“อะไรที่ฟังมาจากฉีอี้ซวนเพื่อมาบอกให้ข้าหยุด แต่ข้าก็ไม่หยุดล่ะ? ทุกคนคิดว่าวันนี้ข้าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าได้อย่างไรกัน? ข้าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเหรอ? ข้าไม่ใช่คนในตระกูลฉีที่ไม่สามารถเฉิดฉายอย่างนางบำเรออะไรนั่น” หลูมู่หยานหัวเราะอย่างแผ่วเบา และถามต่อไปด้วยคำพูดที่เหยียดหยาม นางต้องการพูดคุยเพื่อให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสียที นางไม่ใช่คนเดิมที่จะมาใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาอีกต่อไปแล้ว
“เจ้า” ใบหน้าของกู่ยันรันเปลี่ยนเป็นสีขาว นางเกลียดการนิยามตัวตนในระดับนี้ที่สุด นั่นจึงทำให้นางหวังที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในสถาบันฝึกจักรพรรดิเพื่อกำจัดตัวตนออกไปเสียที
นอกจากนี้ นางต้องการที่จะเป็นภรรยาจริง ๆ ของฉีอี้ซวน ไม่ใช่เพียงแค่นางสนมที่ดื้อรั้น หลูมู่หยานเก่งจริง ๆ เก่งมากที่สามารถกระตุ้นความโกรธของนางได้สำเร็จ
“อะไรของเจ้า? ไม่มีอะไรจะพูด? คิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าไอ้สถาบันนางบำเรออะไรนั่นตั้งขึ้นโดยตระกูลฉีและมันกำลังจะเป็นสถาบันจักรพรรดิ? ตระกูลฉีนี่ดูผ่อนคลายจริง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้กลัวที่จะถูกสวมเขา” หลูมู่หยานแค่ต้องการกวนอารมณ์ของกู่ยันรัน
เมื่อกู่ยันรันได้ยินหลูมู่หยานพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของนางซีดลง นางดึงเสื้อของฉีอี้ซวนและพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “อี้ซวน”
“หลูมู่หยานพอได้หรือยัง? ข้าไม่สนว่านางจะเป็นใคร หรือเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยันรันจะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉีในอนาคต ซึ่งเจ้าไม่ควรมาใส่ร้ายนางตามอำเภอใจแบบนี้” ฉีอี้ซวนเอ่ย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักกู่ยันรันขนาดนั้น แต่เพราะมันเป็นอีกเรื่องที่ทางครอบครัวของเขาได้บอกเอาไว้ การดูถูกนางก็เหมือนกับดูถูกตระกูลฉีด้วย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่าภรรยามีชู้นั่นยิ่งทำให้เขาอยากบีบคอหลูมู่หยานให้ตาย
หลูมู่หยานกลอกตาไปมา นางเลิกคิ้วขึ้นและกล่าววาจาเยาะเย้ยว่า “มันหมายความอย่างไรกันเหรอ ถ้าหากผู้หญิงสองคนต้องมาทะเลาะกันเพราะเจ้าและผู้ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนี้? หรือว่าเจ้าอยากเป็นพนักงานยกกระเป๋า? ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สนใจเจ้า หรือชอบเจ้าอีกต่อไปแล้ว คนคนนี้ตายไปแล้ว ฉะนั้นได้โปรดอย่ารักกันอีกต่อไปเลย”
“อืมม ตอนนี้นางกลายเป็นคนพูดเก่งแล้วสินะ เหลวไหลจริง ๆ” ฉีอี้ซวนไม่สามารถที่จะพูดต่อกรกับหลูมู่หยานได้จริง ๆ เห็นได้จากการพูดไปเรื่อยของผู้หญิงคนนี้
กู่ยันรันดีใจเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉีอี้ซวนไม่อยากคุยกับหลูมู่หยานอีกต่อไปแล้ว ที่ผ่านมานางรู้สึกมาตลอดว่าฉีอี้ซวนนั้นแคร์ความรู้สึกของหลูมู่หยาน พูดได้ว่าพวกเขาทั้งสองเคยชอบพอกันเมื่อตอนยังเป็นเด็ก แต่ก็ยังไม่ขนาดนั้น ทำให้นางพยายามอย่างมากที่จะสร้างบาดแผลให้พวกเขาทั้งสองเมื่อยามที่นางก้าวขาเข้ามาเรียนที่สถาบันจักรพรรดิ
ตอนนี้ผู้หญิงโง่เง่าหลูมู่หยานไม่อยากจะเปลืองพื้นที่สมอง แต่นางเองก็ต้องคิดบัญชีกับเรื่องที่นางโดนดูหมิ่นในที่สาธารณะ
“หลูมู่หยาน เจ้าทำมากเกินไป ครั้งที่แล้วยังสั่งสอนไม่พออีกหรือ? ข้าต้องการให้เจ้าขอโทษต่อหน้าสาธารณชนเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าสาบานเลยว่าวันนี้ข้าจะไม่หยุดแน่” กู่ยันรันมองไปที่หลูมู่หยานด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและดื้อรั้น กู่ยันรันทำให้ชายหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกสงสารและมองไปที่หลูมู่หยานอย่างไร้ความปรานี
หลูมู่หยานกอดอกแน่นพร้อมเลิกคิ้วขึ้นอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาที่บอบบางของเจ้า ชายที่อยู่ข้าง ๆ ก็ต่างพากันเมามายโดยที่ยังไม่ดื่มเลย แบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการยั่วยวนแบบนี้กับที่ข้าพูดเรื่องการสวมเขาสามี ไม่ได้ต่างกันเลย”
“นอกจากนี้ การขอโทษในที่สาธารณะ? ทั้งที่เป็นเจ้า? เจ้าจะสาบานว่าจะไม่ยอมแพ้ได้อย่างไร?”
“เจ้ากำลังรนหาความตาย” แม้ว่ากู่ยันรันจะมีจิตใจที่ลึกซึ้ง แต่นางก็เป็นเด็กหญิงอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น นางจะต้านทานการดูถูกโดยคนที่น่ารำคาญที่สุดได้อย่างไร? นางดึงดาบและนำดอกไม้ดาบออกก่อนจะเดินไปหาหลูมู่หยาน ให้ควันลอยผ่านไป
รอยยิ้มสว่างวาบในดวงตาของหลูมู่หยาน นางใช้หลูยานบูเพื่อเดินไปรอบ ๆ กับกู่ยันรัน และเมื่อพลังจิตของนางสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ใกล้เข้ามา ร่างกายของนางหยุดชะงักทำให้กู่ยันรันใช้ดาบแทงเข้าที่แขนข้างซ้ายอย่างจัง
กู่ยันรันผละออกเล็กน้อย และด้วยความตกใจทำให้นางตัดสินใจใช้พลังของนางบินหนีไป
“อ่า” เลือดสีสดล้นทะลักท่วมปาก หลูมู่หยานปิดบริเวณช่วงอกอย่างมิดชิดและมองไปยังชายชุดขาวที่เพิ่งจะปรากฏตัว รูม่านตาของนางขยายกว้างก่อนจะหดเล็กลงเมื่อชายคนนั้นหันกลับมา
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างเห็นชายชุดขาวค่อย ๆ เดินมาอย่างช้า ๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ท่าทางดูอ่อนโยนผสมกับกลิ่นหอม ๆ ชายผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อในทันที ทำให้เห็นว่าหลูมู่หยานได้รับบาดเจ็บ บ่งบอกถึงการถูกข่มแหง
“ผู้คนบนโมซางเปรียบเสมือนหยก ส่วนบุตรชายนั้นก็หาใครในโลกมาเทียบไม่ได้” ประโยคเหล่านั้นสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนที่ยังเหลืออยู่
“หยานเอ๋อร์ เจ้าโอเคหรือไม่?” ชายที่สวมชุดสีขาวเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน เมื่อเดินไปยังด้านข้างของหลูมู่หยาน
หลูมู่หยานใช้ฝ่ามือกดไหล่ที่บาดเจ็บด้วยความคับแค้นใจและร้องออกมาว่า “ท่านพี่ ในที่สุดท่านพี่ก็กลับมา”
ชายรูปงามผู้ถูกเนรเทศคนนี้คือ ‘หลูมู่ไป๋’ พี่ชายของหลูมู่หยาน อัจริยะที่หาใครเปรียบไม่ได้ในตระกูลหลู หรือแม้แต่ในอณาจักรหยานโจวก็ตาม เขาคือผู้ที่บรรลุจุดสูงสุดในการบรรจุจิตวิญญาณแห่งดาบ ถือเป็นนักเรียนชั้นสวรรค์ในสถาบันฝึกจักรพรรดิ และเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลของสถาบัน
เขานิ่งเฉย ไม่แยแส แต่เขาปกป้องจุดอ่อนของเขาทุกอย่าง โดยเฉพาะหลูมู่หยานผู้เป็นน้องสาว
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่ผ่านมา เขาต้องเดินทางออกไปฝึกฝนวิชา ทำให้ผู้คนที่นี่กล้าที่จะรังแกหลูมู่หยานต่อหน้าสถาบัน
“ผู้อาวุโสหลู ท่านไม่มีคำอธิบายอะไร ๆ ที่ทำร้ายข้าโดยไม่ถามความบริสุทธิ์ใช่หรือไม่” ความริษยาและความไม่เต็มใจฉายผ่านดวงตาของกู่ยันรัน นางรีบปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามหลูมู่ไป๋อย่างอย่างนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
หลูมู่ไป๋ไม่แม้แต่จะหยิบยื่นอะไรให้กู่ยันรัน ทว่าเขาหยิบขวดยารักษาอาการบาดเจ็บออกมาจากแหวนเก็บของและเทลงบนบาดแผลของหลูมู่หยาน เมื่อเห็นว่าโลหิตสีแดงสดหยุดไหลแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ถ้าข้าทำร้ายเจ้า? พี่สาวของเจ้าคงทนไม่ได้ที่จะต้องสั่งสอน”
“ท่านกำลังรังแกผู้อื่นโดยใช้กำลัง ถ้าหลูมู่หยานไม่ขอโทษข้าในวันนี้ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ข้าจะเดินทางไปเข้าเฝ้าที่จักรวรรดิเพื่อขอคำอธิบายเหล่านี้” กู่ยันรันเอ่ยด้วยความคับแค้นใจ ดวงตามีน้ำสีใสเอ่อคลอก่อนจะฉายแววความชั่วร้าย ดื้อรั้นและไม่ยอมจำนนออกมา
หลูมู่หยานใช้หางตามอง ชักจะเล่นเกินไปแล้ว นางกดเสียงเย็นชาตะคอกกลับไป “พี่ชายข้าจะต้องอธิบายอะไร? วันนี้เจ้าแทงข้า และข้าจะไม่หยุดมันแน่นอน”
หลูมู่หยานใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแสดงท่าทางยั่วโมโหต่อกู่ยันรันและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “เจ้าเองก็ดูมีพลังมากดีนะ มันจะดีกว่าหรือไม่ที่เจ้าและข้าจะมาสู้กันในการแข่งขันของสถาบันในอีกสามเดือนข้างหน้า ถ้าข้าแพ้ ข้าจะยอมขอโทษเจ้าต่อหน้าผู้คนทั้งสถาบัน แต่ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะต้องยอมรับว่าเจ้าจงใจทำให้ข้าบาดเจ็บ ทั้งก่อนหน้าและวันนี้ และเจ้าจะต้องขอโทษข้า ว่ายังไง เจ้ากล้าหรือไม่?”
“ตกลง” กู่ยันรันตอบกลับ โดยที่นางไม่รู้จริง ๆ ว่าในใจของหลูมู่หยานคิดอะไรอยู่ นางถึงได้ตอบรับอะไรไร้ราคาเช่นนี้ แข่งขันงั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่นางเหนือกว่ายัยขยะนั่นเนี่ยนะ ฉะนั้นนางไม่มีทางที่จะแพ้แน่นอน และนางจะใช้โอกาสนี้ในการเหยียบย่ำหลูมู่หยานให้กลายเป็นขุนนางใต้เท้านาง ซึ่งนางไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสนี้เป็นแน่
ความเจ้าเล่ห์ถูกฉายออกมาผ่านแววตาของหลูมู่หยาน นางจงใจให้กู่ยันรันทำร้ายนางและใช้โอกาสนี้ทำให้คนคิดว่านางใช้ความรุนแรงภายคู่มือต่อสู้ และจากนั้นนางจะทำให้กู่ยันรันต้องร้องไม่ออก
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หลูมู่หยานได้รับจดหมายจาก หลูมู่ไป๋ว่ากำลังจะเดินทางกลับมาที่สถาบันในวันนี้ ตามภาพความทรงจำก่อนหน้า พี่ชายคนนี้รักน้องสาวของเขามาก
ลมหายใจของหลูมู่ไป๋ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนางฉะนั้นนางจึงใช้พลังจิตในการล็อกลมหายใจของหลูมู่ไป๋เอาไว้ ทำให้ในทันทีที่นางสัมผัสถึงหลูมู่ไป๋ที่เริ่มเข้าใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ หลูมู่หยานก็เริ่มพูดจายั่วยุกู่ยันรันและท้าทายข้อเสนอในการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ตอนนี้กู่ยันรันหน้ามืดตามัว นางรู้สึกว่าจะเสียหน้าไม่ได้กับถ้อยคำดูหมิ่นและการถูกกดขี้ของหลูมู่ไป๋ เป็นไปอย่างที่คาดดอกบัวสีขาวก็ตอบรับข้อเสนออย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ร่างเดิมดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อให้ถูกกู่ยันรันและคนอื่น ๆ ฆ่าทิ้ง แล้วในตอนนี้พวกนางยังคงทำเอาไว้อย่างเจ็บแสบ หลูมู่หยานถือคติที่ว่า ‘หากคนอื่นไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งกับเจ้า แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้ามายุ่งกับข้า ข้าก็จะตอบแทนเป็นพันเท่า’
สิ่งที่สำคัญที่สุดของกู่ยันรันคือหน้าตาของนาง นางยอมรับไม่ได้หากจะต้องพ่ายแพ้ให้กับหลูมู่หยานต่อหน้าอาจารย์และนักเรียนทั้งสถาบัน ในตอนนั้นนางจะต้องละทิ้งปีศาจที่อยู่ในตัวนางเพราะการก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการต่อสู้ในชีวิตยังคงเป็นเรื่องยาก สิ่งที่โหดเหี้ยมไม่ใช่การปล่อยให้ศัตรูต้องตาย แต่เป็นการเล่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายมากกว่า
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาอันแสนชั่วร้ายที่ยืนมองผ่านหน้าต่างอาคารเก่าที่อยู่ถัดไป เขาหันหลังเพื่อที่จะเดินจากไปพร้อมกับกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “ช่างเป็นผู้หญิงที่ตลกเสียจริง”
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข