@บ้านอัครกุล
ติณณภัทรทิ้งเตียงตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงนุ่ม หลับตาลงด้วยอาการหนักอึ้งในสมองเพราะคิดไม่ตกกับเรื่องในวันนี้ นี่เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างนับดาวจริงหรือแค่คิดก็หนักใจตั้งไว้แล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต้องเจอกับอะไรอีก ไหนจะนีรนุชที่ยังไม่ได้คุยกันสักนิด เธอคงโกรธและเกลียดเขามากขนาดเขาขอคุยกับเธอก่อนกลับเธอยังปฏิเสธแล้ววิ่งหนีขึ้นห้องไป ไหนจะพ่อกับแม่ตัวเองอีกไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะมีปฏิกิริยายังไงเมื่อเขาบอกเรื่องนี้ไป ที่ผ่านมาผู้เป็นแม่ก็ดูจะไม่ชอบนับดาวอย่างชัดเจน ส่วนผู้เป็นพ่อเขาเดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าท่านคิดยังไง "แม่ง! เพราะเธอคนเดียวนับดาว" เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนเขาดีดตัวลุกลงจากเตียงถอดเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำหวังให้น้ำช่วยบรรเทาอารมณ์คุกรุ่นในร่างกายให้เย็นลง ทว่าเหมือนน้ำเย็น ๆ จะไม่ได้ช่วยอะไรเพราะภาพความร้ายกาจของหญิงสาวยังคงวนเวียนในสมองเขาไม่เลิก "บ้าชะมัด!" เขาสบถออกมาอีกครั้งพร้อมกับปิดฝักบัว เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวแล้วเดินออกไปแต่งตัว ก็อก! ก็อก! ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเขาจึงรีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปเปิดประตู "มันเกิดอะไรขึ้นบอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะตาภัทร ทำไมลุงทนงศักดิ์จึงโทรมาขอถอนหมั้นให้หนูนุช" ทันทีที่เปิดประตูออกไปเสียงของผู้เป็นแม่ก็แวด ๆ ใส่เขายาวเหยียดแถมยังจ้องเขม็งราวกับเขาไปฆ่าใครตายอย่างนั้น "ใจเย็น ๆ สิครับแม่" เขาจึงต้องหยิบลูกอ้อนออกมาใช้พุ่งเข้าโอบกอดท่านไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มหวังให้ท่านใจเย็นลง "เรื่องนี้แม่ใจเย็นไม่ได้หรอกนะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าลูกไปทำอะไรให้ทางนั้นเขาไม่พอใจ" ครั้งนี้อรอินหาได้ใจอ่อนไม่ยังคงจ้องหน้าถามบุตรชายอย่างคาดคั้น "ว่ายังไงฮึ" "ผมบอกก็ได้ครับ" เมื่อเลี่ยงไม่ได้ติณณภัทรจึงจำใจต้องบอก เขาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่อ "งานเลี้ยงวันเกิดนุชเมื่อคืนผมเมาจนพลาดมีอะไรกับนับดาวครับ ผมเลยต้องรับผิดชอบเขา" "ห๊ะ!" คำพูดของบุตรชายทำเอาอรอินถึงกับตาเบิกกว้าง ร้องอุทานออกด้วยความตกใจแทบอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอดทำไมบุตรชายของเธอถึงได้สร้างเรื่องแบบนี้กันนะ "โอ้ย! ตาภัทรทำไมแกทำแบบนี้ห๊ะ ฉันจะเป็นลม" "ผมขอโทษครับมันพลาดไปแล้วจริง ๆ" ติณณภัทรก็รู้สึกสงสารคนเป็นแม่อยู่หรอกแต่จะให้ทำยังไงในเมื่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วทำได้เพียงเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด "ไม่รู้แหละถึงยังไงแม่ก็ไม่รับนับดาวมาเป็นสะใภ้แน่ ๆ ถึงจะไม่ได้หนูนุชมาเป็นสะใภ้ก็เถอะ" อรอินยืนยันเสียงแข็งเธอรับไม่ได้จริง ๆ ที่จะมีลูกสะใภ้สำส่อนอย่างนับดาว ข่าวออกโครม ๆ คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่านับดาวเป็นผู้หญิงยังไงหากได้เป็นลูกสะใภ้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น "ลูกไปมีอะไรกับเธอไม่รู้ว่าเป็นโรครึเปล่า" ติณณภัทรได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดจาแสนร้ายกาจของผู้เป็นแม่ แต่ก็ทำให้เขาอดคิดตามไม่ได้จริงเมื่อคืนเขาดันไม่ได้ป้องกันด้วยสิ พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็สงสัยเรื่องรอยเลือดขึ้นมาอีกครั้ง บวกกับความรู้สึกที่มันยังเจือจางอยู่เหมือนเมื่อคืนเขามีอะไรกับสาวบริสุทธิ์ไม่ใช่ผู้หญิงที่ผ่านผู้ชายมานับไม่ถ้วน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนคงเป็นเพราะฤทธิ์น้ำเมาผสมฤทธิ์ยาเลยทำให้เขารู้สึกแบบนั้น "เพื่อความสบายใจผมจะไปตรวจร่างกายครับ" เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง แล้วเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ไปเพื่อให้ท่านสบายใจ และเพื่อความสบายใจของตัวเองด้วย "ดีรีบไปตรวจเลยนะ" อรอินพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะประกาศเสียงกล่าวในประโยคต่อมา "ส่วนเรื่องรับผิดชอบนับดาวแม่ไม่เห็นด้วย หัวเด็ดตีนขาดยังไงแม่ก็ไม่ยอม" "ถ้าผมไม่รับผิดชอบ ครอบครัวเราอาจผิดใจกับคุณลุงศักดิ์ได้นะครับ" ติณณภัทรยกทนงศักดิ์มาอ้างหวังว่าผู้เป็นแม่จะยอมเพราะไม่ว่ายังไงเขาจะต้องทำตามที่ลั่นวาจาไว้ให้ได้ จะไม่ยอมให้ผู้หญิงร้ายกาจแถมมีอายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายปีมาดูหมิ่นได้ จดทะเบียนแล้วค่อยหย่ากันทีหลังก็ไม่เห็นเป็นไรยังไงเขาเป็นผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว "นี่แม่ต้องทำใจยอมรับนับดาวมาเป็นลูกสะใภ้จริง ๆ ใช่ไหม" อรอินพรูลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ พอพูดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูลเธอก็ปฏิเสธไม่ออกจริง ๆ เพราะทนงศักดิ์ถือเป็นผู้มีพระคุณเลยก็ว่าได้ ครั้งที่พ่อเธอมีปัญหาเรื่องบริษัทจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลก็ได้ทนงศักดิ์นี่แหละช่วยเหลือโดยการแอบใช้เส้นสายทำให้พ่อของเธอชนะคดีทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายผิด แล้วแบบนี้เธอจะปฏิเสธยังไง "แม่ให้ลูกรับผิดชอบก็ได้ แต่ลูกห้ามมีความสัมพันธ์เกินเลยกับเธออีกพอครบหนึ่งปีค่อยเลิกกัน" "ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ" "งั้นก็ตามนี้แหละ แม่ไม่อยากคิดเรื่องนี้แล้วปวดหัว เครียด รับไม่ได้" อรอินเอ่ยตัดบท ก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ติณณภัทรมองตามหลังด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะนึกสงสาร และตลกผู้เป็นแม่ในเวลาเดียวกันกับท่าทางของท่าน ยืนมองจนท่านเดินลับสาตจึงกลับเข้ามาล้มตัวลงนอนบนเตียง จากนั้นไม่นานก็ผล็อยหลับไป ครืดดด~ นอนหลับไปกว่าสองชั่วโมงเขาก็ต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง มือหนายกขึ้นขยี้ตาเบา ๆ ไล่อาการงัวเงีย ก่อนเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงมาดู คิ้วเข้มขมวดชนกันเป็นปมด้วยความสงสัยเพราะเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอไม่คุ้นตาเลยสักนิด แต่ก็ตัดสินใจรับสาย (สวัสดีค่ะว่าที่คุณสามี) เพียงได้ยินคำพูดปลายสายก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เขาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ด้วยความอารมณ์เสีย ก่อนตอบปลายสายด้วยน้ำเสียงห้วน "ก่อนจะเรียกฉันว่าผัว ควรถามฉันก่อนไหมว่าว่าอยากเป็นรึเปล่า หรืออยากได้ผัวจนตัวสั่นเลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น" (หว่า..ว่าที่คุณสามีรู้ทันเสียด้วย แสนรู้จังเลยนะคะ) ปลายสายยอมรับยังไม่สะทกสะท้านกับคำพูดแรง ๆ ของเขา หนำซ้ำยังเปรียบเขาแสนรู้เหมือนหมาอีกทำเอาอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วถึงกับพุ่งปรี๊ด ตวาดปลายสายดังลั่น "มันจะมากไปแล้วนะนับดาว อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับเธอไปมากกว่านี้" (ไม่เอาไม่โกรธสิคะว่าที่คุณสามี ว่าที่เมียคนนี้ก็แค่จะโทรมาบอกว่าฤกษ์จดทะเบียนเป็นวันพรุ่งนี้นะคะ เจอกันที่อำเภอพรุ่งนี้เวลา 10โมงนะคะ หวังว่าว่าที่คุณสามีจะเป็นลูกผู้ชายพอไม่ปัดความรับผิดชอบนะคะ) คนปลายสายอย่างนับดาวยังคงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี เสียงตวาดของติณณภัทร และคำพูดของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวสักนิด กลับกันยิ่งเขาแสดงออกมาว่าโกรธมากเท่าไรเธอก็ยิ่งพอใจ "เธอนี่มันไร้ยางอายสิ้นดีนับดาว อยากจดทะเบียนกับฉันมากฉันก็จะจัดให้ แต่เธอจะเป็นเมียฉันแค่ในทะเบียนสมรสเท่านั้น อย่าหวังว่าเรื่องคืนนั้นจะเกิดขึ้นอีก และอย่าหวังอะไรไปไกล" (ฉันจะคอยดูว่าคุณทำได้ตามที่พูดไหม อย่ามาเป็นหมาทีหลังแล้วกันนะคะว่าที่คุณสามี) นับดาวสวนกลับปลายสายด้วยความหมั่นไส้ ก่อนกดวางสาย ความจริงเธอก็ไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวชายหนุ่มสักนิด ไม่คิดว่าจะมีอะไรกับเขาเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำ ฤกษ์จดทะเบียนที่บอกเธอก็ไม่ได้ไปดูที่ไหนทั้งนั้นเพียงพูดเยาะเย้ยนีรนุชกับนิ่มเท่านั้นเอง เธอกับเขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันเพราะรักจะดูฤกษ์ ไม่ดูฤกษ์ จดในวันดี หรือไม่ดีก็ไม่เห็นสำคัญสุดท้ายวันหนึ่งเธอกับเขาก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี แต่พอได้ยินคำพูดมั่นหน้ามั่นโหนกของชายหนุ่มในวันนี้ต่อมอยากเอาชนะของเธอมันก็ทำงานขึ้นมาทันที คอยดูเถอะเธอจะทำให้เขากลายเป็นหมาให้ได้นับดาวให้กำเนิดบุตรสาวในวันเกิดของตัวเองพอดิบพอดีเพียงแต่คนละเวลากันเท่านั้น วันเกิดเธอปีนี้จึงกลายเป็นสุขสันต์วันคลอดแทนทุกคนต่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะติณณภัทรวินาทีที่ได้เห็นหน้าบุตรสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่"ได้เจอกันสักทีนะลูกสาวพ่อ" ก้มจูบบนฝ่าเท้าน้อย ๆ ของบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างพินิศ คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยเพราะทุกส่วนบนใบหน้าบุตรสาวเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด แทบไม่มีส่วนไหนที่ได้เขามาเลยมันน่าน้อยใจชะมัด"นับคุณดูสิลูกลำเอียงชะมัดเลย คิ้วก็เอาของแม่มา ตาก็เอาของแม่มา จมูกก็เอาของแม่มา ปากก็เอาของแม่มาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผมเลย อุตส่าห์ทำแทบตาย" เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับเมียสาวทีเล่นทีจริงทำเอาทุกคนอดยิ้มตามไม่ได้"แสดงว่าลูกรักแม่มากกว่าพ่อไงคะ" นับดาวตอบกลับยิ้ม ๆ อีกคนหาได้ยอมน้อยหน้าไม่เอ่ยประกาศเสียงกร้าว เชิดหน้าขึ้นอย่างมาดหมาย "แบบนี้ยอมไม่ได้นะ ลูกคนต่อไปต้องเหมือนผมแล้วแหละ"คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกระลอกหนึ่ง คงจะมีแต่แบงค์ที่ต้องกลำกลืนฝืนทนมองภาพทั้งสองหยอกล้อกันทั้งที่ในใจมันชอกช้ำอย่างหนัก ส้มซึ่งรู้ดีทำได
แสงแดดสีทองยามสี่โมงเย็นตกกระทบผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกตทอประกายระยิบระยับ สายลมเอื่อย ๆ พัดโชยพากลิ่นอายทะเลลอยตลบอบอวลทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย"อากาศดีจังเลยค่ะ นานแล้วสิที่ไม่ได้พักผ่อนแบบนี้" นับดาวหันบอกกล่าวกับร่างสูงที่เดินเคียงข้าง จับมือพากันเดินเลียบไปตามแนวชายหาดด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเล และดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ต้องขอบคุณผู้ชายข้าง ๆ ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนสิ้นเชิงทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเลเธอจะมาเพราะต้องการแก้เบื่อแก้เซ็ง มาด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้"ใช่ครับ" ติณณภัทรระบายยิ้มตอบเขาเองก็ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้กับคนที่รักจึงมีความสุขไม่น้อย "ได้มาพักผ่อนกับคนที่รักมันดีกว่าคนเดียวเป็นไหน ๆ เลยว่าไหม""ใช่ค่ะ นับไม่เคยรู้เลยว่าการมีความรัก มีครอบครัวมันดีขนาดนี้ต้องขอบคุณคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตของนับ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมาจากก้นบึ้งของหัวใจ"ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันที่เข้ามา
วันต่อมาหลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปวันนี้ติณณภัทรจึงตั้งใจพานับดาวไปทำบุญ และไหว้แม่ของเธอ"จะไปไหนกันฮึสองคนนี้" อรอินเอ่ยทักบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนจะออกไปไหนกัน"ผมกับนับจะไปทำบุญกันครับ" ติณณภัทรตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมองหน้าเมียสาวพร้อมยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวไว้หลวม ๆ นับดาวส่งยิ้มหวานให้คนเป็นสามีบาง ๆ "ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เป็นมงคลให้กับชีวิต แม่ขอให้ชีวิตคู่หลังจากนี้ของลูกทั้งสองพบแต่ความสุขนะ" อรอินเห็นดีเห็นงามด้วย และก็อวยพรให้เด็กทั้งสองพบเจอแต่ความสุขในชีวิตคู่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย"พ่อก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมาก ๆ นะ จะเป็นพ่อแม่คนแล้วทำอะไรก็นึกถึงจิตใจกันและกันให้มาก ๆ อย่าเอาอารมณ์เข้าว่า อย่าละเลยความรู้สึกกัน รักและดูแลกันให้เหมือนวันแรกที่รักกัน ความสม่ำเสมอและเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคู่มาก พ่อหวังว่าลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขไปจนแก่จนเฒ่า" พิภพอวยพรเด็กทั้งสองต่อหลังจากภรรยาเอ่ยจบ และไม่ลืมจะให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่กับทั้งสองด้วย"ขอบคุณคุ
นับดาวกำแหวนในมือแน่น แล้วเดินกลับไปยังห้องชายหนุ่มอีกครั้ง คาดว่าตอนนี้เขาคงขึ้นมาจากชั้นล่างแล้ว ยืนรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องนานนับนาที ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูทำให้ติณณภัทรที่ทำท่าจะตามหาหญิงสาวหลังจากเข้ามาในห้องแล้วไม่พบเธอรีบหันไปมอง ครั้นเห็นคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปถามไถ่ "ไปไหนมาฮึ""ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณค่ะ" นับดาวไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วจัดการเอาแหวนที่กำไว้บรรจงสวมบนนิ้วนางของเขา "คุณมอบแหวนแต่งงานให้ฉันแล้ว ถึงคราวฉันมอบแหวนแต่งงานให้คุณบ้างแล้ว แหวนวงนี้แทนความรักจากฉันนะคะ""นะ..นี่มันอะไรกัน เธอความทรงจำกับมาแล้วเหรอ" ติณณภัทรถึงกับประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในตอนนี้คือทั้งดีใจ สับสนงุนงง และไม่เข้าใจ ดวงตาคมกริบปริ่มไปด้วยน้ำสีใสจ้องมองใบหน้าสวยเชิงตั้งคำถาม "ฉันรักคุณนะคะ" นับดาวตอบคำถามของเขาแทนด้วยการบอกความรู้สึกออกไปพร้อมกับก้มจูบหลังมือของเขา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปคล้องลำคอแกร่งเอาไว้หลวม ๆ แล้วเขย่งเท้าขึ้นประทับริมฝีปากจูบริมฝีปากหนาติณณภัทรไม่ได้ปฏิเสธถึงแม้ตอนนี้จะยั
หลังจากนับดาวฟื้นขึ้นมาหมอก็ให้นอนดูอาการอีกสองวันจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะร่างกาย และผลการสแกนสมองปกติดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เธอจำอะไรไม่ได้หมอประเมินว่าอาจเป็นอาการความทรงจำหายไปชั่วคราว อีกไม่นานความทรงจำน่าจะกลับมาเหมือนหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา"บ้านของเราจำได้ไหม" ติณณภัทรเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อรถจอดลงหน้าบ้านอัครกุลสิ้นเสียงทุ้มนับดาวก็ทอดสายตามองเข้าบ้านหลังใหญ่โตตรงหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมคล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย"ฉันจำไม่ได้เลย" เปล่งเสียงตอบด้วยใบหน้าเศร้า แววตาหม่นหมองจนติณณภัทรต้องรีบรั้งเธอมากอดใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม "จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็จำได้เองไม่ต้องรีบร้อน""ค่ะ""เข้าบ้านกันดีกว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงรออยู่ ท่านดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" "ค่ะ" คนที่อิงแอบหน้ากับไหล่กว้างพยักรับ แล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวโต ซึ่งติณณภัทรก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมาเปิดประตูให้เธอ"เชิญครับ" บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยื่นมือไปให้เธอจับ อีกคนยื่นมือไปวางบนมือหนาแล้วพาตัวลุกจากรถโดยไม่ลืมจะเอ่ยขอบคุณคนตัวโต "ขอบคุณนะคะ
วันต่อมาวันนี้ติณณภัทรตั้งใจว่าจะสวมแหวนแต่งงานให้นับดาวถึงแม้เธอจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม เขาโทรไปยังร้านดอกไม้สั่งให้ทางร้านจัดช่อดอกกุหลาบสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบจำนวนหนึ่งร้อยดอก แล้วให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับช่อดอกไม้เขาก็นำมันไปวางข้างเตียงหญิงสาว เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองใบหน้าสวยอย่างสื่อความหมาย "ฉันเอาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ตื่นมาดูสิสวยมากเลยนะ และวันนี้ฉันก็มีบางอย่างจะให้เธอด้วยนะ"เขาว่าแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออกแล้วหยิบแหวนมาถือไว้ "แหวนวงนี้เป็นแหวนที่ฉันตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเป็นแหวนแต่งงานสำหรับเธอเลยนะ หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเธอจะชอบมันนะ"ว่าจบก็จับมือด้านซ้ายของเธอมาบรรจงสวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนาง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนหลังมือนิ่มแช่ค้างไว้แบบนั้นและในจังหวะนั้นเองนิ้วเรียวทั้งห้าก็ขยับขึ้นเบา ๆ ทำให้ติณณภัทรต้องรีบผละดูให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง และใช่นิ้วของเธอขยับจริง ๆ เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลุ้น และตื่นเต้นกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลย"