บนใบหน้าหล่อเหลาเผยให้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง เพราะที่เขามองเห็น..สตรีเบื้องหน้านั้นงดงามมากทีเดียว นางสวย เก่งและดูเข้มแข็งมากในสายตาของเขา ทว่ามาร์เซลไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในของนางจะแตกสลายถึงเพียงนี้
“เรื่องนั้น..พี่สาวผ่านมันมาแล้วนี่ครับ” เธอผ่านมันมาแล้ว เพราะแม่เลี้ยงเสีย และพี่ชายที่ยืนหยัดปกป้องเธอมาช่วยเหลือเอาไว้ แต่กว่าที่เธอจะกลับมายิ้มได้อีกครั้งมันใช้เวลานานมากทีเดียว เธอคิดว่าเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมันผ่านไปหมดแล้ว จนได้พบเจอกับบ้านของแอชตัน เธอถามตัวเองทุกวันว่าทำไมถึงเป็นเธอที่จะต้องพบเจอเรื่องราวที่แสนเลวร้ายพวกนี้ซ้ำๆ เธอทำอะไรผิดหนักหนาถึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข.. บางทีการย้อนเวลากลับมานี้ พระเจ้าอาจจะได้ยินเสียงก่นด่าของเธอก็เป็นได้ เธอถึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้ “ข้าเคยฝัน..มันเป็นความฝันที่ยาวนานราวกับลางบอกเหตุ ข้าเชื่อมั่นในความรักและอยากจะมีความรักกับบุรุษสักคน เพียงแต่ในบ้านของชายที่ข้ารัก มีแม่ของเขาที่นิสัยเหมือนกับแม่เลี้ยงของข้า มีน้องสาวที่ชอบแย่งข้าวของทุกอย่างของข้าไป ส่วนสามีก็มีภรรยาคนใหม่ พวกเขาเอาข้ออ้างเรื่องขาของข้ามากล่าวอ้าง..ว่าเพราะข้าเป็นเช่นนี้มันทำให้พวกเขาอับอายและต้องหาคนอื่นมาแทนข้า..” อยู่ๆ น้ำเสียงของเธอก็สั่นเครือพร้อมกับหยาดน้ำตาแวววาวที่รินไหลออกมา มาร์เซลอุ้มเธอขึ้นมาแล้ววางร่างเล็กๆ นั่นเอาไว้บนตักของเขา เพื่อที่เขาจะได้เช็ดน้ำตาให้เธอได้สะดวก ปลายนิ้วร้อนค่อยๆ ไล้ไปตามหางตาของเธออย่างเชื่องช้า เขาบรรจงซับหยาดน้ำตาอุ่นที่เอ่อล้นออกมาด้วยความแผ่วเบาที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะมือของเขามันหยาบกร้านเนื่องจากจับดาบมาตั้งแต่เด็ก เขากลัวว่าความด้านของฝ่ามือจะทำให้เธอรู้สึกระคายเคืองผิว เธอซบใบหน้าลงไปบนแผงอกแกร่งพร้อมกับเสียงสะอื้นที่อู้อี้ “บุรุษแต่ละคนล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน หากคนที่ท่านฝันถึงคือแกรนด์ดยุค เช่นนั้นก็ไม่ควรเอาบุรุษทั่วทั้งจักรวรรดิไปเปรียบเทียบกับเขาสิครับ..” เฟรญ่าเงยหน้าขึ้นมาในทันที วันนี้มีเรื่องราวมากมายที่ชวนให้รู้สึกตกใจ และชายเบื้องหน้านี้ เขาอายุน้อยมากกว่าเธอแท้ๆ แต่ทำไมกันล่ะ เพราะดวงตาสีทับทิมของเขารึเปล่าที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับถูกอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาไม่ได้บอกกล่าวว่าความฝันที่เธอพูดถึงนี้มันคือฝันร้ายที่ไม่ได้เป็นความจริง แต่กลับปลอบใจเธอ..ในแบบที่เธออยากได้ยินมากที่สุด นั่นสินะ เธอเคยเชื่อว่าบุรุษแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่เพราะความหวาดกลัวในใจ มันทำให้เธอไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดใจให้กับความรักครั้งใหม่.. และเขามายืนยันในสิ่งที่เธออยากได้ยินอยู่พอดี “บะ..แบบนั้นเองสินะ” เขาไม่เชื่อว่าที่เธอแสดงอาการหวาดหวั่นมากขนาดนั้นต่อแกรนด์ดยุคจามินมันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน เรื่องของสตรีผู้นี้กับหมอนั่น..น่าจะมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้ “อยากให้ข้า..จัดการเขาไหมครับ” เฟรญ่ากะพริบตาถี่ๆ “หมายถึง..” “สังหารแกรนด์ดยุค ข้าสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่พี่สั่งออกมา” ฆ่าแอชตันอย่างนั้นหรือ ทำไมเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เฟรญ่ากลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ในขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองหน้าเขา มาร์เซลก็ป้อนเหล้ารัมให้เธอดื่มอีกอึกใหญ่ๆ “ข้าไม่ต้องการให้เขาตาย..” อ่า..เริ่มไม่สนุกแล้วละสิ หรือว่าพี่สาวคนสวยที่เขาหมายตาเอาไว้ ชอบแกรนด์ดยุคจริงๆ “ข้าต้องการให้เขา ทรมานมากที่สุด ต้องการให้จามินย่อยยับและล่มสลาย..” เขากำลังจะถอดใจ แต่ดูเหมือนเธอจะพูดเรื่องน่าสนุกขึ้นมา..ริมฝีปากมาร์เซลจุดยิ้มด้วยความพึงพอใจ “อ่า..แบบนั้นเองสินะ เรื่องนั้นเป็นงานง่ายๆ สำหรับข้าเลยครับ” เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาให้เธออีกครั้ง และเมื่อเช็ดน้ำตาให้เธอเสร็จแล้วมาร์เซลก็แลบลิ้นออกมาเลียที่ปลายนิ้วของตัวเอง โดยที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเฟรญ่า ใบหน้าของเธอเห่อร้อนออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่คงเป็นหนึ่งในฤทธิ์ที่ร้ายแรงของสุราที่เธอพึ่งจะดื่มไปสินะ เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ร่างกายของเธอร้อนผ่าวขึ้นมา เฟรญ่ายกมือขึ้นมาพัดใบหน้าเบาๆ และเมื่อเธอลองตั้งสติดีๆ ก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนตักเขา เธอลุกพรวดพราดขึ้นมาในทันที แต่ทว่าเพราะขาข้างซ้ายของเธอมันไม่สามารถลงน้ำหนักได้มากเท่ากับความตกใจของเธอ ทำให้ในยามนี้เฟรญ่ากำลังจะหงายหลังล้มลง วงแขนของมาร์เซลคว้าเอวของเธอเอาไว้ในทันที เขาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเธอกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง “ระวังหน่อยสิครับ พี่ดื่มไปเยอะมากแล้วนะ แล้วข้าเองก็เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะอาสาไปส่งพี่สาวที่บ้าน” “มะ..ไม่เป็นไร บ้านของข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก” มาร์เซลหรี่ตาลงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรที่ไหนกัน เรายังมีข้อตกลงที่จะต้องทำสัญญากันอยู่นะครับ เรื่องการว่าจ้างข้าไปจัดการตระกูลจามินน่ะ พี่จะต้องลงลายมือชื่อลงไปในใบสัญญาก่อนสิครับ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นทหารรับจ้าง แต่ข้าทำอะไรโปร่งใสเสมอนะ” จะว่าไปแล้ว เธอเองก็เริ่มจะคงสติเอาไว้ไม่ไหวแล้วละสิ แต่ให้คนที่ไม่ได้รู้จักกันไปส่งที่บ้านมันก็ยังไงอยู่ เฟรญ่ามองใบหน้าที่หล่อเหลาและแสนน่ารักของมาร์เซลอีกครั้ง..เธอรู้จักเขาแล้วนี่ เขาชื่อมาร์เซล อา..มาร์เซล เป็นชื่อที่ดีมากทีเดียวและเขาน่าจะไว้ใจได้ ในครั้งหนึ่งคนที่ชื่อมาร์เซลเคยปลดปล่อยเธอออกมาจากความทรมานอย่างแสนสาหัสที่เธอได้รับ.. เฟรญ่าส่งกุญแจบ้านของเธอให้เขา “แค่พูดคุยและลงนามเรื่องสัญญา อันที่จริงเราพูดคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้” “ไม่ได้สิครับ เพราะมีคนจำนวนมากที่อ้างว่า พวกเขากล่าวเรื่องข้อตกลงออกมาเพราะความมึนเมา หลังจากนั้นพวกเขาก็คิดจะยกเลิกสัญญากับข้าราวกับไม่เคยกล่าวเรื่องนี้ออกมา..สัญญาการว่างจ้างจะต้องทำในวันนี้เท่านั้น..” เฟรญ่าหลับตาลงช้าๆ เธอปรือตาขึ้นมามองเขา “แต่เพราะข้าอยู่ในช่วงเวลาไร้สติ..ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเอาเปรียบข้าอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นช่วยเรียกผู้ดูแลโรงแรมของข้ามาด้วย..” มาร์เซลยกมือขึ้นมาแตะลงไปเบาๆ บนริมฝีปากของเธอ โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ อีกทั้งเขาถูกใจพี่สาวคนนี้มากพอสมควรเลย..เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไปหรอก “เรื่องนั้นไม่ต้องไปรบกวนผู้อื่นหรอกครับ นี่คือสัญญาการว่าจ้างของท่านและข้า เรื่องเช่นนี้เราทำกับสองคนก็พอแล้ว”มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ