ในตอนแรกเรายื้อกันอยู่พักหนึ่ง เพราะว่าเฟรญ่ายืนยันว่าเธอจะเดินเอง ทั้งๆ ที่ทรงตัวเองไว้แทบไม่อยู่ ส่วนมาร์เซลเขาได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ วงแขนแสนอบอุ่นนั้นกำลังโอบเอวของเฟรญ่าเอาไว้หลวมๆ และคอยประคองร่างเล็กๆ นั่นให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
บนใบหน้าหล่อเหลานั้นระบายรอยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เพราะในยามที่สตรีในอ้อมแขนไม่ได้เมา เธอมักจะทำตัวสง่างามและตั้งกำแพงใส่เขาอยู่เสมอ แต่ในยามนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พี่สาวคนสวยดูเหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังเอาแต่ใจ “ให้ข้าอุ้มไปเถอะครับ..พี่ไม่อยากให้ถึงบ้านของพี่เร็วๆ รึไง” เธอช้อนสายตามองหน้าเขาอีกครั้ง ในมือของมาร์เซลถือไม้เท้าของเธอเอาไว้ เขาใช้ตัวเองในการช่วยประคองเธอให้เดินไปข้างหน้าได้ ใบหน้าขึ้นเป็นสีกุหลาบเพราะในยามนี้เฟรญ่ากำลังรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก..เธอขบกัดริมฝีปากบางจนมันช้ำเลือด “คิดอะไรอยู่กันครับ” สุดท้ายเป็นมาร์เซลที่ทนไม่ไหว เขาก้มตัวลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนร่างกายของเฟรญ่าขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกอับอาย..” มุมปากของมาร์เซลยกสูงขึ้นมา “อับอายหรือว่าเขินอายกันครับ ถึงแม้ว่าจะอายเหมือนกันแต่ความรู้สึกมันแตกต่างกันมากเลยนะครับพี่..” เฟรญ่ายกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เธอเบือนหน้าหนีแสร้งหลบสายตาเขาอย่างเขินๆ และเธอเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นของมาร์เซล..เขาพาเธอเดินไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนที่ร้างผู้คน เพราะว่าในยามนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว งานเทศกาลจบลงเพียงเท่านี้ ทิ้งเอาไว้เพียงร่องรอยของความสนุกสนาน.. มาร์เซลเดินมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีหนึ่งห้องนอน และที่ด้านหน้าปลูกดอกไม้เอาไว้มากมายหลากหลายชนิด เขาก้มมองกุญแจในมือและเมื่อเห็นเลขบ้านที่ตรงกัน มาร์เซลก็ไขกุญแจรั้วเข้าไป เฟรญ่าหลับตาลงช้าๆ เมื่อเธอได้กลิ่น หอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบที่คุ้นเคย นี่คงจะถึงบ้านของเธอแล้วสินะ เขาอุ้มเธอเปลี่ยนท่าเพื่อให้เธอกอดคอเขาเอาไว้ ก่อนที่มาร์เซลจะไขกุญแจประตูบ้านเข้าไปอีกครั้ง และเมื่อประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือรูปวาดที่ตั้งตระหง่านเอาไว้กลางห้อง “งานอดิเรกของพี่คือการวาดรูปอย่างนั้นหรือครับ” เขาวางเธอลงบนโซฟาผ้าถักตัวยาว และเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นเฟรญ่าก็แย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยวาดภาพมาก่อนเลย แต่เพราะมันมีเรื่องราวมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจ และเมื่อลองได้จับพู่กันออกมามันทำให้จิตใจที่แหลกสลายของเธอสงบลงอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าในช่วงเวลาที่เธอกำลังถ่ายทอดความคิดในหัวออกมาเป็นภาพวาด มันทำให้เธอได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มันทำให้จิตใจของเธอสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด “อืม..เอาสัญญาของท่านมาสิคะ ข้าจะรีบประทับตราลงไป..” เขานั่งลงข้างๆ เธออย่างถือวิสาสะ ดวงตาสีทับทิมหรี่ลงเล็กน้อย “ข้าเหนื่อยนะครับ ข้าอุ้มพี่มาตั้งไกล ขอนั่งพักสักครู่ก็ไม่ได้งั้นหรือ พี่คนสวยจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ” เขากล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับที่แก้มของเธอ หางตาของมาร์เซลเหลือบไปเห็นขวดสุราที่ตั้งอยู่ เขาเดินไปหยิบขวดสุรานั้นขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาแก้ว ท่าทางของเขามันราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี มาร์เซลรินสุราใส่แล้วยกขึ้นมาดื่มมันเข้าไปครั้งเดียวจนหมดแก้ว ต่อให้เขาดื่มสุราหมดขวดนี้เขาก็ไม่เมาหรอก เพราะทหารรับจ้างดื่มสุราแทนน้ำอยู่แล้วในช่วงเวลาที่เราต่อสู้กันอย่างยาวนานในสนามรบ เขามองหน้าเธอที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัด มาร์เซลเดินมานั่งข้างๆ เฟรญ่าอีกครั้ง “อยากดื่มไหมครับ..ข้าป้อนให้ดีไหม” เฟรญ่าถอนหายใจยาวๆ “ข้า..ดื่มไม่ไหวแล้วค่ะ ข้าอยากทำสัญญาให้เสร็จเพื่อที่เราจะได้แยกย้ายกันกลับไปนอน” ดวงตาของเธอแดงช้ำ ซึ่งมันเป็นผลพวกจากการร้องไห้ไม่หยุดพักเมื่อสองชั่วโมงก่อน และเฟรญ่าคิดว่าสภาพตัวเองในยามนี้คงไม่น่าดูเท่าไหร่นัก เธอให้ชายเบื้องหน้าเห็นในด้านที่อ่อนแอของเธอมามากพอสมควรแล้ว ในยามนี้เธอจะต้องไม่หลงกลไปกับใบหน้าที่น่ารักของเขาอีก “งั้นเหรอครับ แต่ข้าคิดว่าพี่ยังดื่มไหวอยู่นะ อีกทั้งข้าไม่อยากจะดื่มเพียงคนเดียวนี่ เอาน่า..ไหนๆ เราทั้งสองคนก็เหมือนกับคนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว พี่ช่วยไว้ใจข้าสักหน่อยได้ไหมครับ..” รอยยิ้มของเขานั้นมันดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย เฟรญ่าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้..รู้สึกไว้ใจเขามากขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยลดกำแพงที่สูงชันในใจของตัวเองลงเลย แต่กับมาร์เซล..ทำไมกันนะเธอถึงได้ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอ “เอาแก้วมาสิ” มุมปากของเขาผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา มาร์เซลไม่ได้รินขวดสุราในมือใส่แก้วอย่างที่ควรจะเป็น แต่ทว่าเขากลับกลอกสุราใส่ปากแทน เมื่อเขาวางขวดสุราลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างของเขาก็จับเข้าที่ดวงหน้างาม หลังจากนั้นยังไม่ทันที่เฟรญ่าจะได้ตั้งตัวริมฝีปากของเขาก็แนบชิดลงมาในทันที สุรารสข่มปร่า ไหลรินลงคอจนเธอรู้สึกร้อนไปหมด อึกแล้วอึกเล่าที่เธอกลืนสุราที่เขาบรรจงป้อนให้ลงท้อง และเมื่อสุราในริมฝีปากของเขามันหมดลง เธอที่คิดเอาไว้ว่าเขาจะต้องผละริมฝีปากออกไป แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่สอดแทรกเข้ามาแทนที่ของสุราที่เธอกลืนลงไปมันคือเกลียวลิ้นร้อนของเขา “อื้อ!” เธอร้องประท้วงในลำคอกับความหวานล้ำที่แทรกลึกเข้ามา เกลียวลิ้นของเขาปลุกเร้าไปมาในโพรงปากอุ่น เฟรญ่าไม่แน่ใจว่าที่เธอกำลังรู้สึกมึนเมานี้มันคือการมัวเมาเพราะฤทธิ์ของสุราหรือว่ามัวเมาไปกับความลุ่มหลงชายเบื้องหน้ากันแน่ เธอปิดเปลือกตาแน่นเพราะไม่มีความกล้ามากพอที่จะปรือตาขึ้นมามองหน้าเขา ใบหน้างามเห่อร้อนและไม่ได้เพียงแค่ใบหน้าที่รู้สึกร้อน ร่างกายของเธอเองก็เช่นกัน ลมหายใจของเรามันร้อนผ่าว อีกทั้งริมฝีปากของเขามันทั้งเย้ายวนและร้ายกาจในคราวเดียวกัน สติของเธอกำลังจะจางหายไปพร้อมๆกับลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ มาร์เซลผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าด้วยความเสียดาย แต่เพราะสตรีเบื้องหน้าของเขาทำท่าทางราวกับหายใจไม่ออก เขาไม่อยากคิดแบบนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ไม่ใช่ว่านี่คือจูบแรกของเธออย่างนั้นหรือ? สตรีที่งดงามเช่นนี้กลับไม่เคยมีใครแตะต้องเธอแม้แต่ปลายนิ้วเลยอย่างนั้นสินะ อาจจะเพราะแผลเป็นขนาดใหญ่ในใจของเธอ มันทำให้หัวใจของเธอถูกปิดตาย.. อ่า..นี่มันน่าสนุกชะมัดเลยมาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ