“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวย่อกายให้แก่หัวหน้าขันที ต่อให้อดีตจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงหม้าย ฐานะร่ำรวย แต่ก็มิใช่ราชนิกุลเช่นชีวิตเดิม จำต้องรู้จักก้มหัว เพื่อหลายสิ่งอย่างในภายหน้า
“เราเข้าบ้านกันเถอะ”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับน้องๆ โดยที่ตัวเขาเข็ญน้องชายด้วยตนเอง เสียงพูดคุยอย่างครื้นเครง สร้างรอยยิ้มให้แก่บ่าวไพรในจวน นานมากแล้ว ที่สกุลชู เงียบเหงาจากการสูญเสีย
ชูเหมยฮวา อาศัยความจำเจ้าของร่าง ที่มีต่อจวนแห่งนี้ และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่น้อย สกุลชูมีเงินตรา แต่เมื่อเสาหลักจากไปอย่างกะทันหัน สามพี่น้องแยกทางเดิน
ความอึมครึมจึงเข้าครอบงำ กึก! ทั้งสามหยุดนิ่ง เมื่อมีร่างสูงกำยำของใครอีกคนมาขวางไว้ และอาการสั่นน้อยๆ ของพี่ชายคนรอง ทำให้ชูเหมยฮวา จับจ้องกลับไปยังผู้มาใหม่
“คุณชายจ้าง...” เป็นจูชินที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปยังคุณชายรอง
“ข้าน้อยจ้างเสิ่น มาช่วยดูแลน้องจ้านกง”
คำพูดของจ้างเสิ่น ติดจะกระด้างกระเดื่องอยู่ไม่น้อย ทั้งที่รู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า เป็นถึงแม่ทัพ ทว่ากลับไม่แสดงท่าทียำเกรง
“วันนี้พี่ใหญ่กับน้องหญิงอยู่ ข้าไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านพี่จ้างขอรับ”
“เจ้าต้องให้ข้าช่วยกดจุด”
“เอ่อ...”
“เรื่องนั้น ข้าที่เป็นน้องสาวช่วยจัดการได้ คุณชายจ้างมิต้องลำบาก เพราะนับจากวินาทีนี้ไป ข้าจะอยู่ดูแลพี่รองเอง”
“ฮูหยินท่านแม่ทัพ ไยแยกบ้านกับสามี มันผิดธรรมเนียม”
“ข้าหย่าขาดกับสวีกงจื่อแล้ว การกลับบ้านย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หรือคุณชายคิดว่าข้าต้องเร่ร่อน ไร้ที่พักพิงกันเล่า”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไยจึงไม่มีข่าวให้ผู้คนได้ยิน”
“หึๆ ข้าไม่คิดว่าคุณชายจ้าง จะเป็นพวกชอบสอดรู้เรื่องผู้อื่น”
หมับ! มือสั่นน้อยๆ รีบความจับแขนน้องสาว สายตาห้ามปราบ ทำให้ชูเหมยฮวา มั่นใจยิ่งนัก ว่าจ้างเสิ่น ต้องทำสิ่งใดต่อพี่ชายของนาง
“มิแปลกหากจะเกิดการหย่าขาด วาจาของคุณหนูชู เลาะร้ายนัก...”
“มิแพ้ท่าน”
ริมฝีปากอิ่มเหยียดออก เมื่ออีกฝ่ายตั้งตัวเป็นปรปักษ์ นางก็ไม่จำเป็นต้องถนอม คนผู้นี้จงใจข่มขู่นาง และบีบบังคับพี่ชายนางไปในตัว
“หากไม่มีสิ่งใด ข้าอยากอยู่กันปะสาพี่น้อง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสานะ จ้างเสิ่น”
คำพูดจากคนที่เงียบมาโดยตลอด ทำให้จ้างเสิ่น จำต้องล่าถอย ก้าวเดินจากไป ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
ชูจ้านเจ๋อ ไม่ชักถามสิ่งใดจากน้องชาย เพราะที่ผ่านมาหลายปี เขามิเคยได้ดูแลน้องๆ ได้เลยอย่างเต็มที่ ฉะนั้นทุกอย่างเขาจะใช้สายตาตัดสิน ใครก็ตามที่คุกคามน้องๆ ของเขา มันผู้นั้นจะได้รับการชำระอย่างสาสม เขาในอดีตกับตอนนี้ มันต่างกันมากนัก
ชูเหมยฮวา ลูบเบาๆ ที่มือของพี่ชาย ที่ยังคงกำแขนนางเอาไว้แน่น นางผู้กรำศึกมามาก มีหรือจะไม่รู้ว่านี่...คืออาการของคนตื่นกลัว
“เสี่ยวเยี่ยน เจ้าช่วยไปทำน้ำแกงปลา สูตรที่ข้ามักใช้บำรุงร่างกาย สำหรับมื้อค่ำนี้ด้วย หากไม่มีปลา เปลี่ยนเป็นเนื้อหรือสิ่งที่มีแทนได้”
“เจ้าค่ะ”
“น้ำแกงบำรุงร่างกายเยี่ยงนั้นรึ! เจ้าเจ็บป่วย...”
สายตาของชายหนุ่มทั้งสอง จ้องมองไปที่น้องสาว สิบห้าปีที่นางไม่เคยได้ก้าวออกจากจวนสวี มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันบ้าง ทำไมน้องสาวเจ็บป่วย พวกเขาหาได้รับรู้
“เป็นเพียงความอ่อนหล้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าอยู่ที่นั้น พวกท่านย่อมรู้ดีว่าข้าต้องทุกข์ทนแค่ไหน แม้จะกินอิ่ม ทว่าใจข้านั้นระทมนัก”
“นับแต่นี้ เจ้าจะอยู่ใต้ปีกของพี่ๆ ไม่ว่าสิ่งใดจงบอกอย่าได้ปิดบังอีก”
ชูจ้านกง เอ่ยกับน้องสาว ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะยังควบคุมน้ำเสียงได้ยังไม่ดีนัก
“เจ้าค่ะ”
สามพี่น้องกลับเข้าไปในเรือนใหญ่ เสียงหัวเราะเกิดขึ้นเป็นระยะ และนั่นทำให้คนที่ซุ่มอยู่ กำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเร้นกายหายไปในสวนดอกไม้
กลางดึกเรือนจ้านกง
ร่างผอมเพรียว นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกขัดใจนัก เพราะปกติแล้วเวลานี้ ชูจ้านกงจะยังไม่ได้หลับนอน
“เจ้าคิดว่าหลับแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้า ให้ทอดทิ้งข้าไว้เพียงลำพังเช่นนั้นรึ!”
น้ำเสียงที่บ่งบอก ถึงอารมณ์อันพุ่งพล่าน ทำให้คนที่ยืนนิ่งอยู่หลังม่าน ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เพื่อระบายความอัดแน่น ที่พร้อมระเบิดออกมา
นี่กระมัง...ที่พลังและวิชาการต่อสู้ของนาง ติดตามจิตวิญญาณมา และเข้ากลับร่างกายของชูเหมยฮวา ราวกับเจ้าของร่างฝึกฝนเคียงนางก็มิปาน
หญิงสาวพอจะเดาได้แล้ว ว่าคุณชายรองสกุลชู ต้องพบเจอกับสิ่งใด หากจิตใจของเขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อ ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นอันใด แต่ถ้าเป็นชายเต็มร้อย ย่อมเป็นบาดแผลทางใจที่น่ากลัว
เท้าหนาก้าวเข้าใกล้เตียงนอน แล้วหยุดนิ่ง พร้อมใช้สายตา ไล่มอง ไปตามร่างที่นอนเหยียดยาว ลมหายใจที่แรงขึ้น ราวกับภาพตรงหน้า กระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อน ให้แสดงออกมาจากผู้มาเยือน
ทำให้คนหลังม่าน ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อรับรู้ถึงอันตรายแอบแฝง นางไม่ต้องคาดเดาอะไรให้เสียเวลา มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าคำพูด มือบางกระชับมีดสั้นในมือเอาไว้แน่น แต่ก็ยังคงนิ่งมองเงาร่าง ที่อยู่ข้างเตียงพี่ชายอย่างสงบ
ร่างสูงใหญ่ นั่งลงขอบเตียง ก่อนจะโน้มใบหน้า ลงชิดกับใบห้าของคนบนเตียง ลมหายใจที่สม่ำเสมอ ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่เจ้าของห้อง จะหลับสนิทได้ถึงเพียงนี้
“ไม่แล้วอย่างไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สงสัยว่าสิ่งใดกัน ทำให้ท่านพ่อ มาเยี่ยมเยียนข้า ทั้งที่ตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่คำถามไถ่ยังไม่เคยมีมา” “เจ้ามีสิทธิ์อันใด ขับไล่คนของข้าออกจากร้าน และยึดทุกอย่างไป” “คนของท่าน ไยไม่อยู่ในที่ของท่านเล่าเจ้าคะ จะมาอยู่ในพื้นที่ของข้ากับท่านแม่ได้อย่างไร ไม่มีกฎหมายข้อใดในแผ่นดิน ที่บอกว่าสินเดิม ที่ต้องส่งต่อจากแม่สู่ลูก เป็นของสามี ท่านพ่อกินใช้สิ่งของเหล่านั้นมานานปี ข้าจะไม่ถือสา แต่เมื่อข้าต้องการของ...ของข้าคืน ท่านพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ทัดทาน” “เผยอิงเถา! เจ้าก็รู้ว่าร้านค้าสองแห่ง คือรายได้หลักของสกุลเผย และมันต้องเป็นสินเดิมของข้าในภายหน้า” เผยอันหลิง เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ หญิงโง่คนนี้มิรู้ที่ตายจริงๆ อาจหาญมาต่อกรกับบิดาของนาง “รายได้หลัก มิใช่เบี้ยหวัดของท่านพ่อหรือ ส่วนเรื่องสินเดิม มันเกี่ยวอันใดกับทรัพย์สินของข้า มารดาเจ้าก็มี ก็ใช้สินเดิมของนางสิ! นี่ของแม่ข้า” “แต่เจ้าออกเรือนไปแล้วนะ!” เผยอันหลิง ยังคงตอบโต้ ด้วยน้ำเสียงของคนไม่ยอมแพ้ “นั่นยิ่งสมควรเป็นของข้า ตั้งแต่วันที่ข้า ก
“พาส่งตำรวจเถอะ” คล้ายกับเขา รู้ถึงความต้องการของพี่สาว จึงเลือกที่จะส่งลู่ถิงให้กับตำรวจ เพราะยังไงเมื่อเข้าไปอยู่ในคุก ลู่ถิงก็ไม่รอดอยู่ดี แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น “ฉันไม่กลัวแกหรอก นังฉู่หร่าน! แกด้วยไอ้ปัญญาอ่อน ฉันจะส่งพวกแกไปตายอีกครั้ง” ลู่ถิงพุ่งไปที่ขอบระเบียงกว้าง ก่อนจะพุ่งลงไปเบื้องล่าง โดยไม่มีใครคิดห้ามปราม อาจด้วยยังตกตะลึง กับคำพูดของหญิงสาวอยู่ก็เป็นได้ ฉู่หร่านมองไปจุดที่ลู่ถิงหายไป ชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มประดับ โบกมือให้กับเธอ กู้เจี๋ยน้อยของสกุลฉู่ น้องชายและลูกชายที่ทุกคนรัก กำลังโบกมือลา และเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย “หรานหร่าน อย่าร้อง เจี๋ยจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อด้วย เจี๋ยจะดูแลหรานหร่านเอง” หญิงสาวปล่อยโฮออกมา เหมือนเด็กในทันที เมื่อรอยยิ้มของกูเจี๋ย เลือนหายไป พร้อมกับร่างกาย ที่กลายเป็นเพียงแสงสีขาว จนเหลือเพียงความว่างเปล่า ในสายตาเธอ กู้เจี๋ย ลูกชายของเพื่อนพ่อ ที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุ เหลือรอดเพียงเด็กชายกู้เจี๋ย ที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน จนทำให้สมองไม่สามารถ ที่จะพัฒนาได้ทันร่างกาย
ภายในห้องนอนเล็กๆ สามแม่ลูกหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะตลอดสองวัน ทั้งร่างกายและจิตใจ ล้วนต้องใช้พลังงานเหลือล้นเผยอิงเถา นอนตรงกลาง ขนาบสองข้าง ด้วยลูกชายหญิง ทว่าเวลานี้ ใบหน้างามกลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ราวกับในความฝันของนาง มันคือสิ่งที่นางมิอยากพานพบ....‘หรานหร่าน...หรานหร่าน!’ เสียงร่ำร้องดังอยู่แสนไกล ทำให้หญิงสาวที่เวลานี้ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด พยายามวิ่งตามเสียงเรียกนั้นไป จนสุดฝีเท้า ทว่ายิ่งไล่ล่า ยิ่งดูเหมือนจะห่างไกลออกไป จนอยากจะตามทัน‘พ่อคะ แม่คะ หนูอยู่นี่...’มิติคู่ขนาด ปัจจุบัน ฉู่หร่านวิ่งตามเสียงจนสุดฝีเท้า ก่อนจะหยุดลง เมื่อภาพเบื้องหน้า ทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสีดำแบรนด์ดัง เป็นที่คุ้นตาของเธอเหลือเกิน หญิงสาวเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มให้มากขึ้น เสียงที่ได้ยิน เธอมั่นใจว่านั่นคือคิงส์ น้องชายแท้ๆ ของเธอ ที่ถูกเก็บเป็นความลับ เพราะคิงส์อยู่ในท้องแม่ ได้เพียงสองเดือน พ่อกับแม่ของเธอก็ตกลงแยกทางกันอย่างถาวร แม่จึงเลือกที่จะให้น้องชาย มีชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวาย กับธุรกิจหรือตระกูลของพ่ออีก แต่ก
“ไม่ขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เชิญฮูหยินน้อยด้านในเถิดขอรับ” พ่อบ้านจวงรีบปฏิเสธ เมื่อน้ำเสียงของฮูหยินน้อย แสดงชัดว่าไม่ยินยอม ต่อคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น “อืม” เผยอิงเถา อุ้มบุตรสาว มืออีกข้างจับมือบุตรชาย ก้าวผ่านเข้าไปภายในจวน แน่นอนว่าบ่าวชายหญิง ที่ติดตามเข้าไปนับสิบ ล้วนมีใบหน้าที่เย็นยา เยี่ยงนายสาวทั้งสิ้น สายตาที่มองคนในจวน เฉยชาเหมือนคนเหล่านั้น เป็นเพียงฝุ่นผงในสายตา “ท่านแม่” เจาเยียน กระทืบเท้าราวเด็กถูกขัดใจ เหล่ยฮูหยินที่เคยเอ็นดูลูกสะใภ้คนรอง บัดนี้นางทำได้เพียงเมินหน้าหนี เพราะความต่างของสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง ในตอนนี้มันราวฟ้ากับเหวลึก ยิ่งเห็นเผยอิงเถา พาบ่าวชายหญิง ที่ล้วนมีลักษณะดี ก้าวผ่านนางไป มันตอกย้ำว่านับจากนี้ อำนาจในมือจะถูกลิบคืน เห็นทีนางคงต้องนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อน หากผลีผลามลงมือ อาจไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก “ท่านแม่...” “เจ้ารู้ตัวไหม ว่าทำอะไรลงไป มิเพียงเจ้าที่ต้องอับอาย มันรวมถึงข้า และสกุลเจาของบิดาเจ้าด้วย ที่อบรมลูกหลานได้ไม่ดี” “นางกำลังเสแสร้งอยู่นะเจ้าคะ” “แล้วอย่าง
จวนสกุลเหล่ย ในช่วงเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดหน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ร่างสูงของถงเจี้ยน จะเดินมายื่นแขน ให้แก่นายหญิงได้วางมือ หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ หากใบหน้าอัปลักษณ์นี้ สวมหน้ากากปิดทับ มันจะดูดียิ่งนัก แต่ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขา นางไม่คิดก้าวก่าย “เริงร่าเสียจริงนะ มิรู้สำรวม” คำพูดที่ดังขึ้นจากหน้าประตู เรียกสายตาเย็นเยียบ ให้หันมองอย่างมิใคร่ใส่ใจ น้องสะใภ้คนงามนั่นเอง หึๆ คิดจะมายั่วยุ ให้นางอับอายต่อหน้าชาวบ้าน ที่ยังคงมีสัญจรผ่านไปมาสินะ! คิดดีแล้วกระมัง จึงได้อาจหาญเยี่ยงนี้ “การที่ข้าพาลูกๆ ออกไปเที่ยวเล่น มีสิ่งใดเสียหายกัน ในเมื่อข้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมือง หาได้ลักลอบอยู่ลำพังกับผู้ใด” “แล้วที่เจ้าพาบุรุษหน้าผีกลับมาด้วย จะให้ข้าและสกุลเหล่ยเข้าใจว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม เรียกสายตาผู้คน อย่างที่น้องสะใภ้ตั้งใจ คงมีคนกลับมา รายงานล่วงหน้าแล้วกระมัง จึงได้ตั้งใจมาดักรอหาเรื่องเช่นนี้ “คนของมารดาข้า ไยเขาจะติดตามมารับใช้นายมิได้” “ที่นี่จวนสกุลเหล่ย” “ใช่! ที่นี่สกุลเหล่ย และเป็นสกุลที่ใหญ่โต ทว่า
โรงเตี้ยมนอกเมืองหลวง คณะเดินทางของแม่ทัพหนุ่ม ได้หยุดพักค้างแรมในโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก หากเดินทางแบบมิหยุดพัก ไม่เกินสามวันก็ถึงเมืองหลวง การที่เขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน นั้นเพราะเขาอยากพบหน้าใครบางคน ก่อนที่จะกลับจวน เพื่อไปสะสางเรื่องที่ค้างคา ในเมื่อสตรีต่ำช้า อยากใช้เล่ห์กล เพื่อให้ได้เขามาครอง เขาก็จะทำให้นางซมซานออกไป เยี่ยงสุนัขเช่นกัน “ท่านแม่ทัพ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งแก่สกุลเหล่ย ก่อนไหมขอรับ” รองแม่ทัพคนสนิท เอ่ยถามผู้เป็นนาย ด้วยการกลับเมืองหลวง ในรอบหลายปีนี้ นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย สำหรับสกุลเหล่ย “ไม่ต้อง! ข้าอยากรู้ ว่าสิ่งที่ท่านแม่ ส่งข่าวให้จะจริงเท็จแค่ไหน หากเป็นอย่างที่ท่านแม่บอกมา ข้าจะได้หลุดพ้นเสียที” เจ็ดปีก่อน ณ จวนลั่วอ๋อง แม่ทัพหนุ่ม ผู้กำลังเป็นที่หมายปอง ของหญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวง ได้ร่วมดื่มกับเหล่าขุนนางใหญ่ ที่ต่างพากันเชิญชวนให้เขาดื่มด้วย แม่ทัพหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากนี่คือมารยาท ที่เขาต้องพึงรักษา แม้ว่าสายตาของเขา จะไม่ค่อยอยู่ในวงสนทนาเท่