การต่อสู้ทางด้านรถม้า
เวลานี้ ต้วนลี่กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ดวงตาฉายแววคับแค้นจดจ้องผู้ประมือไม่วาง
‘เจ้านั่นอาศัยอายุยังน้อยฉวยโอกาสกับข้าสินะ’
เรียกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้านเกินไปแล้ว มิว่าจะอายุหรือแม้แต่พื้นที่ในการรับมือ เขาไม่อาจปล่อยให้เจี่ยเต๋า เข้าใกล้รถม้าได้เป็นอันขาด จึงทำให้รับมือได้อย่างไม่เต็มที่มากนัก
หากคืนนี้กำจัดชายหนุ่มไม่ได้ ทั้งยังมีใครในคณะรอดไปได้ ตัวเขาและนายหญิงจะต้องมิปลอดภัยเป็นแน่ เขาจำต้องขัดคำสั่งของผู้เป็นนายเรื่องของเยว่คัง ต้องให้ชายผู้นั้นตายเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะเรียกว่าปลอดภัย
ลมที่พัดสายฝนโหมกระกระหน่ำจนรถม้าโยกสั่นไหว ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเคลิ้มหลับไปเพียงเล็กน้อยถึงกับสะดุ้งตื่น เปลือกตาค่อย ๆ ขยับเปิดขึ้นทีละน้อย ก่อนที่ร่างงามจะลุกขึ้นนั่ง ทั้งยังขยับชิดขอบหน้าต่าง มือบางแง้มม่านที่ถูกตึงเอาไว้อย่างดีออกเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์ทางด้านนอก
“อ๊ะ! นี่มันอะไรกัน ยังไม่จบอีกรึ อ่อนหัดเสียจริง”
เงาเลือนรางด้านนอกทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก ที่คนของนางยังไม่อาจล้มศัตรูลงได้อย่างที่ต้องการ หลังจากกำจัดทุกคนหมดแล้ว จะมีเหลือเพียงเยว่คังที่นางสั่งให้เขารอดชีวิตเพียงหนึ่ง แผนการเป็นสตรีผู้เคียงข้างของนางจะเป็นอย่างสวยงาม
บุรุษจิตใจดีเช่นเยว่คัง เขาจะไม่มีทางทนเห็นนางถูกคนร้ายรังแกได้เป็นแน่ การช่วยเหลือเยี่ยงวีรบุรุษของเขาจะเข้าสู่แผนการของนางโดยมิต้องออกแรงบังคับ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความสุขล้นในหัวใจของหญิงสาวก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
อี้เหมยกกระชับเสื้อคลุมตัวยาวให้แน่นขึ้น ก่อนจะซัดฝ่ามือไปยังอีกฝั่งของรถม้าด้วยพลังวัตรเพียงสองส่วน ผนังรถม้าก็หลุดเป็นช่องให้นางออกไปได้
‘ข้าจะทำให้ท่านสยบแก่ข้า เยว่คัง’
หญิงสาวก้าวลงจากรถม้ายังฝั่งที่ไม่มีการต่อสู้ แม้ร่างกายเริ่มเปียกโซกไปทั่ว ทว่า หญิงสาวกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นเลยสักนิด เป้าหมายของนางย่อมสำคัญกว่า
ร่างงามก้าวหายไปท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างมิขาดสาย
ทุ่งหญ้าชายป่า
โม่คังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เสมือนสายฝนและความมืดมิใช่อุปสรรคสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ศัตรูมิได้มีเพียงหนึ่ง ทว่ามีถึงห้าคนที่กำลังพยายามล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง การฝึกหนักนับตั้งแต่รอดตายเมื่อครั้งในวัยเด็ก ทำให้มีหลายอย่างมิต่างจากนักฆ่า หรืออาจมีมากกว่าที่คนเหล่านั้นมีเสียด้วยซ้ำไป
‘คงมิใช่แค่ข้าคนเดียวสินะ ที่พวกมันตั้งใจจะเล่นงาน’
โม่คังเชื่อในฝีมือของผู้ติดตามทั้งหมดว่าจะต้องปกป้องหัวใจของเขา และทุกคนในคณะให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอน คงมีแต่ตัวเขาในตอนนี้ที่ดูเหมือนจะหนักมือมิใช่น้อย
ชายชุดดำทั้งห้าพยายามบีบล้อมเป้าหมายให้อยู่ตรงกลาง คำสั่งของนายหญิงคือห้ามให้เยว่คังผู้นี้ถึงตาย ทว่า อีกคำสั่งจากท่านต้วนลี่คือห้ามให้ชายหนุ่มรอด แต่มันมิง่ายอย่างที่คิดในคราแรก เมื่อฝีมือของชายหนุ่มมิธรรมดา พวกเขาก็ขอเลือกคำสั่งสุดท้ายคือ กำจัดซะ
‘อึก! แย่แล้ว จะมากำเริบอะไรกันตอนนี้’
โม่คังถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติกับร่างกายอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างทำให้โม่คังสั่นสะท้านไปทั้งกาย มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ และมันกำลังทำให้เขาพบจุดจบของชีวิตเลยก็เป็นได้
‘หึ ๆ ข้ายังมิทันได้ทวงสัญญาจากเจ้าเลย หรู่อี้ ข้าอาจต้องจากเจ้าไปอีกครั้งและตลอดกาลก็เป็นได้’
โม่คังรู้ตัวดีว่าเขายากที่จะเอาชนะคนทั้งห้าได้ในสภาพเช่นนี้ แม้แต่จะหนีก็ยากที่จะทำได้
เคล้ง! ขวับ!
โม่คังหันไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มความเจ็บร้าวให้แก่ร่างกายของเขาเป็นเท่าทวีคูณ
หมับ!
โม่คังรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
“ข้าเอง”
เสียงอันคุ้นเคยทำให้ใจของโม่คังอุ่นวาบขึ้นมาในฉับพลัน ชายผู้ที่เขามิคาดฝันว่าจะติดตามมา ที่สำคัญ ไยเขาถึงไม่รับรู้ถึงการติดตามมาของอีกฝ่ายกันเล่า
“เจ้าตามข้ามาตลอดเลยรึ ไยมิอยู่กับอี้เอ๋อร์”
“ยังจะห่วงคนอื่นอีก อี้เอ๋อร์ นางมิได้เป็นแบบท่านนี่ นางปลอดภัยแน่นอน แต่หากท่านกล้าที่จะตาย แล้วปล่อยนางเป็นหม้ายขันหมากอีกครั้ง ข้าจะตามไปสังหารท่านถึงยมโลกเลยคอยดู”
“ไม่มีวันนั้นหรอก เพราะนางเป็นฮูหยินของข้าคนเดียว หึๆ”
“ฮึ! จะตายแล้วยังมาพูดดีอีก เอ้า! รีบกินยาซะ! เร่งปรับลมปราณ ส่วนที่เหลือ ข้าจัดการเอง”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่กดร่างของโม่คังให้นั่งลงกับพื้นหญ้าที่เปียกชื้น เขาไม่อาจพาผู้เป็นนายฝ่าวงล้อมออกไปได้ในตอนนี้ พวกเขามีจำนวนคนที่น้อยกว่า อุปสรรคใหญ่หลวงคือสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาจนมิอาจมองฝ่าไปได้เลยแม้แต่น้อย
เสียงกระพรวนดังเป็นระยะให้รู้ว่าคนของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เพื่อคอยป้องกันศัตรูให้แก่เขาและผู้เป็นนายอีกชั้น นับว่าคาดการณ์ทุกอย่างได้แม่นยำทีเดียว เรื่องอาการของผู้เป็นนายที่อาจกำเริบขึ้นได้ ซึ่งมักจะกำเริบในทุกช่วงเวลานี้ของทุกสองสามปี เขาจึงเลือกที่จะให้น้องชายปกป้องชายแดนแทนตนเอง เพื่อมุ่งติดตามผู้เป็นนายมาได้ทันการณ์
เคล้ง!
“ข้ายังอยู่ อย่าแม้แต่จะคิด”
ชายหนุ่มคำรามก้องด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งยังแผ่รังสีแห่งการฆ่าออกมาจนคนรอบกายรู้สึกได้ เขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ได้อีก เหตุการณ์ในอดีตทำให้บรรดาเงาถูกมองว่าไร้ค่า
‘ในอดีตเจ้าป้ายความผิดให้เหล่าองครักษ์เงา ครั้งนี้เป็นทีของข้าที่จะประกาศให้ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ถึงความชั่วช้าของพวกเจ้าเช่นกัน’
แม้จะถูกโจมตีอย่างหนัก ชายหนุ่มก็มิคิดที่จะห่างกายผู้เป็นนายเกินสองก้าว
ช่วงเวลาในการเดินลมปราณนั้นสำคัญยิ่งนัก หากพลาดแม้เพียงเสี้ยวนาที ความตายย่อมต้องมาเยือนผู้เป็นนายอย่างแน่นอน
“ฝีมือไม่เบา แต่พวกเจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้สกุลโม่เท่านั้น”
“หึ ๆ สุนัขที่มิคิดแว้งกัดนายตัวเอง ย่อมมีเกียรติกว่าสุนัขบางตัวก็แล้วกัน”
ทั้งสองฝ่ายตะโกนโต้ตอบกันพร้อมการปะทะอันดุเดือด ฝ่ายตั้งรับก็แกร่งจนทำให้คนที่หมายเอาชีวิตหวาดหวั่นอยู่ในใจ
โม่คังรวบรวมสมาธิ เพื่อให้พลังวัตรเร่งนำพายาที่เขากินเข้าไปให้ไหลเวียนตามเส้นเลือด สิ่งที่เขาทำอยู่นับว่าอันตรายมากทีเดียว ทว่าก็มิอาจช้าได้ คนร้ายที่ไม่อาจคาดเดาพลังหรือจำนวนได้นั้น ทำให้พวกเขาตกเป็นรองอยู่มิน้อย ตอนนี้ที่ล้อมรอบเข้ามีห้าคนและทางด้านที่พักเล่า จะมีอีกมากเท่าไหร่กัน
การต่อสู้ดำเนินไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วนั้น โม่คังมิอาจรู้ได้ แต่บัดนี้ อาการเจ็บปวดของเขาได้บรรเทาลงมากแล้ว ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป
หรู่จงรับรู้ถึงพลังของคนที่เขาปกป้องอยู่ ทำให้ชายหนุ่มแทบอยากกระโดดเข้า…ให้ล้มคว่ำลงเสียในตอนนี้ เพราะเขาเป็นทั้งสหายและองครักษ์ มีหรือจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังจะทำสิ่งใด
“อยากตายนักรึไงกัน”
“หลบไปซะ!”
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ