"ได้ข่าวว่าแฟนเก่านายกลับมาแล้วหรอวะนังแก้ว นังใจ" เสียงกระซิบที่เปลี่ยนเป็นค่อยๆกระซาบหลังจากขยับเข้าไปหากันทีละน้อยค่อยดังขึ้นจากเจ้ใหญ่
"นี่ไปเอาข่าวมาจากไหนอีกล่ะเจ๊หมอน"
"ก็ฉันเห็นเขาลือกันให้แซดว่าเมื่อวานแฟนเก่านายน่ะขับรถไปหานายถึงบ้านพัก สงสัยงานนี้น่าจะมีลมมีพัดหวนเน๊อะซันว่าไหม" น้ำเสียงหัวเราะคิกคักแถมข้อศอกที่สะกิดถูกมาที่สีข้างเธอทำเอาฉัตรตะวันต้องหยุดชะงักวางมือจากการเก็บมะเขือเทศลงก่อน
"ซันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะเจ๊ ขนาดแฟนเก่าเขาเป็นใครซันยังไม่รู้เลย แค่ทุกวันนี้ทำตัวให้ดีๆจะได้ไม่ต้องถูกกินหัวเสียก่อนก็พอแล้ว" น้ำเสียงเรียบๆบวกกับใบหน้าที่ดูมีความกังวล แต่มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้าผืนใหญ่พยายามตอบคนงานสาวรุ่นพี่ออกไปอย่างเสียงไม่ให้สั่น
"เออจริงด้วยเจ๊ก็ลืมไป นายน่ะไม่รู้ไปจงเกลียดจงชังอะไรซันนักหนาเน๊อะ ทำราวกับว่าเคยเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน" เจ๊ใหญ่ผู้ที่เป็นคนตั้งคำถามขึ้นหันมาพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจเธอ
"ว่าแต่ข่าวกรองแล้วใช่ไหมเจ๊หมอน ฉันกับนังใจจะได้เอาไปขยายต่อ"
"ก็ถ้าเอ็งไม่กลัวว่าพอนายสืบได้ว่าต้นตอข่าวนี้มาจากใคร ก็เชิญเอ็งไปขยายต่อได้เลยนังแก้ว"สายสมรหน้าเครียดใส่สองสาวแก้วตาและดวงใจที่ยืนฝั่งตรงข้าม
"อ้าวเจ๊ ก็ไอ้ต้นตอข่าวที่ว่าก็มาจากเจ๊นี่ไง พูดเองคนเดียวอยู่แหมบๆ ลืมไปแล้วหรอ"
"โถๆวอนเสียแล้วนังนี่ อยู่ดีๆจะมาหาเรื่องให้ฉันถูกนายหยุมหัวเล่น งั้นพวกเอ็งสองตัวก็พากันหุบปากให้เงียบไปเลยก่อนที่จะโดนมะเขือเทศยัดปาก"
ท่ามกลางเสียงกระจองอแงของบรรดาเจ๊ๆที่ยังคงพูดคุยกันยังไม่จบไม่สิ้นถึงเรื่องราวการกลับมาของอดีตคนรักของผู้เป็นนาย เลยพลอยทำให้ข้อมูลต่างๆลอยมากระทบเข้าหูของฉัตรตะวันเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสรุปได้แบบคร่าวๆว่า หญิงสาวคนที่เธอเจอที่บ้านพักของคีตกานต์เมื่อวานก็ คือ อดีตคนรักเก่าของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยถึงขั้นเกือบแต่งงานกันมาแล้ว คีตกานต์เคยรักผู้หญิงคนนี้มาก แต่ก็ต้องมาเลิกรากันไปเสียก่อนด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่พวกเจ๊ๆของเธอก็ยังพากันเดาไม่ถูก
ยิ่งได้ฟังว่าผู้ชายที่ชื่อคีตกานต์นั้นเคยรักและทุ่มเทกับผู้หญิงที่ชื่อเนตรดาวนั้นมากเพียงใด อาการตื้อๆตันๆพลันก็เกิดขึ้นมากลางอก คงเพราะน่าจะเกิดจากอากาศที่ร้อน แถมหมวกที่เธอใส่อยู่ก็ยังคลุมหน้าคลุมตาปิดบังเอาไว้ เลยทำให้เธอเกิดความรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่ จนกระทั่งทุกอย่างนั้นเริ่มหมุนเคว้งและมืดสนิทลง
"ซัน ซัน"
ฉัตรตะวันฟื้นตื่นลืมตาขึ้นมาก็พบว่าข้างกายมีอรรถกรยืนอยู่ด้านข้างของเตียงห้องปฐมพยาบาลใบหน้าเขายังดูเป็นกังวล มือไม้ก็พยายามพัดโบกไปมาราวกับว่าเพื่อให้อากาศถ่ายเทมากขึ้น ทันทีที่ลืมตาตื่น ยาดมก็ถูกจ่อมาไว้ที่จมูก ตามด้วยแก้วน้ำเย็นๆที่ถูกส่งตามมา
"ฟื้นแล้วหรอ พี่เป็นห่วงแทบแย่"
"นี่ซันคงไม่ได้เป็นลมไปหรอกใช่ไหมคะ"
"ซันเป็นลม พวกเจ๊ๆพากันตกใจกันใหญ่ รีบวิ่งไปตามให้พี่อุ้มซันมานี่แหละ นี่ก็พึ่งจะกลับออกไปกันเมื่อครู่นี้เอง"
"พี่อรรถอุ้มซันมาหรอคะ"
"ก็ใช่น่ะสิ ซันเป็นลมไม่รู้สึกตัว จะปล่อยให้เดินมาเองก็ยังไงอยู่" แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกขำแต่ฉัตรตะวันก็ยังหันไปยิ้มแหยๆให้กับมุกตื้นๆของอรรถกร
"ไม่สบายหรือเปล่าทำไมถึงเป็นลมไปได้ ปกติพี่เห็นซันแข็งแรงดีจะตาย ตากแดดทั้งวันก็เคยมาแล้ว"
"ซันว่าวันนี้มันน่าจะร้อนเกินไปหน่อยน่ะค่ะ แล้วเสื้อที่ซันใส่ก็ค่อนข้างหนา ไหนจะหมวกนั่นก็ใบใหญ่อีกต่างหาก ซันเลยหายใจไม่ค่อยจะออก"
"งั้นทีหลังก็ระวังดีๆ ช่วงนี้พี่ก็รู้สึกว่าแดดค่อนข้างแรงจริง แล้ววันนี้จะเอายังไงต่อ ทำงานไหวไหม หรือว่าจะลาสักวันดีหรือเปล่า"
"ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อรรถซันยังไหว เดี๋ยวขอซันพักต่ออีกสักหน่อยก็คงจะดีขึ้นแล้ว พี่อรรถไปทำงานต่อเถอะขอบคุณนะคะที่พาซันมาส่ง"
"อยู่คนเดียวได้แน่นะ"
"ได้จริงๆค่า พี่อรรถไม่ต้องเป็นห่วง"
"โอเคๆ งั้นถ้าเกิดว่ามีอะไรให้รีบโทรบอกพี่เลยนะ"
กว่าอรรถกรจะยอมออกไปก็ทำเอาฉัตรตะวันถึงกับต้องขู่ไล่ แม้ว่าจะรู้สึกขอบอกขอบใจที่อีกฝ่ายเป็นคนอุ้มเธอมาปฐมพยายาลถึงนี่ก็ตาม แต่บางครั้งบางทีฉัตรตะวันก็คิดว่าอรรถกรมักจะเป็นกังวลมากเกินไป แต่ก็มิวายที่รอยยิ้มน้อยๆจะปรากฏขึ้นที่สองข้างแก้มยามเมื่อได้ทำการบังคับขู่เข็ญให้อรรถกรกลับออกไปได้จนสำเร็จ
"ได้ข่าวว่ามีคนงานทำงานหนักจนเป็นลม ไอ้ฉันหรือก็อุตส่าห์รีบมาดูเผื่อว่าจะเป็นอะไรมาก ที่แท้ไอ้อาการที่ว่าก็คืออาการ อยากอ่อยผู้ชาย"
"คุณคีย์"
"ถ้าหายดีแล้วและไม่ได้เป็นอะไรก็ออกไปทำงานต่อ ไหนๆไอ้อรรถมันก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องมาทำเป็นเสแสร้งแกล้งสร้างภาพ"
"ซันไม่ได้สร้างภาพ ซันเป็นลมจริงๆ"
"งั้นหรอ แต่จากที่ดูๆแล้วตอนนี้ ก็ไม่เห็นว่าเธอจะเป็นอะไรแล้วนี่ นอกจาก เป็นคนสำออย หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงที่ร่านจนขาดผู้ชายไม่ได้ ต้องคอยหว่านเสน่ห์ ใช้มารยาหลอกล่อให้มีผู้ชายมาคอยวิ่งอยู่รอบๆตัว"
"คุณคีย์! ดูถูกซันมากเกินไปแล้วนะคะ"
"พูดความจริงแล้วรับไม่ได้?"
"ถ้าจะรับไม่ได้ก็เป็นเพราะว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดออกมานั้นมันไม่ใช่ความจริง หยุดพูดจาดูถูกเหยียดหยามซันเสียที เลิกเอาความคิดสกปรกๆของคุณมาปาใส่คนอื่น แล้วต่อให้ฉันจะร่าน มันก็เรื่องของฉัน!"
ด้วยความโมโหฉัตรตะวันจึงรีบลุกขึ้นลงจากเตียงเพื่อหวังที่จะเดินไปผลักอกแกร่ง กะว่าจะเอาตัวเองไปชนคนตัวโตที่ชอบคอยมาหาเรื่องเธอเสียให้กระเด็นกระดอนจนล้มเซไปชนกับขอบตู้เตียงที่อยู่ข้างๆ แล้วเธอก็จะรีบวิ่งหนีออกจากห้องไปเสีย
แต่ทำไม เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปอย่างที่คิด เวลานี้แขนของเธอถูกดึงกลับมาอย่างเต็มแรงก่อนที่คีตกานต์จะเหวี่ยงตัวเธอให้ล้มลงไปบนเตียงปฐมพยาบาลอีกครั้งแล้วยังตามมาบีบสองข้างเเก้มเธอเอาไว้เสียแน่นอีก
ริมฝีปากหนักๆถูกกระแทกลงมาใส่เธอจนเจ็บ ไม่จากปากเธอก็ปากเขาที่น่าจะแตก พอคีตกานต์พยายามสอดดันเรียวลิ้นเข้ามาเธอจึงรับรู้ได้ถึงความเค็มปะแล่มๆ
"อื้อออ อ่อยยย"
ทั้งหมัดทั้งศอกบวกกับเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยายามทุบตีลงไปที่แผ่นหลังกว้าง คีตกานต์บังคับจูบเธอทั้งๆที่เธอไม่ได้เต็มใจอีกแล้ว เขามันคือคนสารเลวที่สุด
"อย่ามาทำลุ่มล่ามกับฉันแบบนี้นะ"
"หึ ลืมไปหรือเปล่าว่ามากกว่านี้ฉันก็เคยทำมาแล้ว"
"คนชั่ว ฉันเกลียดคุณ!"
"แล้วคิดว่าฉันพิศวาสเธอมากนักหรือไง ที่ทำๆไปฉันก็ต้องฝืนใจทำทั้งนั้น"
แล้วเสียงดังเพี๊ยะที่เกิดจากฝ่ามือน้อยลอยไปกระทบกับแก้มสากก็ดังขึ้นเสียฉาดใหญ่ เมื่อต่างฝ่ายต่างระเบิดอารมณ์ใส่กันไม่หยุด เธอตบเขาจูบ เธอตะคอกเขายิ่งรังแก จนคนที่กำลังจะพ่ายแพ้เริ่มมีน้ำตา
"อย่ามามารยาสาไถย น้ำตาเธอใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอก"
"ไอ้ผู้ชายสารเลว!"
"ฉันก็ไม่เคยบอกนี่ว่าฉันเป็นคนดี ตราบใดที่เธอยังอ่อยไอ้อรรถไม่เลิก ฉันก็จะลงโทษเธออีก หรือต่อให้เธอเลิกอ่อย ฉันก็จะลงโทษเธออยู่ดี จนกว่ามันจะชดใช้ให้สาสมกับความชั่วช้าที่เธอเคยทำเอาไว้!"
เมื่อเสียงประตูถูกผลักออกไปแล้วฉัตรตะวันก็ได้แต่นั่งฟุบหน้าลงกับเข่าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่ นับวันความเจ็บปวดรวดร้าวที่เกิดขึ้นภายในใจจากผู้ชายที่ชื่อคีตกานต์ก็มีแต่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปทุกที มีแต่การกล่าวหาซ้ำๆเดิมๆ โดยที่เขาไม่เคยเปิดโอกาศให้เธอได้ชี้แจงอะไรเลยสักนิด เธออยากจะรู้นักว่าตัวเธอนั้นผิดอะไร อย่างน้อยก็โปรดช่วยบอกให้เธอได้รู้สักนิด
"บอกฉันหน่อยว่าฉันทำผิดอะไรคุณคีย์"
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ