"คีย์คะ"เสียงเรียกดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพยายามเรียกขานชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไปครั้งหนึ่งแล้วแต่เขายังไม่ได้ตอบ จนกระทั่งต้องลองเรียกใหม่อีกรรั้ง
"ครับ เนตรว่าอะไรนะครับ"
"เหม่อลอยอะไรคะเนี่ย"
"ขอโทษครับ คือว่าผมน่าจะเหนื่อยๆหน่อย ช่วงนี้ต้องขยายแปลงปลูกเพิ่ม ก็เลยต้องไปคุมงานเยอะเลย เมื่อกี้เนตรถามว่าอะไรนะครับ"
"เนตรถามว่าตอนนี้อาการน้องครีมเป็นอย่างไรบ้างคะ"
"ก็ยังไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิมครับ ทำได้ก็แต่คอยดูแลแล้วก็รักษาไปตามอาการ ยังต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนหน้าครับ พอดีผมพึ่งได้ศัลยแพทย์ประสาทและสมองฝีมือดีมา"
"หวังว่าการรักษาครั้งนี้จะสามารถทำให้น้องครีมฟื้นตื่นขึ้นมาได้เหมือนเดิมนะคะ เนตรเอาใจช่วย"
"ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ เพราะคนที่แนะนำคุณหมอท่านนี้มาบอกผมว่าเขาเป็นหมอที่เก่งมากๆ เดือนหน้าครับเขาถึงจะย้ายกลับมาอยู่ที่ไทย"
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงเป็นไปด้วยความเรียบๆ เนตรดาวแวะมาโดยไม่บอก คีตกานต์จึงทำได้แค่เพียงสปาเกตตี้ง่ายๆกับสลัดจานใหญ่อีกจานหนึ่งเพียงเท่านั้น แม้ว่าบุคคลตรงหน้าจะชวนคุยเสียแทบจะไม่ขาดปาก แต่สมองเขากลับคอยจะแวบไปคิดถึงภาพตรงบริเวณหน้าบ้านหลังจากที่เหลือบมองกลับออกไปเห็นอรรถกรมาจอดรับฉัตรตะวันขึ้นรถไป
"เนตรกลับมาอยู่ไทยแล้ว มีแพลนว่าจะทำอะไรครับ"
"ถ้าเนตรบอกว่า เนตรจะขอกลับมายอมรับตำแหน่งเจ้าสาวของคีย์ ที่คีย์เคยขอเนตรเอาไว้ตอนนั้น จากนั้นก็รอให้คีย์หาเลี้ยง ส่วนเนตรก็เลี้ยงลูกของเราอยู่บ้าน แบบนั้นดีไหมคะ"
รอยยิ้มสวยหวานที่อยู่บนใบหน้าเก๋ไก๋ มีดวงตากลมโตสดใสที่เขาเคยหลงใหลประดับอยู่ เนตรดาวเคยสดใสยังไง วันนี้เธอก็ยังเป็นแบบนั้นไม่มีผิด จะต่างไปก็แค่เพียงวันนี้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักวางเนื้อวางตัว ไม่เที่ยวเล่นซุกซน แอบซนแอบแกล้งเขาเหมือนอย่างเมื่อก่อน
"นี่พูดจริงหรอครับ ผมก็คิดว่าเนตรลืมผมไปแล้วเสียอีก ปล่อยให้รออยู่เสียนาน" คีตกานต์แกล้งเย้าเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าเอาแต่หัวเราะออกมา
นึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยขอเนตรดาวแต่งงานจริง เขาและเธอเริ่มคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน หลังจากที่เป็นเพื่อนกันมานานเพราะผืนดินที่ไร่นั้นอยู่ติดกัน จากความสัมพันธ์ฉันเพื่อน กลับกลายเป็นรักมั่นคงจริงใจ จนกระทั่งถึงขั้นความรักสุกงอมและหอมหวาน
หลังจากเรียนจบ เวลานั้นคีตกานต์คิดแล้วว่ายังไงเสียเนตรดาวก็คือคนที่ใช่ เลยตัดสินใจขอเธอแต่งงานไปในวัยที่พึ่งจะเรียนจบ แน่นอนว่าเธอปฏิเสธ เหตุผลก็คือ อยากออกไปใช้ชีวิต ออกไปเปิดโลกกว้าง ตามหาประสบการณ์และมันก็ลามไกล จนเขามารู้อีกทีก็คือเมื่อเธอย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ไม่มีคำบอกเลิก ไม่มีคำอธิบาย ก็แค่ห่างๆกันไป จนกระทั่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งในตอนนี้
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนที่เขาเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพ แล้วอยู่ๆก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆเหมือนคนที่เขาเคยรู้จักเดินผ่านหน้าไป ตอนแรกเขาก็ยืนมองอยู่นาน จนกระทั่งมั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือเนตรดาว
แรกๆเธอดูตกใจตอนที่เขาเข้าไปทัก เพราะว่าไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว เธอยังไม่ได้บอกใคร ตั้งใจว่าจะกลับไปเซอร์ไพรส์คนที่บ้าน แต่ก็ดันมาเจอเขาเสียก่อน จากนั้นเลยจึงได้ถือโอกาสชวนเขาทานข้าวเย็นด้วยกัน บอกว่ามีร้านอาหารของเพื่อนสนิทเธอตั้งอยู่แถวนั้น ซึ่งมันเป็นวันเดียวกันกับที่เขาไปเจอฉัตรตะวันและธนากรมา
หลังจากอรรถกรมาส่งเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นไปตามสเต็ปเดิมคือขอนั่งทานข้าวเย็นต่อด้วย หลายวันมานี้หลังจากคืนที่เขามาสารภาพบอกความในใจ เธอเองก็พึ่งสังเกตว่าอรรถกรหายหน้าหายตาไปอยู่หลายวัน
"ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน พี่คิดถึงกับข้าวฝืมือซันมากๆเลย"
"คิดถึงแล้วทำไมถึงไม่มากินล่ะคะ ซันเห็นพี่อรรถหายไป ก็นึกว่าเบื่อฝีมือซันแล้ว"
"ไม่ใช่สักหน่อย พอดีช่วงนี้พี่มีไปประชุมติดๆกันน่ะ อัพเดตเรื่องการกำจัดแมลงโดยวัตถุดิบจากธรรมชาติ เน้นแนวเกษตรอินทรีย์ให้ได้มากที่สุดและเป็นการขอความร่วมมือมาจากทางจังหวัด อรรถกรเลยต้องออนทัวร์" อรรถกรพูดออกมายิ้มๆและพยายามทำตัวให้ปกติใกล้เคียงกับช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้เคยสารภาพความในใจกับเธอให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าจะได้รับรู้คำตอบที่อรรถกรบอกไป ฉัตรตะวันเองก็พยายามลองที่จะเชื่อ เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาชายหนุ่มตรงหน้านั้นจริงๆแล้วหายไปไหนมากันแน่ เพราะโดยปกติแล้วเธอมักจะเห็นเขามาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอเสียมากกว่า แต่พอหลังจากคืนนั้นมาเขาก็หายไป คงไม่ใช่แอบไปทำใจมาหรอกนะ
"ถ้างั้นพี่อรรถก็ทานเยอะๆเลยนะคะ ซันหุงข้าวเผื่อเสียเต็มหม้อ"
"วันนี้พี่คีย์เกิดใจดีอะไรขึ้นมาล่ะ ถึงได้ปล่อยให้ซันเลิกงานเร็วได้" แม้มือที่กำลังตักข้าวส่งเข้าปากจะชะงักแต่ดีที่ฉัตรตะวันรีบดีดความรู้สึกอึกอักนั้นทิ้งได้ทัน จึงได้กล้าปั้นหน้าทำราวกับว่าที่ผ่านมามันไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
"คงจะเพราะเขามีแขกล่ะมั้งคะ ก็เลยให้ซันรีบทำรีบเสร็จ จะได้รีบไปให้พ้นๆหน้าเขา" แม้ว่าจะพยายามดีดแล้ว กระนั้นข้าวในจานก็ยังถูกเขี่ยไปเรื่อยๆในขณะที่พูด ยิ่งพอได้บวกกับน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะเจือปนไปด้วยความเศร้าสร้อยด้วยแล้ว ทำเอาอรรถกรต้องหยุดเงยหน้าขึ้นมองมาทางเจ้าของน้ำเสียงเศร้าสร้อยนั่นด้วย
"ซัน"
"คะ?"ฉัตรตะวันเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เรียกชื่อเธอแบบงงๆ ใบหน้าของอรรถกรดูอึ้งๆราวกับว่าเขากำลังตกใจกับอะไรที่เห็นอยู่
"ทำไมซันคอแดง"ทันทีที่อรรถกรถามออกมา ช้อนส้อมในมือก็พากันร่วงหล่นลงจากมือจนตกลงไปกระทบจานเสียเสียดัง
"ดะ..แดงอะไรกันคะพี่อรรถ" คอปกเสื้อถูกจับรวบๆเข้าหากันอย่างล่กๆรนราน
"ก็ที่คอซันไง มีรอยแดงๆเหมือนพึ่ง..โดนดูด"คำสุดท้ายของประโยคที่หลุดออกมานั้นแสนจะแผ่วเบาจนแทบจะไม่มีน้ำหนัก หากแต่มันกลับกระแทกใจคนฟังเข้าเสียเต็มแรงจนจุก
"คิดมากค่ะพี่อรรถ อย่างซันเนี่ยนะคะจะยอมให้ใครดูด นี่มันรอยโดนข่วนค่ะ ด้ามตะแกรงไงคะพึ่งเกี่ยวมาแบบสดๆร้อนๆ เลือดออกหรือเปล่าก็ไม่รู้" มือน้อยทำเป็นถูเข้าปอยๆที่ต้นคอตัวเอง แต่ก็มิวายยังต้องดึงปกคอเสื้อให้ขึ้นมาปิดอยู่ดี
"งั้นหรอ พี่ตกใจหมดเลย คิดว่าพี่ไม่อยู่แค่ไม่กี่วันซันก็มีแฟนใหม่ซะแล้ว"
"แฟนเก่ายังไม่มีเลย แล้วซันจะมีแฟนใหม่ได้ยังไงล่ะคะ" ฉัตรตะวันแกล้งขำจนทำเอาอรรถกรเองก็แกล้งขำด้วย
"จริงด้วยสินะ ซันพูดถูก" อรรถกรตอบกลับเธอด้วยใบหน้าแหยๆหลังจากนั้น ราวกับความสงสัยของเขานั้นยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่างชัด พอเวลาผ่านไป ต่างคนต่างก็นั่งกินข้าวกันไปแบบเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง แล้วอรรถกรจึงได้ขอตัวกลับ
แม้ว่าอรรถกรจะกลับไปแล้วแต่ฉัตรตะวันยังคงนั่งเล่นต่อที่หน้าบ้าน ภายในหัวคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและคีตกานต์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา รวมถึงเมื่อตอนเย็นนี้ด้วย จนแล้วจนรอดความสับสนก็ยังไม่ถูกคลี่คลาย จึงได้แค่ปล่อยมันทิ้งเอาไว้คาใจแบบนั้น ก่อนจะพาตัวเองเดินปิดประตูแล้วกลับเข้าบ้านไป
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ