งานเลี้ยงพระราชวัง
เสิ่นลู่ซือมาปรากฏกายที่งานเลี้ยงของพระราชวังด้วยท่าทางที่สง่างาม วันนี้นางตั้งใจแต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงเข้ม เพื่อขับผิวกายที่ขาวผ่องให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ดวงหน้าที่งดงามของเสิ่นลู่ซือ เพียงแค่ประทินโฉมเล็กน้อยก็ช่วยขับความงามที่มีอยู่เปี่ยมล้นให้ฉายชัดออกมา นางมีดวงตากลมโตที่เปล่งประกายราวกับดวงดารา ขนตาสีดำงอนยาวเป็นแพสวย จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงอมชมพูระเรื่อ ช่างดูน่าดึงดูดให้เหล่าภมรเข้ามาดอมดม เครื่องหน้าทั้งห้าของเสิ่นลู่ซือรับกันอย่างพอเหมาะพอเจอะ
เมื่อครั้นที่เสิ่นลู่ซืออายุได้สิบห้าหนาว นางก็ได้รับการขนานนามให้กลายเป็นยอดพธูแห่งเมืองหลวง ความงามของนางเคยมีคนกล่าวไว้ว่า
‘งดงามดั่งดวงดารา เปล่งแสงสะกดให้ผู้คนต้องหลงใหล แต่ทำได้เพียงแค่มองไม่สามารถครอบครองได้’
อันเนื่องมาจากเวลานั้นผู้คนต่างคิดว่าเสิ่นลู่ซือจะได้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แต่หลังจากนั้นแค่สองปีพระองค์ก็ได้ขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ให้หมั้นหมายกับคุณหนูรองแห่งจวนเสนาบดีกรมคลัง
ณ เวลานั้นผู้คนต่างพากันประหลาดใจ และเสิ่นลู่ซือที่ยังเป็นเพียงดรุณีน้อยก็ได้รับคำครหาจากผู้คนในเมืองหลวง นางที่ไม่อาจทนรับความอัปยศนี้ได้จึงได้ตามรังควานคุณหนูรอง ‘มู่ซูเจียว’ ว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท
“ท่านราชครูเสิ่นฮุ่ยหมิ่น คุณหนูเสิ่นลู่ซือมาถึงแล้ว”
เสียงของขันทีประกาศการมาถึงของสองพ่อลูกแห่งจวนตระกูลเสิ่น
เสิ่นลู่ซือเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าที่งดงามแต่งแต้มรอยยิ้มบางเบา นางเดินเคียงคู่มากับท่านพ่อด้วยท่าทีที่ทั้งสุขุมและสง่างาม
ผู้คนโดยรอบต่างหันมามองทั้งสอง แล้วหันกันไปหัวเราะคิกคักกับคู่สนทนา
“ตายจริง ไม่คิดว่าคุณหนูเสิ่นยังจะกล้ามาปรากฏกายที่งานเลี้ยงของพระราชวังอีกนะเจ้าคะ”
คุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยกับสหายด้วยน้ำเสียงดูถูก พลางยกพัดขึ้นมาปิดปากที่หัวเราะร่าของตนเอง
“นั่นสิเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้หน้าหนาเช่นนี้ ครั้งนั้นก็เกิดเรื่องที่คุณหนูมู่พลัดตกน้ำ ก็เป็นฝีมือนางไม่ใช่หรือเจ้าคะ ถึงตอนนั้นองครักษ์ของรัชทายาทจะเข้ามาเป็นพยานว่าไม่ใช่ฝีมือของนาง แต่ผู้ใดจะเชื่อกัน”
น้ำเสียงที่ไม่เบานักตั้งใจให้ดังไปถึงหูของเสิ่นลู่ซือ พวกนางหมายจะเห็นใบหน้าที่เกรี้ยวกราด และการแสดงท่าทีที่หยิ่งผยองของนาง แต่ทุกอย่างกลับผิดพลาดไปหมด
เสิ่นลู่ซือหันใบหน้ามายิ้มหวานให้กับคุณหนูทั้งสองที่นินทานาง รอยยิ้มหวานละมุนที่ไปไม่ถึงดวงตากลับทำให้ทั้งสองคนขนกายลุกชันด้วยหวาดหวั่น
ท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนของเสิ่นลู่ซือ ทำให้ผู้คนล้วนแปลกใจ ข่าวลือที่นางตรอมใจเพราะองค์รัชทายาท จนนอนซมไม่ได้สติมาสามวันสามคืนคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
หรือว่านางจะคิดได้แล้วว่าตัวเองไม่ควรมักใหญ่ใฝ่สูง อาจเอื้อมในสิ่งที่มีเจ้าของแล้วกัน
สองพ่อลูกตระกูลเสิ่นไม่ได้สนใจคำพูดของผู้อื่น พวกเขาทั้งสองเดินกันไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮาแห่งแคว้นหวง
ตามธรรมเนียมของแคว้นหวง ที่นั่งของบุรุษและสตรีจะต้องแยกออกจากกัน ดังนั้นเสิ่นลู่ซือจึงต้องแยกจากบิดา นางถูกนางกำนัลเชิญให้ไปนั่งยังที่นั่งที่อยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ข้างกับมู่ซูเจียว
ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ ทั้งที่ฮองเฮาก็ทรงรู้ว่าทั้งสองเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่ก็ยังจัดที่นั่งให้อยู่ใกล้กันเช่นนี้อีก
หากเป็นเสิ่นลู่ซือคนเก่าคงได้อาละวาดกับนางกำนัล อาจจะทำให้มารดาแห่งแผ่นดินต้องเคืองพระทัย ซึ่งโทษทัณฑ์ที่นางได้รับอาจจะถึงขั้นโบย และไม่ได้มาเหยียบย่างในวังหลวงแห่งนี้อีก
มู่ซูเจียวที่รับรู้ว่าเสิ่นลู่ซือมานั่งใกล้นาง เนื้อตัวของนางก็อดจะสั่นเทาขึ้นมาเสียไม่ได้ ความหวาดกลัวเมื่อตอนที่จมน้ำในสระลึกที่เหน็บหนาว ยังคงสลักลึกในความทรงจำของนาง ในตอนนั้นนางเพียงรู้สึกว่าถูกมือของสตรีผลักจากทางด้านหลัง แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่
“คุณหนูมู่ ไม่ได้พบกันเสียนานสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงแว่วหวานที่เอ่ยทักทาย ทำให้มู่ซูเจียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เอ่อ...ข้าสบายดีเจ้าค่ะ” นางตอบรับเป็นมารยาท ภายในใจยังคงหวาดกลัวกับท่าทางของสตรีที่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง
เสิ่นลู่ซือแสร้งถอนหายใจให้มู่ซูเจียวเห็น สีหน้าของนางดูมัวหมองนัก
“คุณหนูมู่ ข้ามีเรื่องจะสารภาพเจ้าค่ะ”
“ระ เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่โง่เขลาไปเองเจ้าค่ะ ข้าถึงได้ทำตัวที่เสียมารยาทต่อท่านไปมากมายนัก แต่ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว”
นางเอื้อมไปจับมือที่เนียนนุ่มของมู่ซูเจียวอย่างถือวิสาสะ
“ความรักที่ข้ามีให้กับองค์รัชทายาทหาใช่อย่างคนรักไม่ มันเป็นเพราะข้ากับพระองค์ผูกพันกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ข้ารักและเทิดทูนพระองค์ดั่งพี่ชาย คราแรกที่รู้ว่าท่านจะเข้ามาเป็นพระชายา ข้าจึงได้ตั้งแง่และต่อต้านท่าน ทั้งยังแอบกลั่นแกล้งท่านสารพัด แต่ต่อไปนี้จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้แล้วว่าท่านนั้นเหมาะสมกับองค์รัชทายาทมากที่สุด”
ดวงตากลมโตมองสบประสานดวงตาของมู่ซูเจียว นางหวังว่าคำพูดเมื่อครู่จะพอให้ทลายความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปได้บ้าง
“คุณหนูเสิ่นแน่ใจหรือเจ้าคะว่าที่ท่านพูด ไม่ได้กำลังล้อเล่นหรือโกหกข้า”
สมกับเป็นนางเอกของเรื่อง อ่อนแอแต่ไม่โง่
“ข้าจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของข้าเองเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงและแววตาที่ดูจริงใจของเสิ่นลู่ซือ ทำให้มู่ซูเจียวเริ่มคลายความระแวงลง
“เจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าจะลองเชื่อคุณหนูเสิ่นดูสักครั้ง”
“ขอบคุณนะเจ้าคะ ข้าคิดแล้วว่าท่านจะต้องเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้ ท่านช่างเหมาะสมกับองค์รัชทายาทยิ่งนัก”
เสิ่นลู่ซือผุดยิ้มกว้างออกมาด้วยความโล่งใจ
ในค่ำคืนนั้นโม่โฉ่วได้มอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับบุตรสาว ส่วนเขาก็รีบตรงไปยังเรือนนอนของเสิ่นลู่ซือ ทันทีที่เข้ามายังเรือนนอน ปลายจมูกโด่งพลันได้กลิ่นหอมรัญจวนที่โชยออกมาจากห้องหับ คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นอ่า...ซือเอ๋อร์ของเขามิใช่ว่ากำลังจะยั่วยวนเขาใช่หรือไม่กายแกร่งเดินเข้าไปยังห้องนอนแต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า เขามองหานางจนทั่วจนกระทั่งได้ยินเสียงกระเซ็นของน้ำที่ดังมาจากห้องอาบน้ำ ใบหน้าคมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องอาบน้ำภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏนี้ทำให้ร่างกายของโม่โฉ่วรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด เรือนร่างขาวผ่องของเสิ่นลู่ซือที่นั่งหันหลังให้เขากำลังลูบไล้เรียวแขนเสลา และท่อนขาเรียวยาว กลิ่นหอมของดอกเหมยกุ้ยฮวา (กุหลาบ) กำจรไปทั่วห้องอาบน้ำกึ่งกลางกายที่เคยสงบนิ่งพลันขยายใหญ่ขึ้นมาจนเขารู้สึกคับแน่นไปหมด ลำคอหนาของชายหนุ่มแห้งผากเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้า“อุ๊ย! ท่านพี่มาแล้วหรือเจ้าคะ”เสิ่นลู่ซือแสร้งทำท่าตกใจ เมื่อเห็นผู้เป็นสามียืนมองนางอยู่นานแล้ว มุมปากเล็กยกยิ้มอย่างยั่วยวน คล้ายกับกำลังเชิญชวนให้เขามาอาบน้ำร่วมกันกับนาง“เจ้าอยากทำพ
ตอนพิเศษ 3เหล่าตัวแสบตระกูลเสิ่นบุตรสาวคนแรกของตระกูลเสิ่นมีนามว่า ‘เสิ่นซิ่วอิง’ นางเป็นเด็กเลี้ยงง่ายจนหลายคนพากันประหลาดใจ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เป็นบิดาและมารดาตกตะลึง นั่นคือวิธีการกำราบน้องชายที่มีนามว่า ‘เสิ่นฮุ่ยหวง’หากเสิ่นฮุ่ยหวงร้องไห้เกเร เสิ่นซิ่วอิงก็จะแผดเสียงร้องลั่นใส่น้องชาย จนทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ในทันทีเสิ่นลู่ซืออดจะหัวเราะไม่ได้ ดูท่าในอนาคตบุตรสาวของนางคงจะกำราบน้องชายจนสิ้นท่าเป็นแน่หลังจากเสิ่นลู่ซือให้กำเนิดทารกฝาแฝดไม่นาน ฮองเฮามู่ซูเจียวก็ได้ให้กำเนิดมังกรคู่เช่นกัน องค์ชายทั้งสองทรงมีพระนามว่า ‘หวงเฟยเทียน’ กับ ‘หวงเฟยอวี่’ องค์ชายทั้งสองมีอายุน้อยกว่าสองพี่น้องตระกูลเสิ่นเพียงห้าเดือนเท่านั้น ทำให้เด็กน้อยทั้งสี่ได้กลายเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่แบเบาะห้าปีผ่านไปวันเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล จวนตระกูลเสิ่นได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็นบุตรชายคนที่สองนามว่า ‘เสิ่นลู่หลิ่ง’โม่โฉ่วผู้ขยันหว่านเมล็ดพันธุ์นั้น ภาคภูมิใจในความเก่งกาจของเขาเหลือเกิน เสิ่นฮุ่ยหมิ่นเองก็ชอบอกชอบใจในตัวบุตรเขยของเขาผู้นี้นัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาตกใจจนแทบสิ้นสติ
จวนตระกูลเสิ่นนับจากเรื่องวุ่นวายได้จบลงไปแล้ว เวลานี้ก็ผ่านมานานหลายเดือนจนท้องของเสิ่นลู่ซือขยายใหญ่มากขึ้น การเดินเหินของนางเป็นไปอย่างยากลำบาก หากอยากไปที่ใดจะต้องมีคนคอยช่วยประคองถึงสองคนโม่โฉ่วที่กำลังกังวลกับครรภ์แฝดของภรรยานั้น จึงได้ขอลางานกับหวงเฟยหลง เวลานี้เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่หัวหน้าองครักษ์ของฮ่องเต้ แต่ยังเป็นพระเชษฐาด้วย ถึงแม้โม่โฉ่วจะไม่ปรารถนาบรรดาศักดิ์อย่างที่ควรได้ แต่เขาก็ได้รับความยำเกรงจากฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง“เป็นอย่างไรบ้าง อยากกินอะไรหรือไม่”โม่โฉ่วเอ่ยถามฮูหยินรัก หลังจากที่ประคองนางมานั่งรับลมที่ศาลาไม้“ตอนนี้ข้าเจริญอาหารมากเลยเจ้าค่ะ กินสิ่งใดล้วนอร่อยทั้งสิ้น”เสิ่นลู่ซือเอ่ยตอบอย่างเขินอาย เวลานี้ร่างกายของนางอวบอิ่มมากกว่าเดิมนัก น้ำหนักก็ขึ้นมาหลายสิบโล ไม่รู้ว่าหลังจากคลอดเจ้าแฝดร่างกายของนางจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่“ฮ่ะฮ่ะ ช่วงนี้ต้องบำรุงเยอะ ๆ เจ้ากับลูกจะได้แข็งแรง และข้า...”“โอ๊ย!!”เสิ่นลู่ซือที่นั่งอมยิ้มพลันปวดหน่วงตรงท้องขึ้นมาฉับพลัน ดวงหน้างามซีดขาวด้วยความเจ็บปวดที่จู่โจมขึ้นมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ในตอนนั้นนางรู้สึกว่ามีน้ำไหลออกมาจาก
ตอนพิเศษ 2กำเนิดเจ้าก้อนแป้งน้อยองค์ชายสี่กับฮองเฮาถูกตัดสินให้ประหารชีวิตต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลาย โดยก่อนหน้านั้นทั้งสองจะถูกจับเข้าไปอยู่ในกรงขัง แล้วแห่ประจานถึงความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้ชาวแคว้นหวงอย่าได้เอาเป็นแบบอย่าง โรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือขององค์ชายสี่ รวมถึงการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮองเฮานั้นก็เป็นฝีมือของหลี่ฮองเฮาด้วยราษฎร์ที่ล่วงรู้ความชั่วร้ายของทั้งสอง ต่างพากันมารุมประณามด่าทอ ทั้งยังขว้างปาสิ่งของเข้ามายังกรงที่คุมขังนักโทษ ทั้งสองได้รับบาดเจ็บทั่วทั้งร่างกาย“สารเลว!! สมควรตาย กล้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ข้าต้องเสียลูกไปเพราะโรคระบาดในครั้งนั้นเลยนะ ฮือ ๆ”“ชั่วช้านัก ประหารพวกมันเลย!!”“เลวทั้งแม่ทั้งลูก”เสียงด่าทอดังขึ้นมาไม่ขาดสาย หวงเฟยอินกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตของเขาจะตกต่ำถึงเพียงนี้ เจ้าพวกนี้มันกล้ามาด่าทอเขาได้อย่างไรสมควรตายนัก!!การประหารของทั้งสองดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ศีรษะที่ถูกตัดขาดออกจากตัวถูกนำไปแขวนไว้ที่ประตูเมืองทางทิศเหนือ ฮ่องเต้ได้ออกราชโองการประกาศคุณงามความดีแก่องค์รัชทายาท และตระกูล
ร่างสูงหยัดกายเต็มความสูงด้วยความแค้นที่สุมอยู่ในอก เขาเดินไปยังหลังพระพุทธรูปก่อนจะพบช่องทางลับที่ท่านแม่บอกไว้ให้ ไม่รู้ว่าเพราะแรงแค้นหรือไม่ จึงทำให้เขาสามารถพาร่างกายที่แสนบอบช้ำนี้ เดินออกไปจากป่าไผ่จนพบเข้ากับแม่น้ำหนึ่งสายแต่เหมือนสวรรค์ยังคงจะทำการทดสอบเขาอีก ฝนห่าใหญ่ได้ตกกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ากำลังพิโรธ โม่โฉ่วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดำมืดด้วยสายตาว่างเปล่าร่างสูงที่ยืนอยู่ริมน้ำกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด หยาดน้ำตาของเขาไหลรินลงมา โดยถูกสายฝนชำระล้างไปสิ้น ราวกับกำลังจะย้ำเตือนว่าให้เขาหยุดร้องไห้ แล้วลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้แค้นคนชั่ว!!โม่โฉ่วเดินไปริมตลิ่งเจอเข้ากับเรือไม้ลำเล็ก ราวกับมีคนจงใจเตรียมไว้แล้ว สุดท้ายท่านแม่ก็คือคนที่เสียสละ และรักเขามากที่สุดร่างกายสูงใหญ่เดินโซเซไปนั่งในเรือ แล้วพายเรือออกจากฝั่งท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมา แม่น้ำสายนี้ไม่ได้กว้างมากนัก เขาจึงกัดฟันทนจนพายมาถึงฝั่งตรงข้ามได้ในที่สุดชายหนุ่มเดินโซเซออกมาจากเรือ เวลานี้ร่างกายของเขาเริ่มจะทานทนไม่ไหวเสียแล้ว ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไข้ขึ้นสูง กอปรกับพิษบาดแผลจากด้านหลังทำให้โม่โฉ่วสลบ
ตอนพิเศษ 1การเจอกันครั้งแรก“เหตุใดถึงทำเช่นนี้กับข้าและท่านแม่เช่นนี้ พวกข้าไปทำสิ่งใดให้พวกเจ้ากัน”เด็กหนุ่มในวัย 18 หนาวตะคอกถามผู้ที่เขาเคยนับถือเป็นเสด็จยายและน้องชาย แต่ในวันนี้กลับเป็นพวกเขาที่หันคมดาบมาแทงข้างหลังของเขาอย่างเลือดเย็นในแววตาของทั้งสองที่มองมานั้น แสดงถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาอย่างเปี่ยมล้น สายตาที่ทิ่มแทงมาราวกับคมดาบมันบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของโม่โฉ่ว ใบหน้าของทั้งสองมีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันด้วยความสมเพชน้องชายที่เขาเคยให้ความเอ็นดูแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ “หึ นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าเห็นเจ้าเป็นพี่ชาย คนอย่างเจ้าเนี่ยนะ! น่าขันสิ้นดี”เขาพ่นน้ำลายใส่หน้าของโม่โฉ่ว พลางสืบเท้าเข้ามาใกล้ร่างสูงที่นอนขดตัวคุดคู้อยู่บนพื้นไม้สกปรก แววตาของเด็กหนุ่มที่อายุแค่ 17 หนาวมองมาอย่างเลือดเย็นก่อนหน้านี้โม่โฉ่วได้ถูกคนของเขาซ้อมจนสะบักสะบอม แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงมองมาทางเขาอย่างถือดี น่าตายนัก!“เจ้ากับแม่มันก็แค่สวะชั้นต่ำ เสด็จยายของข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูพวกเจ้าขนาดนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าแม่ลูกก็ควรตอบแทนบุญคุณสิ”“เจ้าต้องการอะไร” เขากัดฟันแน่นด้วยความก