ตู้ฮุ่ยเหอเป็นหนุ่มนักรักตัวยงคนหนึ่งของเมืองหานตง นางรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังดึงดันที่จะแต่งให้เขา ด้วยหน้าตาและฐานะของเขาที่เป็นบุตรชายท่านนายอำเภอ ทำให้ดูดีกว่าลูกคหบดีคนอื่น“เอาเหอะ บุรุษไว้ใจมิได้ เจ้าก็อย่าปล่อยปละละเลย จนสามีเจ้าไปคว้าสตรีอื่นเข้าจวนก่อนที่เจ้ายังไม่ตั้งครรภ์ได้เล่า” บุรุษใดบางที่ไม่มีอนุ นางเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่หากจะมีตำแหน่งที่มั่นคงจำต้องตั้งครรภ์ให้ได้เสียก่อน“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซียนจำต้องรับปากมารดานางกลับไปที่จวนตระกูลตู้โดยที่ไม่ได้สิ่งใดกลับมา ระหว่างทางนางต้องให้สาวใช้ไปซื้อสบู่ที่ร้านจินเซียงและยาสระผมไปฝากแม่สามีแต่เพราะร้านจินเซียงจำกัดการขายในแต่ละวันนางจึงหาซื้อมิได้ เหมยฮวานางวางขายที่หน้าร้านเพียงวันละหนึ่งร้อยก้อนเท่านั้น ที่เหลือนางล้วนแต่ขายให้พ่อค้าต่างเมืองทั้งสิ้น เพราะนางต้องการสร้างชื่อเสียงให้ร้านจินเซียงตอนนี้แม้แต่พ่อค้าในเมืองหลวงยังเดินทางมาเจรจาการค้าที่ร้านของนาง นางจึงได้ให้เขาดูลิปสติกที่นางใกล้จะนำมาวางขายที่ร้านด้วย นางเสนอสินค้าโดยใช้วิธีเดียวกันกับที่หลินเยว่นางใช้ โดยให้สาวใช้ในร้านของนางมาเป็นต้นแบบนางต้องยอมร
ทางด้านตระกูลเกาที่ยังไม่อาจหาตัวคนทำสบู่ได้ก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด เพราะการค้าที่ซบเซาลงทุกวันทำให้เงินที่เข้าจวนหายไปเสียมากกว่าครึ่ง“ยังมิได้ความอีกรึ” นายท่านเกาเอ่ยถามพ่อบ้านเกาที่เขาให้ส่งคนออกไปสืบข่าว“ยังขอรับ นายท่าน ท่านลองหาสินค้าตัวใหม่มาดึงลูกค้ากลับดีหรือไม่” เพราะการตามหาคนที่ไม่รู้ทิศทางเช่นนี้ เสียเวลามิใช่น้อย“ตอนนี้ผู้คนต้องการสบู่ มากกว่าสิ่งใด” ถึงแม้เครื่องประทินโฉมในร้านยังพอจะขายได้เช่นเดิม แต่คนที่เข้ามาซื้อก็ล้วนต้องการสบู่แม้แต่พ่อค้าต่างหัวเมืองที่ทำการค้ากันมายาวนานยังเลือกที่จะไปการค้ากับร้านจินเซียงกันเสียเกือบหมด เป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไรแต่สิ่งที่นายท่านเกาคิดไม่ถึง หลินเยว่นางกำลังนำลิปที่อยู่ในมิติของนางใส่ตลับเครื่องเคลือบเล็กๆ ส่งไปให้เหมยฮวาได้ลองใช้ลิปสติกของนางมิได้มีเพียงสีแดงเช่นชาดที่วางขายอยู่ในยามนี้ เพียงลิปสติกสีแดงที่นางฝากอาสือไปให้เหมยฮวาก็มีถึงห้าเฉดสีด้วยกัน สีชมพูและสีส้มนางฝากอย่างละสามเฉดสีเพียงแค่เหมยฮวานางได้เห็นตลับเครื่องเคลือบที่ถูกเปิดวางอยู่ด้านหน้าของนางทั้งสิบเอ็ดตลับ นางก็ไม่อาจนั่งรออยู่ที่ร้านจินเซียงไ
นายท่านเกาตอนที่นั่งอยู่บนรถม้าระหว่างทางที่กลับจวนในเมือง เขานั่งเงียบอย่างใช้ความคิด เพราะคำพูดที่แข็งกร้าวของหลินเยว่ ทำให้เขากลับไปสืบเรื่องราวว่าเป็นเช่นที่นางพูดหรือไม่นางเจินซื่อก็นั่งเงียบไปตลอดทาง นางนั่งอยู่ที่มุมรถม้า ราวกับว่าหากหายใจออกมาแรงเกินไป จะทำให้นายท่านเกาหันมาบันดาลโทสะกับนางแทนนางฮั่วซื่อที่ยืนรอหน้าเรือนตระกูลฟู่เมื่อนายท่านเกาจากไปแล้ว นางก็คิดจะจากไปในทันทีเลยเช่นกัน แต่ถูกผู้นำหมู่บ้านเอ่ยรั้งตัวไว้เสียก่อน“นางฮั่วซื่อ เรื่องที่อาเยว่นางพูดจริงหรือไม่” เมื่อครั้งที่นางตัดขาดกับตระกูลจาง เรื่องนี้หลินเยว่นางก็เคยเอ่ยออกมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าในตอนนั้นชาวบ้านด่าเสร็จแล้วก็มิได้เก็บมาใส่ใจแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ตรงที่หลินเยว่นางเอ่ยชื่อของนางเจินซื่อออกมาด้วย และยังเป็นต่อหน้าบิดาของนางอีกส่วนเรื่องที่นางฮั่วซื่อพานายท่านเกามาที่เรือนตระกูลฟู่ครั้งนี้ ดูก็รู้ว่าคงต้องการจะกลั่นแกล้งหลานชายและหลานสะใภ้เรื่องที่ตระกูลเกาป่าวประกาศหากผู้ใดหาคนที่ทำสบู่ออกมาได้จะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง ย่อมมาถึงที่หมู่บ้านเช่นกัน นางฮั่วซื่อคงอยากได้เงินก้อนนี้ จึงสร้
ทั้งสองคนยังมิอาจดึงสติกลับมาได้จนมาถึงร้านจินเซียง หลินเยว่ตบลงไปที่แขนของทั้งคู่ พวกเขาจึงได้สะดุ้งตกใจออกมา“ฮ่า ฮ่า บุรุษเช่นพวกเจ้าตกใจง่ายเช่นนี้เลยรึ” อาอีถลึงตามองนาง เรื่องของนางสามารถพบเห็นได้ทั่วไปหรืออย่างไรเล่า ถึงจะไม่ให้พวกเขาตกใจเสียเลยหลินเยว่นางบอกกล่าวจำนวนที่นำไปเก็บไว้ที่โกดัง ก่อนจะให้เหมยฮวาส่งคนไปตรวจสอบ เพื่อจ่ายเงินให้นาง แต่เหมยฮวาที่เชื่อในตัวของหลินเยว่อยู่แล้ว นางก็นำตั๋วเงินหกพันหกร้อยยี่สิบห้าตำลึงทองออกมาให้หลินเยว่“อาเยว่ ดูเหมือนคนของตระกูลจางจะมาพบนายท่านเกาแล้วเมื่อวาน” เหมยฮวาที่ให้คนจับตาดูคนตระกูลจางไว้ก็เอ่ยปากเตือนหลินเยว่ทันที“ขอบคุณพี่สาวจินมาก หากท่านนำยาสระผมออกมาวางขาย ข้าเชื่อว่าคนตระกูลเกาต้องลงมืออย่างแน่นอน” นางก็อยากให้เหมยฮวาระวังตัวเช่นกัน“เจ้ามิต้องห่วงข้า เรื่องเช่นนี้มิใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นสำหรับข้า ข้าพอจะจัดการได้ เป็นห่วงก็แต่เจ้า” เขามองนางอย่างเป็นกังวล“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงข้า แต่ข้าได้ซื้อคนมาเพื่อคุ้มครองตนเองแล้วเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี”“วันนี้ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” หลินเยว่ลุกขึ้นยืนเพื่อเดินกลับไปที่รถม้า โดยมีพ่อบ้า
“อาอี ไร้ความทรงจำแต่เขาดูไม่เหมือนคนเป็นทาส ข้าว่าพ่อค้าทาสต้องจับตัวมาตอนที่พวกเขาบาดเจ็บอย่างแน่นอน ส่วนอาเอ้อ อาซาน อาซื่อ พวกเขาต้องรู้หนังสือ ท่านติดกระดาษพู่กันไปด้วย เขาอาจจะยอมท่านก็ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร”“เข้าใจแล้ว” เลี่ยงรุ่ยใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที หากเป็นเช่นที่หลินเยว่นางคิด หากพวกเขาเกิดเป็นโจรป่าขึ้นมาเล่า ทั้งเรือนมิได้ซวยกันหมดรึเมื่อเลี่ยงรุ่ยมาถึงที่หน้าเรือนของพวกเขา ทั้งสี่ก็เพิ่งจะกินอาหารเสร็จเรียบร้อย“ข้าขอเข้าไปคุยด้านในหน่อย” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยบอก เมื่ออาเอ้อ เดินออกมาดูว่าผู้ใดมาที่เรือนเลี่ยงรุ่ยรู้ได้ทันทีว่าพวกเขามีวรยุทธ์ เพราะเขาเดินมาหยุดที่หน้าเรือนอาเอ้อก็เปิดประตูออกมาทันที“เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยหาหมอมารักษาเจ้าหรือไม่” เขาเอ่ยถามอาอีทันที เพราะอาอี ความจำเสื่อมหากมีหมอที่เก่งกาจอาจจะช่วยให้ความทรงจำของเขากลับคืนมาได้ทั้งสามยกเว้นอาอี พยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง เลี่ยงรุ่ยก็ไม่คิดจะเอ่ยถามเขาขึ้นมาอีก เขาหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนทันที“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ มาจากที่ใด” เลี่ยงรุ่ยเลื่อนกระดาษไปที่คนทั้งสาม เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้แต่มองหน้ากันไปมาไม่ยอมพู
ก่อนที่จะตบหน้าผากของตนเองจนพวกเขายื่นนิ่งอย่างตกใจ “ข้าลืมไปพวกเจ้าพูดไม่ได้ เช่นนั้นข้าถามพวกเจ้าพยักหน้า เข้าใจไหม” นางดีดนิ้วไปตรงหน้าของพวกเขา เมื่อเห็นว่าพวกเขาพยักหน้ารับแล้วนางจึงได้เอ่ยถามออกมา“พวกเจ้าจะหนีไปเลยหรือไม่” ทั้งสามคนหันมามองบุรุษที่อยู่ด้านหน้าสุด เมื่อเห็นเขายืนนิ่งๆ ก็ยืนนิ่งๆ ตาม“พวกเจ้าจะตามข้ากลับเรือนไปใช่หรือไม่” พอบุรุษร่างใหญ่พยักหน้า ทั้งสามก็พยักหน้าตาม“ดี ไปกลับเรือนกัน” นางยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านหน้า“อารุ่ยจะเลิกเรียนแล้วหรือยัง” เมื่อออกจากโรงค้าทาสหลินเยว่นางก็เอ่ยถามอาสือทันที“ใกล้แล้วขอรับ”“เช่นนั้นก็ไปซื้อของกินกับเสื้อผ้าให้คนทั้งสี่เสียก่อน”ทั้งสี่คนมิได้นั่งรถม้าคันเดียวกับนาง แต่เป็นรถม้าคันที่อยู่ด้านหลังที่หลินเยว่นางซื้อเพิ่มขึ้นมาเพื่อไว้ใช้ในเรือนเมื่อซื้อของให้คนทั้งสี่เสร็จเรียบร้อย เลี่ยงรุ่ยก็เลิกเรียนพอดี พอเห็นหลินเยว่นางยืนรออยู่ที่ด้านล่างของรถม้าเลี่ยงรุ่ยก็แปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะคิดว่านางกลับหมู่บ้านไปเสียแล้ว เขาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว“อาเยว่ เจ้ายังมิกลับเรือนอีกรึ”“ยังเ