ข้าจะลงนรกได้ยังไงกัน ในเมื่อมีพี่สาวคนสวยพาขึ้นสวรรค์อยู่ทุกวัน
View Moreเลดี้ทีเซียสมีนามว่าเฟรญ่า น้องสาวเพียงผู้เดียวของดยุคมาทอส ทีเซียส กิจการกว่าครึ่งในจักรวรรดิคือกิจการของตระกูลทีเซียส หากจะถามถึงความร่ำรวยแน่นอนว่าทีเซียสนั้นแทบจะร่ำรวยมากเสียยิ่งกว่าองค์จักรพรรดิ
และตลาดสมรสในปีนั้น เหล่าบุรุษต่างจับจ้องมองมาที่สตรีเพียงผู้เดียวนั่นคือเลดี้ทีเซียสผู้มีเรือนผมสีเงินที่แสนจะโดดเด่น ใบหน้าของเฟรญ่านั้นถือเป็นสตรีผู้งดงามตามแบบฉบับของตระกูลทีเซียสที่ได้ชื่อว่างดงามหมดจดดุจพระเจ้าทรงปั้น ทว่าในวัยเด็กเฟรญ่าประสบอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทาง ทำให้ขาข้างซ้ายของเธอเดินเหินไม่สะดวกเท่าไหร่ เธอจะต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยพยุง บาดแผลในวัยเด็กถึงแม้ว่าจะสาหัส แต่เพราะว่าเธอมีพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ดีมาก ทำให้เฟรญ่าไม่ได้สนใจเรื่องที่ตัวเองนั้นเหมือนสินค้าที่มีตำหนิ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอับอายมากแค่ไหนเมื่อตระกูลจามินของเรามีงานเลี้ยง แล้วแกรนด์ดัชเชสเดินลงมาด้วยขาที่พิการเช่นนี้น่ะ..” เฟรญ่าคิดว่าความรักของเธอมันจะเหมือนกับในนิยายที่เคยได้อ่าน ความรักที่สวยเหมือนกับของพี่ชายและท่านพี่เจนนีส แกรนด์ดยุคจามินคือเครือญาติที่แสนเก่าแก่ของราชวงศ์ และท่านแอชตันคือคู่ครองที่เหมาะสม เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาชวนฝัน อีกทั้งเขาไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจกับขาที่เดินไม่ค่อยคล่องของเธอ เราคบหากันเป็นระยะเวลาสามปีก่อนที่เฟรญ่าจะตัดสินใจแต่งงานกับเขา เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลจามิน พร้อมกับสินสอดมหาศาลที่ท่านพี่มาทอสส่งมอบให้ ในช่วงแรกทั้งท่านแม่และน้องสาวของสามีดีกับเธอมากทีเดียว จนถึงช่วงที่แกรนด์ดยุคจะต้องเดินทางออกไปปราบพวกปีศาจเป็นระยะเวลากว่าสองปี หลังจากนั้นบ้านหลังนี้ก็เหมือนกับนรกในสายตาของเฟรญ่า เธอคิดว่าตัวเองนั้นจิตใจเข้มแข็งมากทีเดียว แต่ทว่าความเข้มแข็งของเธอมันจางหายไปเมื่อถูกทั้งแม่สามีและน้องสาวของเขาก่นด่าและทำร้ายร่างกายของเธอในทุกวัน “งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้พี่ไม่ต้องไปร่วมงานหรอกนะคะ ข้าไม่อยากเดินเข้าไปในงานพร้อมกันกับพี่..ในเมื่อพี่เดินไม่สะดวกก็ไม่ควรจะเข้าร่วมงานนี่ ข้าอายเป็นนะ อีกทั้งท่านแม่เองก็คงจะคิดเหมือนกัน” เพราะมาอยู่ต่างเมืองนั่นทำให้เฟรญ่าขาดการติดต่อกับพี่ชาย เธอพยายามจะส่งจดหมายไปหาท่านพี่แต่ทว่าก็ไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับมาเลย อีกทั้งในยามนี้เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในคฤหาสน์หลักด้วยซ้ำ “ขาเจ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าน่าจะขึ้นบันไดไม่สะดวกนี่ เพราะอย่างนั้นเจ้าย้ายไปอยู่ที่เรือนคนใช้เถอะ ที่นั่นน่าจะสะดวกสำหรับคนพิการเช่นเจ้ามากกว่าที่คฤหาสน์แห่งนี้” เฟรญ่ากลืนความเจ็บปวดลงคอพร้อมยินยอมไปพักที่เรือนคนใช้ เธอยังคงเชื่อมั่นในความรักและคิดว่าทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้นเมื่อสามีของเธอกลับมาจากสนามรบ ในวันที่แอชตันกลับมา เขากลับมาที่นี่พร้อมกับสตรีผู้หนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์.. “เจ้าต้องเข้าใจข้านะเฟรญ่า ข้าห่างเจ้าไปขนาดนั้นในความต้องการของบุรุษมันก็จะต้องมีที่ระบายกันบ้างและดาเนียนางไม่ผิดสักหน่อย..” หากว่าสตรีผู้นั้นไม่ผิด..แล้วในคฤหาสน์หลังนี้ใครกันล่ะที่ผิด เธออย่างนั้นหรือที่ผิด เธอผิดที่เข้ามาอยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเขาหลอกใช้ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ? เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าจึงตั้งใจว่าจะหย่า แต่หากนางเดินเข้าไปหาเขาเพื่อขอหย่าแน่นอนว่าแอชตันไม่น่าจะยินยอมเพราะเงินที่ท่านพี่ของเธอส่งมาที่นี่ในแต่ละเดือนไม่น่าจะน้อยนิด เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าจึงตั้งใจว่าจะหนีไป! เธอขายเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายพร้อมกับหลบหนีออกไปจากที่นี่ แต่ด้วยขาที่ก้าวเดินไม่ค่อยถนัดของเธอมันทำให้การหลบหนีนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เธอจ่ายเงินให้กับทหารเพื่อให้เขายินยอมเปิดประตูของคฤหาสน์ให้เธอออกไป ในวินาทีที่เฟรญ่าสัมผัสได้ถึงอิสระ แอชตันก็ตามเธอมาในทันที เขาลากเธอไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ที่เป็นป่าทึบก่อนจะใช้ขอนไม้ทุบบริเวณขาข้างซ้ายของเธออย่างแรง “อะ..แอชตัน ได้โปรด!! ท่านเกลียดชังอะไรข้าหนักหนา..” “ข้าไม่ได้เกลียดเจ้าเลยเฟรญ่า แต่ข้าจำเป็นที่จะต้องมีเงินเยอะๆ เพราะว่าลูกของข้ากำลังจะคลอดออกมา! และถ้าหากว่าข้าบอกว่านั่นคือลูกของเจ้า..ท่านดยุคคงจะมอบเงินมหาศาลให้กับจามิน ข้าไม่มีทางเลือกเฟรญ่า! ข้ารักดาเนีย นางคือสตรีที่ข้ารักและข้าจะต้องมีทีเซียส..ข้าสูญเสียบ่อเงินบ่อทองของข้าไปไม่ได้หรอกนะ..หากว่าข้า..ทะ..ทุบขาของเจ้าอีกข้างให้มันแหละละเอียด คราวนี้เจ้าก็คงจะหลบหนีไปไม่ได้แล้วสินะ เจ้าเคยรักข้านี่ ทำเพื่อข้าอีกสักครั้งไม่ได้อย่างนั้นหรือ!!” ....นี่มันอะไรกัน? ครั้งหนึ่งเธอเคยรักชายผู้นี้อย่างสุดหัวใจเพราะความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ครั้งหนึ่งเธอเคยเชื่อมั่นว่านี่แหละคือคนที่เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาจนกว่าจะหมดสิ้นลมหายใจ แต่ในยามนี้ชายผู้นั้นกลับเป็นคนเลือดเย็นที่กำลังพยายามจะสังหารเธอ.. “อ๊าก..แอชตัน ข้าเจ็บ!!” ข้อเท้าข้างขวาของเฟรญ่าแหลกละเอียดในทันทีที่แอชตันใช้ไม้กระหน่ำทุบลงไป เฟรญ่าถูกขังอยู่ในห้องมืดๆ ในทุกเดือนจะมีพ่อบ้านมาหาเธอเพื่อที่เขาจะใช้นิ้วของเธอในการพิมพ์ลงไปบนใบรับเงิน เธอมองไม่เห็นแสงสว่างเลย รอบกายมันมืดไปหมดและ..เมื่อไหร่ความตายจะเดินทางมาหาเธอสักที “เจ้าไม่กินงั้นเหรอ?” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นมาในความมืดของคุกใต้ดิน “.....” “หากเจ้าไม่ตอบข้าจะกินแล้วนะ” เฟรญ่าหลับตาลงเธอนอนบนกองฟางด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา “นี่..ข้าอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว และข้ากำลังจะหาทางหลบหนีล่ะ เจ้าอยากไปด้วยกันกับข้าไหม” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นมาในความมืดมิด เขาพูดความว่าหลบหนีออกมางั้นเหรอ? แต่เธอไม่มีขานี่ จะวิ่งหนีไปได้ยังไงกัน “ท่าน..จะแหกคุกออกไปงั้นเหรอคะ” “ใช่ เจ้าอยากไปด้วยกันไหม ไปจากที่นี่” เฟรญ่าพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด “หากว่าท่านสามารถทำลายกรงขังพวกนี้ได้ ท่านช่วยทิ้งดาบเอาไว้ให้ข้าสักเล่มก็พอ ข้าในยามนี้ต้องการมากกว่าการหลบหนี และสิ่งที่ข้าต้องการไม่มีใครให้ข้าได้นอกจากข้าจะส่งมอบสิ่งนั้นให้ตัวเอง” อีกฝั่งของห้องเงียบไปสักพัก “เอาเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะทิ้งดาบของข้าเอาไว้” หลังจากนั้นการแหกคุกก็เริ่มต้นขึ้น เฟรญ่ามองไม่เห็นอะไรเลย เธอได้เย็นเสียงดาบกระทบกันพร้อมกับกลิ่นคาวของเลือดที่คละคลุ้งขึ้นมา มือของเธอลูบไล้ไปมาบนดาบและเฟรญ่าพบว่ามันสลักชื่อเอาไว้ มาร์เซล.. นั่นคงจะเป็นชื่อของเขาอย่างนั้นสินะ เฟรญ่ายกยิ้มขึ้นมามันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขมากที่สุดในช่วงเจ็ดปีเธอเป็นแกรนด์ดัชเชสเลย เธอต้องตาย เพราะหากว่าพวกเขาไม่มีลายนิ้วมือของเธอเพื่อประทับลงไปบนใบรับเงิน ปรสิตพวกนั้นก็จะไม่ได้รับเงินจากท่านพี่อีก!! ความเคียดแค้นในใจของเฟรญ่าทำให้ความหวาดกลัวต่อความตายมันจางหายไปจนหมด หากเธอได้มีโอกาสอีกครั้ง..คราวนี้เธอจะไม่เป็นเฟรญ่าคนเดิมที่บูชาความรักอีกแล้ว!!มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก
Comments