"โอ้ย! คุณทำบ้าอะไรเนี่ยติณณภัทร" นับดาวร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นเมื่ออีกคนเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่เธอนั่งอยู่ แล้วจับแขนดึงให้เธอลงจากรถ เธอพยายามขืนตัวใช้อีกมือเหนี่ยวรั้งเบาะสุดแรงไม่ให้ตัวลอยไปตามแรงดึง แต่ก็ไม่อาจต้านกำลังคนตัวโตกว่าได้ สุดท้ายก็ถูกเขาดึงออกจากรถได้สำเร็จ
ทันทีที่ดึงหญิงสาวออกจากรถได้สำเร็จติณณภัทรก็รีบเดินกลับไปขึ้นรถฝั่งคนขับจัดการล็อกประตูรถด้วยความเร็วไม่ต้องการให้อีกคนขึ้นรถได้ จากนั้นก็ขับออกไปโดยไม่สนใจสักนิดว่าเธอจะกลับยังไง "อ๊าย! ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย" นับดาวส่งเสียงกรีดในลำคอกระโดดเต้นเร่า ๆ ด้วยความโมโห สายตามองตามรถคันหรูที่เคลื่อนจากไปอย่างคับแค้นใจ ก่อนจะกลับมาสนใจสภาพตัวเองต่อว่าจะกลับไปที่บ้านชายหนุ่มยังไงตอนนี้เธอไม่มีทั้งกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์ติดตัวเลยเพราะอยู่ในรถ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความแค้นนี้เธอจะต้องได้ชำระคิดว่าทำแบบนี้จะล้มเลิกความตั้งใจเธอได้เหรอบอกเลยว่าไม่ ยิ่งเขาทำแบบนี้ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากเอาชนะ เธอพยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนหันซ้ายแลขวามองหารถแท็กซี่เผื่อว่าจะขับผ่านมาบ้างเธอจะได้กลับที่บ้านชายหนุ่มอีกครั้ง ทว่ายืนรอจนตัวจะไหม้เกียมเพราะแดดประเทศไทยอันร้อนแรง ร่างกายเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อจนถึงห่ามขาก็ไม่มีทีท่าว่ารถแท็กซี่จะวิ่งผ่านพานทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง "แม่งเอ้ย!" เสียงห้วนสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนเธอจะตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ ดีกว่ายืนรอโดยไม่มีจุดหมายแบบนี้ ขณะที่สายตาก็หันมองถนนเป็นระยะ ๆ เหมือนสวรรค์ยังเมตตาเธออยู่ส่งรถแท็กซี่มาให้ก่อนที่เธอจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน รีบโบกมือเรียกรถแท็กซี่ที่กำลังแล่นผ่านมือเป็นระวิง "อ่า..ค่อยยังชั่วหน่อย" เธอครางออกมาเสียงแผ่วหลังจากขึ้นมานั่งบนรถแท็กซี่แล้ว แอร์เย็นฉ่ำภายในรถพอปลอบประโลมร่างกาย และอารมณ์อันร้อนฉ่าของเธอให้เย็นลงบ้าง "จะไปไหนครับ" เสียงของคนขับรถแท็กซี่วัยห้าสิบต้น ๆ ดังขึ้น "บ้านอัครกุลค่ะ" นับดาวตอบไปแค่นั้น แล้วเอนกายพิงเบาะพร้อมหลับตาลงดื่มด่ำกับแอร์เย็นฉ่ำ ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเห็นทีตอนนี้เธอคงไปพบพ่อแม่ของชายหนุ่มไม่ได้แล้วเพราะรู้สึกเหนี่ยวตัวเป็นบ้า คงต้องกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ทว่าพอคิดอีกทีจะกลับไปให้เสียเวลาทำไมในเมื่อเธอก็เตรียมเสื้อมาพร้อมสำหรับอยู่บ้านเขาแล้ว สู้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้านเขาเลยดีกว่าให้มันรู้เสียบ้างว่าใครแน่กว่ากัน "ถึงแล้วครับ" เสียงของคนขับแท็กซี่ดังขึ้นทำให้เธอหลุดจากห้วงความคิด ก่อนปรือตาขึ้นตอบ "ค่ะ ลุงรอแป๊บนะคะหนูเข้าไปเอาเงินให้" ว่าจบก็เปิดประตูลงจากรถเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านอัครกุล รอไม่ถึงนาทีแม่บ้านก็วิ่งมาเปิดประตู ก่อนจะถามไถ่เธอด้วยความสงสัย "มาพบใครคะ" "ฉันเป็นภรรยาติณณภัทรค่ะ" นับดาวตอบอย่างสุภาพ ซึ่งแม่บ้านพอรู้ก็ผายมือเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปข้างใน เธอจึงเดินเข้าไปหยิบเงินในรถออกมาให้แท็กซี่ จากนั้นก็เดินตามแม่บ้านเข้าไปในบ้าน เมื่อเดินมาถึงห้องโถงก็เห็นติณณภัทรกับพ่อแม่นั่งอยู่ทำให้อารมณ์ของเธอพุ่งปรี๊ดอีกครั้งเพียงเห็นหน้าของคนที่ทิ้งเธอไว้ข้างทาง ส่วนเขากลับนั่งตากแอร์อย่างสบายใจ อยากจะกระโดดงับหัวเขาสักทีสองทีให้หายแค้นใจ แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ส่วนติณณภัทรพ่อเห็นหน้าหญิงสาวถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่คิดว่าเธอจะกล้าเสนอหน้ามาอีก รีบลุกเดินเข้าไปหา แล้วกดเสียงพูดพอได้ยินสองคน "เธอนี่มันดื้อด้านจริง ๆ กลับไปเดี๋ยวนี้อย่ามารบกวนพ่อแม่ฉัน" นับดาวหาได้แคร์คำพูดชายหนุ่มไม่เบะปากใส่เขา ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองยกมือขึ้นไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม "สวัสดีคะคุณลุง คุณป้า" อรอินไม่คิดจะตอบรับคำทักทายเด็กสาวสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นแสงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ จนคนเป็นสามีต้องออกหน้าแทนเพราะไม่อยากทำลายน้ำใจเด็กสาว "อืม นั่งก่อนสิหนูนับดาว" "ค่ะ" นับดาวยิ้มบาง ๆ พร้อมกับหย่อนก้นนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีติณณภัทรเดินมานั่งลงข้าง ๆ "หนูต้องขอโทษด้วยนะคะเรื่องจดทะเบียนสมรสกับกับพี่ภัทร พอดีมันกะทันหันเลยไม่ได้มาบอกคุณลุงคุณป้า" เธอเริ่มเปิดประเด็นคุยทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสรรพนามที่ใช้เรียกชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป ถึงเธอจะมีนิสัยแรง ๆ แต่ก็ใช้กับคนที่สมควรแรงด้วยเท่านั้น เธอแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควร หรือใครควรเคารพไม่ควรเคารพ ท่าทางที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนของนับดาวทำเอาติณณภัทรฉงนไม่น้อย ไม่คิดว่าเธอจะมีมารยาทกับชาวบ้านเขาด้วย แต่คงต้องรอดูต่อไปเพราะตอนนี้เธอยังไม่เจอฤทธิ์ของแม่เขา หากเจออาจจะเผยธาตุแท้ออกมาก็ได้ เขาเชื่อว่าคนอย่างเธอแสแสร้งได้ไม่นานหรอก "สมใจเธอแล้วไม่ใช่เหรอที่จับลูกชายฉันได้สำเร็จ" ว่าไม่ทันขาดคำแม่ของเขาก็เริ่มแปลงอิทธิฤทธิ์แล้ว ทีนี่ก็ต้องรอดูอีกคนแล้วล่ะว่าจะตอบโต้ยังไง "..." ทว่าเขากลับคิดผิดหญิงสาวยังคงนั่งนิ่งไม่ปริปากตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น "เบา ๆ หน่อยคุณหญิง" ประมุขของบ้านรีบห้ามปรามผู้เป็นภรรยา ก่อนเธอจะเอ่ยอะไรออกมาทำร้ายจิตใจเด็กสาวอีก "เอ๊ะ! คุณนี่ยังไง" สร้างความไม่พอใจอรอินไม่น้อย เธอมองค้อนสามีอย่างไม่พอใจ ก่อนเอ่ยกระแทกแดกดันเด็กสาวต่อ "ฉันขึ้นห้องนอนดีกว่า แถวนี้บรรยากาศเหม็นเน่ามาก" ว่าจบก็ลุกเดินสะบัดตูดออกไป นับดาวได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้เพราะเห็นว่าอรอินเป็นผู้ใหญ่ และเธออาจจะต้องอยู่ร่วมบ้านกันสักระยะจึงเลือกจะสงบปากสงบคำดีกว่า ท่าทางสงบเสงี่ยมของหญิงสาวสร้างความแปลกใจให้ติณณภัทรเป็นอย่างมากไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ "ในเมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หนูนับก็ย้ายมาอยู่กับตาภัทรที่นี่เลยสิ" ประมุขของบ้านเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับทำให้คนเป็นลูกอย่างติณณภัทรตาโต มองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าเขากับหญิงสาวแต่งงานกันเพราะความผิดพลาดไม่ได้รักกัน หนำซ้ำผู้เป็นแม่ก็ไม่ชอบเธอท่านจะชวนมาอยู่ด้วยกันทำไม "ค่ะคุณลุง" นับดาวน้อมรับด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ขณะที่ในใจกำลังหัวเราะเยาะคนข้าง ๆ ที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ พ่อของเขาชวนมาอยู่แบบนี้ก็เข้าทางเธอน่ะสิ "พาน้องเขาขึ้นไปดูห้องสิตาภัทร" ประมุขของบ้านเร่งเร้าบุตรชายที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เขารู้ว่าบุตรชายไม่พอใจ แต่เพราะทนงศักดิ์โทรมาขอไว้เขาจึงขัดไม่ได้ "ครับ" ติณณภัทรรับคำผู่เป็นพ่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะลุกเดินนำหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน "อยู่ในบ้านหลังนี้กรุณาอย่านำนิสัยกร้าวร้าวมาใช้" เขาหันไปเอ่ยกับร่างบางที่เดินตามหลังมาด้วยน้ำเสียงดุดัน เมื่อเดินมาถึงห้องนอนซึ่งอยู่ติดกับห้องของเขาแล้ว นับดาวไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับแทรกตัวเข้าไปดูภายในห้อง คิ้วสวยพลันขมวดเป็นปมเมื่อไม่เห็นว่าภายในห้องมีของเครื่องใช้ชายหนุ่มวางอยู่ แสดงว่าไม่ใช่ห้องนอนของเขา ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยหันกลับเอ่ยกับคนที่อยู่หน้าห้องด้วยท่าทางกรุ่มกริ่ม "นี่ไม่ใช่ห้องนอนคุณสามีนิคะ เราเป็นผัวเมียกันก็ต้องอยู่ห้องเดียวกันสิคะสามีข๋า" "ฝันไปเถอะนับดาว เธอได้เป็นเมียแค่ในใบทะเบียนสมรสเท่านั้นแหละ นี่ก็ถือว่าบุณแค่ไหนแล้วที่ฉันให้เธอเสนอหน้าอยู่ในบ้านหลังนี้" ติณณตอบกลับอย่างเจ็บแสบ ว่าจบก็เดินจากไปทิ้งให้อีกคนยืนเบะปากก่นด่าในใจด้วยความไม่พอใจนับดาวให้กำเนิดบุตรสาวในวันเกิดของตัวเองพอดิบพอดีเพียงแต่คนละเวลากันเท่านั้น วันเกิดเธอปีนี้จึงกลายเป็นสุขสันต์วันคลอดแทนทุกคนต่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะติณณภัทรวินาทีที่ได้เห็นหน้าบุตรสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่"ได้เจอกันสักทีนะลูกสาวพ่อ" ก้มจูบบนฝ่าเท้าน้อย ๆ ของบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างพินิศ คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยเพราะทุกส่วนบนใบหน้าบุตรสาวเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด แทบไม่มีส่วนไหนที่ได้เขามาเลยมันน่าน้อยใจชะมัด"นับคุณดูสิลูกลำเอียงชะมัดเลย คิ้วก็เอาของแม่มา ตาก็เอาของแม่มา จมูกก็เอาของแม่มา ปากก็เอาของแม่มาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผมเลย อุตส่าห์ทำแทบตาย" เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับเมียสาวทีเล่นทีจริงทำเอาทุกคนอดยิ้มตามไม่ได้"แสดงว่าลูกรักแม่มากกว่าพ่อไงคะ" นับดาวตอบกลับยิ้ม ๆ อีกคนหาได้ยอมน้อยหน้าไม่เอ่ยประกาศเสียงกร้าว เชิดหน้าขึ้นอย่างมาดหมาย "แบบนี้ยอมไม่ได้นะ ลูกคนต่อไปต้องเหมือนผมแล้วแหละ"คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกระลอกหนึ่ง คงจะมีแต่แบงค์ที่ต้องกลำกลืนฝืนทนมองภาพทั้งสองหยอกล้อกันทั้งที่ในใจมันชอกช้ำอย่างหนัก ส้มซึ่งรู้ดีทำได
แสงแดดสีทองยามสี่โมงเย็นตกกระทบผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกตทอประกายระยิบระยับ สายลมเอื่อย ๆ พัดโชยพากลิ่นอายทะเลลอยตลบอบอวลทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย"อากาศดีจังเลยค่ะ นานแล้วสิที่ไม่ได้พักผ่อนแบบนี้" นับดาวหันบอกกล่าวกับร่างสูงที่เดินเคียงข้าง จับมือพากันเดินเลียบไปตามแนวชายหาดด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเล และดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ต้องขอบคุณผู้ชายข้าง ๆ ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนสิ้นเชิงทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเลเธอจะมาเพราะต้องการแก้เบื่อแก้เซ็ง มาด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้"ใช่ครับ" ติณณภัทรระบายยิ้มตอบเขาเองก็ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้กับคนที่รักจึงมีความสุขไม่น้อย "ได้มาพักผ่อนกับคนที่รักมันดีกว่าคนเดียวเป็นไหน ๆ เลยว่าไหม""ใช่ค่ะ นับไม่เคยรู้เลยว่าการมีความรัก มีครอบครัวมันดีขนาดนี้ต้องขอบคุณคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตของนับ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมาจากก้นบึ้งของหัวใจ"ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันที่เข้ามา
วันต่อมาหลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปวันนี้ติณณภัทรจึงตั้งใจพานับดาวไปทำบุญ และไหว้แม่ของเธอ"จะไปไหนกันฮึสองคนนี้" อรอินเอ่ยทักบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนจะออกไปไหนกัน"ผมกับนับจะไปทำบุญกันครับ" ติณณภัทรตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมองหน้าเมียสาวพร้อมยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวไว้หลวม ๆ นับดาวส่งยิ้มหวานให้คนเป็นสามีบาง ๆ "ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เป็นมงคลให้กับชีวิต แม่ขอให้ชีวิตคู่หลังจากนี้ของลูกทั้งสองพบแต่ความสุขนะ" อรอินเห็นดีเห็นงามด้วย และก็อวยพรให้เด็กทั้งสองพบเจอแต่ความสุขในชีวิตคู่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย"พ่อก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมาก ๆ นะ จะเป็นพ่อแม่คนแล้วทำอะไรก็นึกถึงจิตใจกันและกันให้มาก ๆ อย่าเอาอารมณ์เข้าว่า อย่าละเลยความรู้สึกกัน รักและดูแลกันให้เหมือนวันแรกที่รักกัน ความสม่ำเสมอและเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคู่มาก พ่อหวังว่าลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขไปจนแก่จนเฒ่า" พิภพอวยพรเด็กทั้งสองต่อหลังจากภรรยาเอ่ยจบ และไม่ลืมจะให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่กับทั้งสองด้วย"ขอบคุณคุ
นับดาวกำแหวนในมือแน่น แล้วเดินกลับไปยังห้องชายหนุ่มอีกครั้ง คาดว่าตอนนี้เขาคงขึ้นมาจากชั้นล่างแล้ว ยืนรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องนานนับนาที ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูทำให้ติณณภัทรที่ทำท่าจะตามหาหญิงสาวหลังจากเข้ามาในห้องแล้วไม่พบเธอรีบหันไปมอง ครั้นเห็นคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปถามไถ่ "ไปไหนมาฮึ""ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณค่ะ" นับดาวไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วจัดการเอาแหวนที่กำไว้บรรจงสวมบนนิ้วนางของเขา "คุณมอบแหวนแต่งงานให้ฉันแล้ว ถึงคราวฉันมอบแหวนแต่งงานให้คุณบ้างแล้ว แหวนวงนี้แทนความรักจากฉันนะคะ""นะ..นี่มันอะไรกัน เธอความทรงจำกับมาแล้วเหรอ" ติณณภัทรถึงกับประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในตอนนี้คือทั้งดีใจ สับสนงุนงง และไม่เข้าใจ ดวงตาคมกริบปริ่มไปด้วยน้ำสีใสจ้องมองใบหน้าสวยเชิงตั้งคำถาม "ฉันรักคุณนะคะ" นับดาวตอบคำถามของเขาแทนด้วยการบอกความรู้สึกออกไปพร้อมกับก้มจูบหลังมือของเขา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปคล้องลำคอแกร่งเอาไว้หลวม ๆ แล้วเขย่งเท้าขึ้นประทับริมฝีปากจูบริมฝีปากหนาติณณภัทรไม่ได้ปฏิเสธถึงแม้ตอนนี้จะยั
หลังจากนับดาวฟื้นขึ้นมาหมอก็ให้นอนดูอาการอีกสองวันจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะร่างกาย และผลการสแกนสมองปกติดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เธอจำอะไรไม่ได้หมอประเมินว่าอาจเป็นอาการความทรงจำหายไปชั่วคราว อีกไม่นานความทรงจำน่าจะกลับมาเหมือนหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา"บ้านของเราจำได้ไหม" ติณณภัทรเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อรถจอดลงหน้าบ้านอัครกุลสิ้นเสียงทุ้มนับดาวก็ทอดสายตามองเข้าบ้านหลังใหญ่โตตรงหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมคล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย"ฉันจำไม่ได้เลย" เปล่งเสียงตอบด้วยใบหน้าเศร้า แววตาหม่นหมองจนติณณภัทรต้องรีบรั้งเธอมากอดใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม "จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็จำได้เองไม่ต้องรีบร้อน""ค่ะ""เข้าบ้านกันดีกว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงรออยู่ ท่านดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" "ค่ะ" คนที่อิงแอบหน้ากับไหล่กว้างพยักรับ แล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวโต ซึ่งติณณภัทรก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมาเปิดประตูให้เธอ"เชิญครับ" บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยื่นมือไปให้เธอจับ อีกคนยื่นมือไปวางบนมือหนาแล้วพาตัวลุกจากรถโดยไม่ลืมจะเอ่ยขอบคุณคนตัวโต "ขอบคุณนะคะ
วันต่อมาวันนี้ติณณภัทรตั้งใจว่าจะสวมแหวนแต่งงานให้นับดาวถึงแม้เธอจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม เขาโทรไปยังร้านดอกไม้สั่งให้ทางร้านจัดช่อดอกกุหลาบสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบจำนวนหนึ่งร้อยดอก แล้วให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับช่อดอกไม้เขาก็นำมันไปวางข้างเตียงหญิงสาว เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองใบหน้าสวยอย่างสื่อความหมาย "ฉันเอาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ตื่นมาดูสิสวยมากเลยนะ และวันนี้ฉันก็มีบางอย่างจะให้เธอด้วยนะ"เขาว่าแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออกแล้วหยิบแหวนมาถือไว้ "แหวนวงนี้เป็นแหวนที่ฉันตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเป็นแหวนแต่งงานสำหรับเธอเลยนะ หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเธอจะชอบมันนะ"ว่าจบก็จับมือด้านซ้ายของเธอมาบรรจงสวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนาง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนหลังมือนิ่มแช่ค้างไว้แบบนั้นและในจังหวะนั้นเองนิ้วเรียวทั้งห้าก็ขยับขึ้นเบา ๆ ทำให้ติณณภัทรต้องรีบผละดูให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง และใช่นิ้วของเธอขยับจริง ๆ เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลุ้น และตื่นเต้นกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลย"