเป็นปมก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายออกราวกับโล่งใจ"ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้"หลินอี้พูดโดยที่ห
: บริษัทจางหลิน: ลู่จิน ฉันถูกปู่ไล่กลับมาช่วยงานที่บริษัทกับพี่หลินอี้หลังจากที่เราอยู่เฝ้าปู่กันถึงสามวันติด ทำให้ตอนนี้งานที่บริษัทยุ่งเหยิงไปหมด และฉันเชื่อว่าพี่หลินอี้จะไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยถ้าตอนอยู่อเมริกาเขาหัดรับสายเลขาเสียบ้าง "พี่หลินอี้มีอะไรให้หนูช่วยไหม"ฉันถามขึ้นด้วยความเบื่อเหนื่อยเมื่อเล่นเกมจนชนะไปทุกด่านแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันเข้าไปแล้วพี่หลินอี้ก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารและแก้เอกสารอยู่ที่เดิมไม่ขยับ "ไม่มีครับ เบื่อเหรอ?"พี่หลินอี้วางปากกาพร้อมหันมามองสบตาฉันผ่านแว่นตาใส ภาพของเขาตอนนี้มันช่างหล่อเหลาจนสามารถสะกดให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยจริงๆ"ก็...เบื่อสิคะ หางานให้ทำหน่อย"ฉันพูดอ้อนก่อนจะเดินตรงไปกอดคอแฟนหนุ่มของตัวเองไว้หลวมๆ เป็นการเอาใจ ตอนนี้บอกตามตรงฉันไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อแล้ว "อยากทำอะไรละ? ให้พี่กินหนูฆ่าเวลาดีไหม"คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยหอมที่แก้มฉันเสียงดัง ฟอด ตั้งแต่คบกันมาเขาก็เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลยแถมยังไม่เคยจะเลือกที่อีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างเป็นเอาเปรียบไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน"คิดแต่เรื่องลามก!""ก็เห็นครางสะเพรา
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ลู่จินก็ยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่างนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดมากมาย จนหลินอี้ที่เอนตัวทำงานอยู่บนเตียงข้างกันถึงกับต้องเก็บงานแล้วขยับตัวเข้าไปโอบเมียสาวไว้ก่อนจะเกยคางลงบนบ่าเล็กอย่างเอาใจ เขารู้ว่าเธอคงคิดมากเรื่องคุณปู่ไม่น้อยอีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแผนการของท่านเท่านั้น ไม่แปลกที่เธอจะกังวลอันที่จริงการผ่าตัดของปู่ลู่จินผ่านไปได้ด้วยดี เนื้องอกส่วนนั้นถูกตัดได้อย่างปลอดภัย จะเหลือเพียงแค่รอให้แผลฟื้นตัวดีขึ้นก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ อีกทั้งการตรวจสุขภาพครั้งใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"คิดมากเรื่องคุณปู่เหรอ""คิดถึงช่วงเวลาที่ทำให้ครอบครัวหนักใจค่ะ""หมายถึง?""ที่หนูหนีไปทุกคนคงเป็นห่วงมาก...ตอนนั้นหนูโกรธจนไม่ติดต่อใครเลยแต่สุดท้ายทางบ้านก็ยังส่งคนตามหาและตามดูแลห่างๆ""ท่านคงห่วง...""แต่หนูก็ทำเป็นไม่รู้ใช้ชีวิตของตัวเองไป หางานทำเลี้ยงตัวเอง เที่ยวกับเพื่อนทุกวัน...ยังดีที่งานพิเศษรายได้ดีหนูเลยไม่ต้องติดต่อขอเงินทางบ้าน แต่การที่หนูไม่ติดต่อมันก็ทำให้หนูพลาดไปหลายอย่าง..."เสียงลู่จินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนหลินอี้ต้
ร่างสวยยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีโดยที่มีมือหนาของหลินอี้คอยจับที่บ่าไว้ตลอด ทั้งที่ตลอดการเดินทางมาลู่จินทำใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเข้มแข็ง แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นคุณปู่ป่วยจนนอนโรงพยาบาลมาก่อน บอกตามตรงมันทำให้เธอรู้สึกหน่วงที่ใจจนเจ็บ"ไม่เป็นไรนะลู่จิน คุณปู่แค่อ่อนเพลียจากการผ่าตัด"หลินอี้ยังคงปลอบใจแฟนสาว ทำให้ลู่จินมีแรงใจขึ้นมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอย่างสงบ ก่อนที่สายตาสวยของเธอจะมองสำรวจไปทั่วห้องสีขาวแล้วมาหยุดที่ร่างชายสูงวัยบนเตียงผู้ป่วย ร่างนั้นเต็มไปด้วยสายออกซิเจนและสายยางมากมายถูกเชื่อมเข้ากับตัวที่ยังคงนอนนิ่งภาพที่เห็นทำเอาลู่จินถึงกับจุกอกจนน้ำตาไหลเธอได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปหาท่านช้าๆ โดยไม่สนคำทักทายของพ่อและแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่จะวางมือเล็กลงบนมือที่ทั้งขาวซีดและเหี่ยวแห้งตามกาลเวลานั้น "ลู่จินลูกเพิ่งมาถึงทำไมไม่ไปพักก่อนละลูก"แม่ของลู่จินเดินเข้ามาลูบเข้าที่ผมลูกสาวเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นลู่จินก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเอาแต่มองใบหน้าชายสูงวัยที่กำลังนอนหลับนิ่งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"ลู่จิน ตอนนี้คุณปู่เพิ่งได้รับยานอนหลับไปไม่ต้องคิดมาก”
หลังจากลงไปส่งแม่ขึ้นรถไปที่สนามบินเสร็จ หลินอี้ก็รีบขึ้นมาเก็บของเพื่อจะไปรับลู่จินและเตรียมใจจะบอกเธอเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ ทั้งที่ในใจก็กำลังกังวลเรื่องความรู้สึกของลู่จินเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่เขาคิดว่าในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะคบหากันอย่างจริงจังแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ไม่ควรปิดบังเธอเพียงไม่นานเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่จอดรถของกองถ่ายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลู่จินกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทอย่างสะอึกสะอื้น จนหลินอี้ตกใจรีบจอดรถทิ้งไว้กลางทางแบบนั้นก่อนจะตรงเข้าไปโอบไหล่เธอไว้เพื่อปลอบขวัญ"เกิดอะไรขึ้น หนูเป็นอะไร"เขาถามอย่างร้อนใจในขณะที่มือก็ลูบไปตามเนื้อตัวของเมียสาวฟืบ !ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะโผล่กอดหลินอี้แน่นจนเขารับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาใส ก่อนเธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้หนัก"คุณปู่ไม่สบายเหรอ?""รู้แล้วเหรอ?"หลินอี้ถามแฟนสาวเบาๆ เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้เขาซึ่งมันก็แสดงประวัติการโทรเข้าเป็นเบอร์ของคุณน้าแม่ของลู่จิน"แม่โทรมา บอกว่า อึกๆ ที่หายไปเพราะคุณปู่ไม่สบาย"เธอเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มด้ว
หลายวันต่อมาหลินอี้ยังคงทำงานตามปกติส่วนลู่จินแฟนสาวคนสวยวันนี้เธอขอไปออกกองเพื่อไปช่วยงานร้าน ซึ่งชายหนุ่มก็กำชับแฟนสาวอย่างเคร่งครัดว่าอย่าเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบและอยู่ให้ห่างจากมู่อี๋เฉิน ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จเขาจะรีบตรงไปรับเธอ"ประธานครับ""มีอะไรซูเฟีย ถ้าให้เซ็นเอกสารต่อไม่เอาแล้วนะ ฉันต้องไปรับลู่จิน"หลินอี้ตอบเลขาหนุ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำให้ซูเฟียหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ด้านหลังซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาออกจากห้องนี้ไปก่อน ส่วนเธอก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามลูกชายตัวดีก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยเคาะเบาๆ ที่โต๊ะเพื่อเรียกความสนใจของหลินอี้ให้เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อหลินอี้ได้เงยตามองขึ้นมาก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความแปลกใจ เพราะเดิมทีความสัมพันธ์ของเขาและพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหินทำให้การได้พบกันระหว่างเขาและครอบครัวส่วนมากจะเกิดขึ้นทางธุรกิจ แต่ใช่ว่าเขาจะน้อยใจ...เขาเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจมันยุ่งและวุ่นวายมากขนาดไหน"มาได้ยังไงครับแม่ ไม่เห็นบอกก่อนเลย"หลินอี้ยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างอบอุ่น
Comments