โม่คังเอ่ยเสียงลอดไรฟัน เขามีเวลาที่จำกัดเหลือเกินกับการใช้พลังนี้ ทว่าหากเขาปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ไม่มีใครจะบอกได้ว่าจะเกิดการสูญเสียอีกมากแค่ไหนหากยังลังเลอยู่
หรู่จงส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามคนอื่นถอยออกไป รวมทั้งเขาที่กันคู่ต่อสู้ให้ออกห่างจากผู้เป็นนายให้ได้มากที่สุด
คนร้ายทั้งห้าคนต่างพากันย่ามใจ เมื่ออยู่ ๆ คนที่มาขัดขวางต่างพากันถอยร่น ซ้ำยังทิ้งเป้าหมายของพวกเขาเอาไว้อย่างน่าสมเพชยิ่งนัก
“ไม่มีคำว่าตายแทนสำหรับใครในยามนี้ ฮา ๆ เป็นผู้ใดก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น เช่นเดียวกับคนที่เจ้าหวังพึ่งพา คุณชายเยว่”
“ไม่ผิด…และพวกเจ้าเองก็มิควรประเมินผู้อื่นต่ำจนเกินไปเช่นกัน”
ชายชุดดำทั้งหมดถึงกับผงะเมื่อสิ้นคำพูดของโม่คัง ทว่า มันช้าไปเสียแล้วสำหรับชายชุดดำทั้งห้าที่มิอาจก้าวเท้าถอยหลังได้อย่างต้องการ เมื่อน้ำฝนที่เจิ่งนองอยู่กลับกลายเป็นน้ำแข็ง ตอกตรึงร่างของชายฉกรรจ์ทั้งหมดจนมิอาจขยับเคลื่อนกายได้
“มันคือสิ่งใดกัน”
คำถามที่มิอาจได้รับคำตอบเกิดขึ้นกับคนร้ายทั้งหมดรายรอบกายโม่คัง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเร่งเร้าพลังภายในให้ปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดจำกัดของร่างกาย ทำให้สายฝนที่กระหน่ำลงมาเสมือนสวรรค์ถล่มนั้น กลับกลายเป็นน้ำแข็งกินบริเวณกว้างเลยทีเดียว และผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็คงหนีมิพ้นผู้ที่หวังเอาชีวิตของเขาเอง
หรู่จงได้แต่มองฝ่าสายฝนไปยังกลุ่มน้ำแข็งตรงหน้าด้วยหัวใจอันร้อนรุ่ม แม้ตัวจะยืนห่างออกมาอยู่มาก ทว่า ไอเย็นจากพลังของผู้เป็นนายก็แผ่มาถึงตัวเขาอยู่นั่นเอง ผู้ติดตามทั้งหมดต่างพากันเงียบเสียง ทุกคนต่างเร่งเร้าพลังเพื่อเพิ่มความร้อนภายในร่างกาย ก่อนที่ความเย็นจะเกาะกุมหัวใจจนถึงตาย
เมื่อหัวหน้าไม่คิดถอยห่างมากกว่านี้ พวกเขาก็ต้องหาทางป้องกันตนเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน แม้จะตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่ทว่า พวกเขาก็มิคิดที่จะเอ่ยถามให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจของผู้เป็นนาย
คนร้ายทั้งหมดไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อบัดนี้ หัวใจของทุกคนกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว
‘เหมันต์พร่างพรายช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว’
สายฝนที่กลายเป็นน้ำแข็งบาดร่างของศัตรูที่ยืนนิ่งมิอาจขยับได้อีก แม้แต่ลมหายใจยังกลายเป็นไอเย็น ความรู้สึกของทุกคนเหมือนกำลังอยู่ในห้วงสุดท้ายที่จะมีโอกาสมองสิ่งตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง
“พวกเจ้ายังมิรู้จักข้าดีพอ บทเรียนในชาตินี้ พวกเจ้าจงจดจำมันไปใช้ในภพหน้า ว่าอย่าเชื่อมั่นในตนเองจนเกินไปนัก”
โม่คังลุกขึ้นแล้วเอ่ยทิ้งท้ายกับคนทั้งหมด ซึ่งเขารู้ดีว่าพวกมันคงได้ยินอยู่บ้าง แม้ว่านับจากนี้จะหมดโอกาสได้รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“อึก!”
โม่คังกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับคนที่คอยท่าอยู่ด้วยความเป็นห่วงพุ่งเข้าหาพร้อมปากที่พร่ำบ่นด้วยความห่วงใยในตัวของเขา
“ไยต้องฝืนตนเองถึงเพียงนี้เล่า”
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าผู้เป็นนายทำไปเพราะสิ่งใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิย้ำเตือนในฐานะสหาย มิใช่นายบ่าว
หรู่จงประคองร่างสูงของโม่คังมิให้ล้มลงยังพื้นดินที่ยังคงมีน้ำแข็งเกาะพราวทั่วบริเวณ
‘ใจของบุรุษผู้นี้นั้นช่างมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งนัก’ นั่นคือความคิดของผู้ติดตามทุกคนในขณะนี้
“หึ ๆ เจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด สหายข้า”
“คิดว่าหากท่านเป็นอันใดไป แล้วนางจะอภัยให้ข้ารึ” หรู่จงทั้งทอดถอนใจ ทั้งใช้น้ำเสียงตำหนิผู้เป็นนาย
“ไปกันเถอะ…”
สิ่งที่ออกจากปากของโม่คังมิใช่คำตอบ ทว่าคือการเลี่ยงที่จะต่อความโดยเอ่ยในสิ่งมิตรงกับใจออกมาแทน เขารู้ตัวดีว่าทำอะไรลงไป รู้ถึงความเสี่ยงมากกว่าผู้ใด หากในจังหวะการปลดปล่อยพลังนั้น ศัตรูลงมือได้ก่อนตัวเขา ความตายย่อมเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
‘ข้าพร้อมเสี่ยงกับความตาย แต่ข้าไม่ยอมเสี่ยงที่จะเสียนางไป’
หรู่จงพยักหน้าให้ผู้ติดตามลงมือจัดการทุกอย่างที่เหลือ เขามิใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือของผู้เป็นนาย แต่ทุกอย่างต้องไม่มีคำว่าผิดพลาดเกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เหล่าผู้ติดตามชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้ง ก่อนวาดไปยังลำคอของชายชุดดำทั้งหมดที่ยืนนิ่งไร้ซึ่งการรับรู้
ทุกเหตุการณ์ตกอยู่ภายใต้ดวงตาคู่งามที่ยืนตะลึงค้างด้วยความหวาดหวั่น ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้านางเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ในคราแรกนั้นจำต้องเปลี่ยนแผนเสียแล้ว
ร่างงามรีบมุ่งกลับไปยังทิศทางเดิมอย่างรวดเร็ว นางต้องไปให้ถึงก่อนกลุ่มของเยว่คัง มิเช่นนั้น ทุกอย่างอาจพังลงก็เป็นได้
ทางด้านที่พักของคณะเดินทาง
ต้วนลี่ถึงกับใบหน้าถอดสี เมื่อคู่ต่อสู้ของเขามิใช่จะล้มได้โดยง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ ร่างกายที่ต้องคอยเดินลมปราณพร้อมทั้งรับมือคู่ต่อสู้ไปด้วยนั้น มันช่างหนักหน่วงและกินกำลังของเขาไปมากทีเดียว หากมิทำเช่นนี้ เขาอาจพ่ายให้แก่คู่ต่อสู้ที่อ่อนวัยกว่าเป็นแน่
สายฝนที่ยังซัดกระหน่ำ มันทำให้ร่างกายของเขาจำต้องปลดปล่อยความร้อนออกมาให้มากกว่าปกติเพื่อต้านทานความหนาวเย็นที่เปรียบ
เสมือนเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงไปทุกอณูของร่างกายก็มิปานเจี่ยเต๋าเองก็รู้สึกนับถือในความแข็งแกร่งของต้วนลี่มิน้อย ด้วยวัยของเขานั้นอ่อนกว่ามาก ทว่ายังไม่อาจล้มคนตรงหน้าได้เลย แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนกำลังต้านทานเอาไว้ แต่หากว่ามองในอีกมุมก็จะเห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองนั้นก็ยังด้อยประสบการณ์อยู่มากทีเดียว
ทั้งคู่ใช้กำลังในการห้ำหั่นกันอย่างสุดกำลัง สายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำประสานเข้ากับเสียงอาวุธที่ปะทะกันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร
ฉึก!
ต้วนลี่ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นจากทางด้านหลัง
“เจ้าสละลมหายใจเพื่อข้าได้รึไม่”
เป็นเสียงหวานของคนที่เขาจำได้ขึ้นใจ นายหญิงผู้ที่เขาปกป้องมาตั้งแต่เยาว์ บัดนี้ นางเอ่ยปากขอลมหายใจของเขา ช่างเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต
“กรี๊ดดด! ขะ…ข้า พี่เจี่ยเต๋า ช่วยอี้เหมยด้วย”
เจี่ยเต๋าเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังคู่ต่อสู้ที่เห็นเป็นเพียงเงาร่างอันเลือนราง ซึ่งบัดนี้ได้ทรุดลงยังพื้นดิน พร้อมเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ควรจะอยู่ภายในรถม้า แต่กลับกลายเป็นว่านางมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
“แม่นางอี้เหมย เกิดสิ่งใดขึ้น ไยจึงลงมาอยู่ตรงนี้ได้เล่า”
“พี่เจี่ยเต๋า ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ต้วนลี่มิใช่ลุงของข้า เขาบังคับให้ข้าบอกทุกคนเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะฆ่าข้าเสีย ข้า…”
คำพูดรัวเร็วของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มไม่คิดเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งยังไม่ได้สนใจหญิงสาวเช่นกัน เจี่ยเต๋าทำเพียงก้าวจากไปยังทิศทางของการต่อสู้อีกด้าน พร้อมเสียงกระพรวนในมือดังขึ้นเป็นจังหวะเพื่อมิให้เกิดการลงมือผิดของฝ่ายตน
อี้เหมยที่ยืนตัวสั่งงันงกในคราแรกเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือบตามองไปยังร่างของต้วนลี่ นางถูกสอนมาให้รู้จักการเอาตัวรอด และหากต้วนลี่ยังอยู่ เท่ากับนางอาจต้องถูกกำจัดไปพร้อม ๆ กัน แล้วไยนางต้องให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นด้วยเล่า
“นับว่าเจ้าโชคดีที่ตายด้วยน้ำมือของข้า มิใช่คนพวกนั้น คนของเจ้าทำงานพลาด ข้าไร้ทางเลือก”
เอ่ยจบ ร่างงามได้หมุนกายจากไป โดยไม่แม้แต่จะใส่ใจมือหนาที่สั่นระริกที่หวังคว้าจับชายกระโปรงของนางเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่แทบไม่มีเหลือแล้ว ซึ่งต้วนลี่ทำได้แค่เพียงยกมือค้างกลางอากาศ ก่อนจะตกลงข้างลำตัวด้วยความสิ้นหวัง เขาภักดีต่อนางแต่ผู้เดียว ทว่า สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับกลายเป็นเช่นนี้หรือ ตายด้วยน้ำมือศัตรูยังจะดีกว่าฝีมือของผู้เป็นนายหลายร้อยเท่านัก
ลมหายใจของต้วนลี่เริ่มติดขัด ความหนาวเหน็บเข้าเกาะกุมไปทั่วร่าง เขากำลังจะตายและเป็นการสิ้นลมที่มิอาจคาดเดาได้ว่า มันมีค่าจริงอย่างที่นายสาวคิดหรือไม่ เขาเกิดและเติบโตมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว ยามจากก็ไร้แม้แต่คนเหลียวมอง...เช่นกัน
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ