“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวย่อกายให้แก่หัวหน้าขันที ต่อให้อดีตจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงหม้าย ฐานะร่ำรวย แต่ก็มิใช่ราชนิกุลเช่นชีวิตเดิม จำต้องรู้จักก้มหัว เพื่อหลายสิ่งอย่างในภายหน้า
“เราเข้าบ้านกันเถอะ”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับน้องๆ โดยที่ตัวเขาเข็ญน้องชายด้วยตนเอง เสียงพูดคุยอย่างครื้นเครง สร้างรอยยิ้มให้แก่บ่าวไพรในจวน นานมากแล้ว ที่สกุลชู เงียบเหงาจากการสูญเสีย
ชูเหมยฮวา อาศัยความจำเจ้าของร่าง ที่มีต่อจวนแห่งนี้ และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่น้อย สกุลชูมีเงินตรา แต่เมื่อเสาหลักจากไปอย่างกะทันหัน สามพี่น้องแยกทางเดิน
ความอึมครึมจึงเข้าครอบงำ กึก! ทั้งสามหยุดนิ่ง เมื่อมีร่างสูงกำยำของใครอีกคนมาขวางไว้ และอาการสั่นน้อยๆ ของพี่ชายคนรอง ทำให้ชูเหมยฮวา จับจ้องกลับไปยังผู้มาใหม่
“คุณชายจ้าง...” เป็นจูชินที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปยังคุณชายรอง
“ข้าน้อยจ้างเสิ่น มาช่วยดูแลน้องจ้านกง”
คำพูดของจ้างเสิ่น ติดจะกระด้างกระเดื่องอยู่ไม่น้อย ทั้งที่รู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า เป็นถึงแม่ทัพ ทว่ากลับไม่แสดงท่าทียำเกรง
“วันนี้พี่ใหญ่กับน้องหญิงอยู่ ข้าไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านพี่จ้างขอรับ”
“เจ้าต้องให้ข้าช่วยกดจุด”
“เอ่อ...”
“เรื่องนั้น ข้าที่เป็นน้องสาวช่วยจัดการได้ คุณชายจ้างมิต้องลำบาก เพราะนับจากวินาทีนี้ไป ข้าจะอยู่ดูแลพี่รองเอง”
“ฮูหยินท่านแม่ทัพ ไยแยกบ้านกับสามี มันผิดธรรมเนียม”
“ข้าหย่าขาดกับสวีกงจื่อแล้ว การกลับบ้านย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หรือคุณชายคิดว่าข้าต้องเร่ร่อน ไร้ที่พักพิงกันเล่า”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไยจึงไม่มีข่าวให้ผู้คนได้ยิน”
“หึๆ ข้าไม่คิดว่าคุณชายจ้าง จะเป็นพวกชอบสอดรู้เรื่องผู้อื่น”
หมับ! มือสั่นน้อยๆ รีบความจับแขนน้องสาว สายตาห้ามปราบ ทำให้ชูเหมยฮวา มั่นใจยิ่งนัก ว่าจ้างเสิ่น ต้องทำสิ่งใดต่อพี่ชายของนาง
“มิแปลกหากจะเกิดการหย่าขาด วาจาของคุณหนูชู เลาะร้ายนัก...”
“มิแพ้ท่าน”
ริมฝีปากอิ่มเหยียดออก เมื่ออีกฝ่ายตั้งตัวเป็นปรปักษ์ นางก็ไม่จำเป็นต้องถนอม คนผู้นี้จงใจข่มขู่นาง และบีบบังคับพี่ชายนางไปในตัว
“หากไม่มีสิ่งใด ข้าอยากอยู่กันปะสาพี่น้อง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสานะ จ้างเสิ่น”
คำพูดจากคนที่เงียบมาโดยตลอด ทำให้จ้างเสิ่น จำต้องล่าถอย ก้าวเดินจากไป ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
ชูจ้านเจ๋อ ไม่ชักถามสิ่งใดจากน้องชาย เพราะที่ผ่านมาหลายปี เขามิเคยได้ดูแลน้องๆ ได้เลยอย่างเต็มที่ ฉะนั้นทุกอย่างเขาจะใช้สายตาตัดสิน ใครก็ตามที่คุกคามน้องๆ ของเขา มันผู้นั้นจะได้รับการชำระอย่างสาสม เขาในอดีตกับตอนนี้ มันต่างกันมากนัก
ชูเหมยฮวา ลูบเบาๆ ที่มือของพี่ชาย ที่ยังคงกำแขนนางเอาไว้แน่น นางผู้กรำศึกมามาก มีหรือจะไม่รู้ว่านี่...คืออาการของคนตื่นกลัว
“เสี่ยวเยี่ยน เจ้าช่วยไปทำน้ำแกงปลา สูตรที่ข้ามักใช้บำรุงร่างกาย สำหรับมื้อค่ำนี้ด้วย หากไม่มีปลา เปลี่ยนเป็นเนื้อหรือสิ่งที่มีแทนได้”
“เจ้าค่ะ”
“น้ำแกงบำรุงร่างกายเยี่ยงนั้นรึ! เจ้าเจ็บป่วย...”
สายตาของชายหนุ่มทั้งสอง จ้องมองไปที่น้องสาว สิบห้าปีที่นางไม่เคยได้ก้าวออกจากจวนสวี มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันบ้าง ทำไมน้องสาวเจ็บป่วย พวกเขาหาได้รับรู้
“เป็นเพียงความอ่อนหล้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าอยู่ที่นั้น พวกท่านย่อมรู้ดีว่าข้าต้องทุกข์ทนแค่ไหน แม้จะกินอิ่ม ทว่าใจข้านั้นระทมนัก”
“นับแต่นี้ เจ้าจะอยู่ใต้ปีกของพี่ๆ ไม่ว่าสิ่งใดจงบอกอย่าได้ปิดบังอีก”
ชูจ้านกง เอ่ยกับน้องสาว ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะยังควบคุมน้ำเสียงได้ยังไม่ดีนัก
“เจ้าค่ะ”
สามพี่น้องกลับเข้าไปในเรือนใหญ่ เสียงหัวเราะเกิดขึ้นเป็นระยะ และนั่นทำให้คนที่ซุ่มอยู่ กำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเร้นกายหายไปในสวนดอกไม้
กลางดึกเรือนจ้านกง
ร่างผอมเพรียว นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกขัดใจนัก เพราะปกติแล้วเวลานี้ ชูจ้านกงจะยังไม่ได้หลับนอน
“เจ้าคิดว่าหลับแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้า ให้ทอดทิ้งข้าไว้เพียงลำพังเช่นนั้นรึ!”
น้ำเสียงที่บ่งบอก ถึงอารมณ์อันพุ่งพล่าน ทำให้คนที่ยืนนิ่งอยู่หลังม่าน ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เพื่อระบายความอัดแน่น ที่พร้อมระเบิดออกมา
นี่กระมัง...ที่พลังและวิชาการต่อสู้ของนาง ติดตามจิตวิญญาณมา และเข้ากลับร่างกายของชูเหมยฮวา ราวกับเจ้าของร่างฝึกฝนเคียงนางก็มิปาน
หญิงสาวพอจะเดาได้แล้ว ว่าคุณชายรองสกุลชู ต้องพบเจอกับสิ่งใด หากจิตใจของเขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อ ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นอันใด แต่ถ้าเป็นชายเต็มร้อย ย่อมเป็นบาดแผลทางใจที่น่ากลัว
เท้าหนาก้าวเข้าใกล้เตียงนอน แล้วหยุดนิ่ง พร้อมใช้สายตา ไล่มอง ไปตามร่างที่นอนเหยียดยาว ลมหายใจที่แรงขึ้น ราวกับภาพตรงหน้า กระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อน ให้แสดงออกมาจากผู้มาเยือน
ทำให้คนหลังม่าน ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อรับรู้ถึงอันตรายแอบแฝง นางไม่ต้องคาดเดาอะไรให้เสียเวลา มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าคำพูด มือบางกระชับมีดสั้นในมือเอาไว้แน่น แต่ก็ยังคงนิ่งมองเงาร่าง ที่อยู่ข้างเตียงพี่ชายอย่างสงบ
ร่างสูงใหญ่ นั่งลงขอบเตียง ก่อนจะโน้มใบหน้า ลงชิดกับใบห้าของคนบนเตียง ลมหายใจที่สม่ำเสมอ ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่เจ้าของห้อง จะหลับสนิทได้ถึงเพียงนี้
“เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าใช่ไหม เจ้าคือของข้า จ้านกง...” มือหยาบ เลื่อนไปวางที่แผ่นอกของชูจ้านกง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเปิดสาบเสื้อ มือหยาบลูบไล้ผิวเนื้ออันคุ้นเคย หือ! “ชู่ว์! เจ้าคงไม่อยากให้มันดื่มเลือด ก่อนที่จะได้ร้องขอชีวิตหรอกนะ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นชิดใบหู ลมหายใจที่ถูกควบคุมให้คงที่ ทั้งที่คนพูดกำลังเต็มไปด้วยโทสะ บอกได้ถึงประสบการณ์เชิงการรบได้เป็นอย่างดี “ไม่คิดว่าคุณหนูชู จะชื่นชอบการอยู่ร่วมห้องกับบุรุษ จนต้องบุกเข้าห้อง พี่ชายตัวเองกลางดึกเยี่ยงนี้” คมมีดเย็นเฉียบ กดลงไปในผิวเนื้อบริเวณลำคอ ทำให้ชายหนุ่มเผลอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตระหนกไปชั่วขณะ “อย่าเอานิสัยของตัวเอง มาปรักปรำผู้อื่น มันควรเป็นข้า ที่ต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าเข้ามาในห้องพี่ชายข้าทำไม” “มันคือเรื่องปกติ สำหรับข้าและเขา” “เช่นนั้นรึ! แต่จากที่ข้าเห็น เจ้ากำลังทำในสิ่งที่มิควร” หมับ! อ๊าก! จ้างเสิ่นคำรามลั่น เมื่อคมมีดกรีดผ่านผิวเนื้อของเขา ในจังหวะที่รวบจับข้อมือของชูเหมยฮวา ชายหนุ่มเคลื่อนกายมาอยู่กลางห้องนอน ชูเหมยฮวา
“พี่ชายเจ้า ไม่มีวันทนกับคำของผู้คนได้ ฮ่าๆ เขาไม่มีวันอยู่ต่อไปได้ ถ้าคนทั้งเมืองรู้เรื่องนี้ อ๊าก!!!”“หึๆ ขนาดเจ้าแหกปากร้องเสียงดัง ข้ายังทำให้เขาหลับได้อย่างมีความสุข เรื่องแค่นี้...เจ้าคิดว่า ข้าจะทำให้เขา ลืมมันไม่ได้เลยหรือ…”“สกุลจ้าง ไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”“เช่นนั้นเรามาดูกัน ว่าเขาจะปล่อยข้า หรือคิดแข็งข้อต่อข้า พี่ใหญ่...รบกวนท่านแล้ว”ประตูเปิดออกกว้าง ก่อนแสงสว่างจะเจิดจ้า ด้วยคบไฟหลายอันในมือของทหารติดตาม แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าของเขาเรียกได้ว่ามืดครึ้ม เสียจนคนมองหนาวสะท้านหมับ! ครื๊ด!! ร่างบอบช้ำของจ้างเสิ่น ถูกลากไปด้วยมือขุนพลข้างกาย แม่ทัพหนุ่มสบตาน้องสาว ไม่มีคำถามหรือคำพูดใด หลุดออกมาจากปากของเขา เพราะความเสียใจ มันจุกอยู่ที่ลำคอ“คนผิดหาใช่ท่าน...พี่ใหญ่ แต่เป็นคนที่กระทำ ต่อครอบครัวของเราต่างหากที่ผิด และสมควรได้รับผลกรรมทั้งหมด”หญิงสาวปลอบใจพี่ชาย สกุลชู ตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น เพราะทายาทอายุยังน้อย ทั้งยังแยกย้ายกันเติบโต หากจะว่าใครลำบากและทรมานกว่าใครเพื่อน คงหนีไม่พ้นชูจ้านกง“เจ้าพักผ่อนเถอะ ที่เหลือพี่จัดการเอง”มือหนาบีบที่ไหล่มนครั
จวนสกุลจ้าง เสียงร้องโหยหวน ราวสัตว์บาดเจ็บดังก้อง เรียกให้คนทั้งจวนตื่นจากการหลับใหล นายท่านจ้าง รีบวิ่งออกมายังหน้าเรือนใหญ่ “ท่านพ่อ...ท่านพ่อโปรดช่วยข้าด้วย” นายท่านจ้าง พร้อมกับภรรยา และทุกคนในบ้าน ต่างมองไปยังต้นเสียง “ลูกพ่อ!” ชายชราถลาเข้าหาบุตรชาย สภาพที่เห็นในตอนนี้ ยากนักที่เขาจะทำใจยอมรับได้ “ใครทำเจ้า!” แม้จะพอเดาได้ว่าใคร แต่ก็อยากได้ฟังจากปากบุตรชาย นิ้วสั่นระริก ค่อยๆ ชี้ไปยังร่างสูงในชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าบุรุษร่างกำยำ ล้วนสวมหน้ากาก “อำมหิตนัก! เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของข้า แต่พวกเจ้าอาจหาญทำลายเขา” “แล้วอย่างไร...ทายาทเพียงคนเดียว แล้วอย่างไร!” คำถามในตอนท้าย ดุกร้าว จนคนฟังไหวสะท้านในอก บรรดาสตรีในจวน ต่างก้มหน้า หลบสายตาราวปีศาจ ในยามแสงจากคบไฟขยับไหวตกกระทบ “เขาทำผิดอะไร พวกเจ้าถึงทำกับราวมิใช่คน” “ไม่ถามเขาดูเล่า ถ้าฟังจากปากข้า มันจะน่าอับอายมากกว่ากระมัง” “เป็นพวกเจ้าที่ต้องอับอาย น้องชายเจ้า!”เมื่ออยู่ในอ้อนกอดของบิดา จ้างเสิ่นจึงปากกล้าขึ้นมาทัน
จวนแม่ทัพสวีกงจื่อ หญิงสาวผู้ใดชื่อ ว่าเป็นฮูหยินใหญ่ ทำเพียงทอดสายตามองไปยังถ้วยน้ำชา ที่อนุคนใหม่ของสามียกให้เมื่อครู่ นางมีค่าแค่เป็นสิ่งประดับ แต่ไม่เคยมีสักครั้ง ที่นางได้เป็นคนเคียงข้างสามีอย่างแท้จริง “คุณหนู...” “คงถึงเวลาแล้วสินะ...ข้ามิควรรอในสิ่งที่ ไม่มีวันเป็นไปได้” ร่างระหงลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเดินไปเพียงน้อย ขาที่เคยมั่นคง พลันอ่อนแรงไปเสียอย่างนั้น “คุณหนู!” เสี่ยวเยี่ยน รีบถลาเข้าประคองร่าง ของผู้เป็นนายเอาไว้ รอยยิ้มอ่อนล้าของคุณหนู เสมือนมีคมดาบนับหมื่นเล่ม ทิ่มแทงเข้าสู่กาย “อย่าห่วงเลย ข้าแค่พักผ่อนน้อยไปเท่านั้น มิช้าก็ดีขึ้น” ชูเหมยฮวาเอ่ยปลอบสาวใช้ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เรื่องราวเดิมๆ หมุนวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าครานี้มันแตกต่างออกไป เพราะคนสามีเลือกมาเคียงกาย คือรักที่เขายืนยันหนักแน่น ว่าไม่ยินดีรับคำปฏิเสธจากนาง เสี่ยวเยี่ยน ประคองผู้เป็นนาย กลับไปยังห้องนอน ลมหายใจที่ดูเหนื่อยอ่อนของคุณหนู ทำให้ใจของหญิงสาว ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก สกุลสวีช่างใจดำนัก “ข้าอยากดื่มน้ำอุ่นๆ ส
“ทรงคิดว่ากองทัพเกราะดำ จะมาทันปกป้องท่านกับฮ่องเต้สินะ...ฮ่าๆ ทุกการลงมือ ย่อมมีการเตรียมการเอาไว้แล้วทั้งสิ้น” “ไม่ผิด...เพราะทุกการเคลื่อนไหว ข้าย่อมมองทุกอย่างให้ถี่ถ้วน เว้นแต่ในบางครั้ง ที่เส้นผมบางเส้นมันแตกแยก” เยี่ยเจา เบนสายตาไปยังคนที่นางเรียกว่า ท่านน้า สตรีผู้เป็นดั่งมารดาอีกคนของนาง นี่คือความเลินเล่อของนาง ที่ไม่มองอีกฝ่ายให้ถี่ถ้วน นั่นเพราะเห็นอีกฝ่าย เป็นน้องสาวแท้ๆ ของมารดา และเป็นสนมคนหนึ่งของบิดา แต่วันนี้นางได้เห็นกับตาแล้ว ว่าที่ผ่านมาเหยาเยี่ยน สวมหน้ากากเป็นคนดีมาโดยตลอด “อย่าได้มองข้าแบบนั้น หากเจ้าคิดจะโทษ ก็โทษที่พ่อแม่ของเจ้า ที่ไร้ความเป็นธรรมต่อข้า” เหยากุ้ยเฟย รีบพูดขึ้น เมื่อเห็นสายตาของหลานสาว พระนางต้องใช้สารพัดวิธี เพื่อให้ได้เข้าวัง และต้องอดทนมาไม่น้อย กว่าจะก้าวสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟย แต่ถึงกระนั้น สิ้นพี่สาวของนางไปแล้ว ฮ่องเต้ยังไม่ยินยอมให้นาง หรือสนมคนใด ก้าวสู่ตำแหน่งฮองเฮา แทนพี่สาวของนางที่ตายไป และยังมอบอำนาจทั้งหมดให้พระธิดาองค์โต ส่วนบัลลังก์ กลับตกเป็นของเด็ก ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เยี่ยง
“เยี่ยจงคือตัวข้า ปกป้องเขา...เยี่ยงที่เจ้า เคยลั่นวาจาต่อข้า” เสียงอันแผ่วเบา อู้อี้อยู่กับอกแกร่งของสหายรัก ดวงตาของนางหนักอึ้งเหลือเกิน บ่าที่เคยแบกทุกอย่างเอาไว้ มาโดยตลอด ตอนนี้มันรู้สึกเบาไปมากทีเดียว “ข้าจะรอเจ้า ต่อให้จะกี่ภพกี่ชาติ ข้าก็จะรอเจ้า เยี่ยเจา...” “หลีกไป! ข้าต้องการพบฮูหยินใหญ่” “ไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินกำลังพักผ่อน” ภาพทุกอย่างพลันหายไป ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ นี่คือความจริงที่นางต้องรับมันให้ได้ อย่างน้อยก็ได้หายใจอีกครั้ง ความวุ่นวายในแต่ละครอบครัว มันไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ หญิงสาวยันกายลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพื่อออกไปยังห้องชั้นนอก ที่ดูเหมือนการปะทะจะรุนแรงไม่เบา เสียงนี้คงเป็นแม่สามีเจ้าของร่าง “ท่านแม่มีสิ่งใดต่อข้าหรือเจ้าคะ ไยไม่ให้คนมาตาม มิเห็นต้องเหน็ดเหนื่อยมาด้วยตนเองเลย” แม้จะพูดไปตามเนื้อผ้า ทว่าท่าทางและแววตานั้น แตกต่างจากชูเหมยฮวา ราวกับคนละคนเลยทีเดียว ซึ่งนั้นเองทำให้ฮูหยินสวี ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อแสดงถึงอำนาจในฐานะแม่สามี “ไยเจ
สองวันถัดมา ณ เรือน ร่างงามในชุดสีหวาน เดินเข้ามาภายในเรือน พร้อมกับสาวใช้หลายคน โดยในมือนั้นมีถาดในอาหาร และกล่องไม้หลายอัน อนุลั่วยิ้มน้อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ “ข้าต้องการเข้าพบฮูหยินใหญ่” “นายหญิงลั่ว โปรดรอสักครู่” ต่อให้เสี่ยวเยี่ยนไม่พอใจ แต่นางก็มิอาจหักหน้านายตน ด้วยการแสดงความใจแคบต่อผู้มาเยือน “นายหญิงลั่ว เชิญด้านในเจ้าค่ะ” เสี่ยวเยี่ยนกลับออกมา เชื้อเชิญอนุลั่ว ก่อนจะเดินนำกลับเข้าไปภายในห้องโถง อนุลั่วก้าวน้อยๆ อย่างสตรีชั้นสูง รอยยิ้มพริ้มเพราที่ประดับใบหน้ามิเสื่อมคลาย คือสิ่งที่นางมีมิเคยขาด “ลั่งอิง คารวะฮูหยินใหญ่” “นั่งสิ...เสี่ยวเยี่ยนชา” “ขอบคุณ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” ลั่วอิงเดินไปนั่งเก้าอี้ ที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ติดตาม นำสิ่งของต่างๆ ไปวางไว้บนโต๊ะข้างกายเจ้าของเรือน “ลั่วอิงมิรู้ว่าฮูหยินใหญ่ ชื่นชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ จึงได้นำของเหล่านี้มาเสียทั้งหมด เพื่อแสดงความเคารพเจ้าค่ะ” “เจ้ากำลังคิดว่าข้าใจแคบสินะ..
“สวีกงจื่อ น้อมรับพระบัญชา” ใบหน้าที่เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง ทำให้หัวหน้าขันทีขมวดคิ้วเป็นปม ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องภายในสกุลสวี ด้วยเป็นสกุลแม่ทัพ ย่อมต้องอยู่สายตาของฮ่องเต้ และครั้งนี้สวีกงจื่อก้าวพลาดเอง ที่คิดว่าชูจ้านเจ๋อ ไร้อำนาจบารมี จนไม่สามารถปกป้องน้องสาวได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ชูจ้านเจ๋อ นับเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งแผ่นดิน ที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้หน้ากากพยัคฆ์ แค่น้องสาวของแม่ทัพหนุ่ม ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการหย่าขาด พร้อมเหตุผล มีหรือฝ่าบาทจะนิ่งดูดาย เพราะหากต้องเลือก ชูจ้านเจ๋อย่อมสำคัญกว่าสวีกงจื่อ ผู้มีดีแค่บิดาสร้างไว้ให้ แม้จะมีผลงานอยู่บ้าง ทว่ายังห่างไกลกับแม่ทัพชูจ้านเจ๋อมากทีเดียว “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ชูเหมยฮวา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางไม่ชื่นชอบการรอคอย สิ่งใดควรจบ มันก็สมควรสิ้นสุดโดยไว เพราะหากยืดเยื้อไป รังแต่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ “คุณหนูชู ข้าจะรอไปส่งท่านมี่จวนชู ตามพระบัญชา” “เช่นนั้น ท่านขันทีโปรดรอข้าสักครูเจ้าค่ะ สิ่งของที่ต้องนำกลับ ข้าได้เตรียมไว้แล้ว เหลือเพียงสินเดิมบางส่วน ที่สกุลสวีหยิบยืมไป
จวนสกุลจ้าง เสียงร้องโหยหวน ราวสัตว์บาดเจ็บดังก้อง เรียกให้คนทั้งจวนตื่นจากการหลับใหล นายท่านจ้าง รีบวิ่งออกมายังหน้าเรือนใหญ่ “ท่านพ่อ...ท่านพ่อโปรดช่วยข้าด้วย” นายท่านจ้าง พร้อมกับภรรยา และทุกคนในบ้าน ต่างมองไปยังต้นเสียง “ลูกพ่อ!” ชายชราถลาเข้าหาบุตรชาย สภาพที่เห็นในตอนนี้ ยากนักที่เขาจะทำใจยอมรับได้ “ใครทำเจ้า!” แม้จะพอเดาได้ว่าใคร แต่ก็อยากได้ฟังจากปากบุตรชาย นิ้วสั่นระริก ค่อยๆ ชี้ไปยังร่างสูงในชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าบุรุษร่างกำยำ ล้วนสวมหน้ากาก “อำมหิตนัก! เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของข้า แต่พวกเจ้าอาจหาญทำลายเขา” “แล้วอย่างไร...ทายาทเพียงคนเดียว แล้วอย่างไร!” คำถามในตอนท้าย ดุกร้าว จนคนฟังไหวสะท้านในอก บรรดาสตรีในจวน ต่างก้มหน้า หลบสายตาราวปีศาจ ในยามแสงจากคบไฟขยับไหวตกกระทบ “เขาทำผิดอะไร พวกเจ้าถึงทำกับราวมิใช่คน” “ไม่ถามเขาดูเล่า ถ้าฟังจากปากข้า มันจะน่าอับอายมากกว่ากระมัง” “เป็นพวกเจ้าที่ต้องอับอาย น้องชายเจ้า!”เมื่ออยู่ในอ้อนกอดของบิดา จ้างเสิ่นจึงปากกล้าขึ้นมาทัน
“พี่ชายเจ้า ไม่มีวันทนกับคำของผู้คนได้ ฮ่าๆ เขาไม่มีวันอยู่ต่อไปได้ ถ้าคนทั้งเมืองรู้เรื่องนี้ อ๊าก!!!”“หึๆ ขนาดเจ้าแหกปากร้องเสียงดัง ข้ายังทำให้เขาหลับได้อย่างมีความสุข เรื่องแค่นี้...เจ้าคิดว่า ข้าจะทำให้เขา ลืมมันไม่ได้เลยหรือ…”“สกุลจ้าง ไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”“เช่นนั้นเรามาดูกัน ว่าเขาจะปล่อยข้า หรือคิดแข็งข้อต่อข้า พี่ใหญ่...รบกวนท่านแล้ว”ประตูเปิดออกกว้าง ก่อนแสงสว่างจะเจิดจ้า ด้วยคบไฟหลายอันในมือของทหารติดตาม แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าของเขาเรียกได้ว่ามืดครึ้ม เสียจนคนมองหนาวสะท้านหมับ! ครื๊ด!! ร่างบอบช้ำของจ้างเสิ่น ถูกลากไปด้วยมือขุนพลข้างกาย แม่ทัพหนุ่มสบตาน้องสาว ไม่มีคำถามหรือคำพูดใด หลุดออกมาจากปากของเขา เพราะความเสียใจ มันจุกอยู่ที่ลำคอ“คนผิดหาใช่ท่าน...พี่ใหญ่ แต่เป็นคนที่กระทำ ต่อครอบครัวของเราต่างหากที่ผิด และสมควรได้รับผลกรรมทั้งหมด”หญิงสาวปลอบใจพี่ชาย สกุลชู ตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น เพราะทายาทอายุยังน้อย ทั้งยังแยกย้ายกันเติบโต หากจะว่าใครลำบากและทรมานกว่าใครเพื่อน คงหนีไม่พ้นชูจ้านกง“เจ้าพักผ่อนเถอะ ที่เหลือพี่จัดการเอง”มือหนาบีบที่ไหล่มนครั
“เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าใช่ไหม เจ้าคือของข้า จ้านกง...” มือหยาบ เลื่อนไปวางที่แผ่นอกของชูจ้านกง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเปิดสาบเสื้อ มือหยาบลูบไล้ผิวเนื้ออันคุ้นเคย หือ! “ชู่ว์! เจ้าคงไม่อยากให้มันดื่มเลือด ก่อนที่จะได้ร้องขอชีวิตหรอกนะ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นชิดใบหู ลมหายใจที่ถูกควบคุมให้คงที่ ทั้งที่คนพูดกำลังเต็มไปด้วยโทสะ บอกได้ถึงประสบการณ์เชิงการรบได้เป็นอย่างดี “ไม่คิดว่าคุณหนูชู จะชื่นชอบการอยู่ร่วมห้องกับบุรุษ จนต้องบุกเข้าห้อง พี่ชายตัวเองกลางดึกเยี่ยงนี้” คมมีดเย็นเฉียบ กดลงไปในผิวเนื้อบริเวณลำคอ ทำให้ชายหนุ่มเผลอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตระหนกไปชั่วขณะ “อย่าเอานิสัยของตัวเอง มาปรักปรำผู้อื่น มันควรเป็นข้า ที่ต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าเข้ามาในห้องพี่ชายข้าทำไม” “มันคือเรื่องปกติ สำหรับข้าและเขา” “เช่นนั้นรึ! แต่จากที่ข้าเห็น เจ้ากำลังทำในสิ่งที่มิควร” หมับ! อ๊าก! จ้างเสิ่นคำรามลั่น เมื่อคมมีดกรีดผ่านผิวเนื้อของเขา ในจังหวะที่รวบจับข้อมือของชูเหมยฮวา ชายหนุ่มเคลื่อนกายมาอยู่กลางห้องนอน ชูเหมยฮวา
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวย่อกายให้แก่หัวหน้าขันที ต่อให้อดีตจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงหม้าย ฐานะร่ำรวย แต่ก็มิใช่ราชนิกุลเช่นชีวิตเดิม จำต้องรู้จักก้มหัว เพื่อหลายสิ่งอย่างในภายหน้า “เราเข้าบ้านกันเถอะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับน้องๆ โดยที่ตัวเขาเข็ญน้องชายด้วยตนเอง เสียงพูดคุยอย่างครื้นเครง สร้างรอยยิ้มให้แก่บ่าวไพรในจวน นานมากแล้ว ที่สกุลชู เงียบเหงาจากการสูญเสีย ชูเหมยฮวา อาศัยความจำเจ้าของร่าง ที่มีต่อจวนแห่งนี้ และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่น้อย สกุลชูมีเงินตรา แต่เมื่อเสาหลักจากไปอย่างกะทันหัน สามพี่น้องแยกทางเดิน ความอึมครึมจึงเข้าครอบงำ กึก! ทั้งสามหยุดนิ่ง เมื่อมีร่างสูงกำยำของใครอีกคนมาขวางไว้ และอาการสั่นน้อยๆ ของพี่ชายคนรอง ทำให้ชูเหมยฮวา จับจ้องกลับไปยังผู้มาใหม่ “คุณชายจ้าง...” เป็นจูชินที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปยังคุณชายรอง “ข้าน้อยจ้างเสิ่น มาช่วยดูแลน้องจ้านกง” คำพูดของจ้างเสิ่น ติดจะกระด้างกระเดื่องอยู่ไม่น้อย ทั้งที่รู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า เป็นถึงแม่ทัพ ทว่ากลับไม่แสดงท่าทียำเกรง
“ท่านแม่ทัพชู ช่างสมกับเป็นบุตรชายกำพร้า มารยาทสักนิดก็หามีไม่” เท้าหนาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังคนพูด สตรีผู้ไม่ถนอมน้องสาวของเขา ในฐานะสะใภ้ แค่หายใจร่วมเขาก็คิดว่าเกินพอแล้ว “สตรีผู้เติบโตมาจากสกุลดี ย่อมไม่กล่าวว่าจาล่วงเกินบุพการีของผู้ใด นอกเสียจากไร้การอบรมอย่างแท้จริง” “ชูจ้านเจ๋อ!” ไร้การตอบโต้จากแม่ทัพหนุ่ม ร่างสูงเหวี่ยงกายขึ้นหลังม้า ที่คนสนิทจูงมาเทียบข้าง ก่อนจะใช้เท้ากระตุ้นม้าให้ออกเดิน ตามรถม้าของน้องสาว ที่เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า “ท่านแม่ทัพสวี สวีฮูหยิน ข้าขอตัวก่อน” หัวหน้าขันทีเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าของตน เพื่อติดตามไปส่งพี่น้องสกุลชู ตราบใดที่มีเขา ใครหน้าไหนก็ยากแตะต้องสองพี่น้อง นอกเสียจากคนที่ทำจะคิดคดต่อบัลลังก์ แม่ทัพหนุ่ม ประสานมือรับอย่างเสียมิได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถตั้งตัวรับได้ทัน พระราชโองการเหมือนถูกเตรียมเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น “ท่านแม่ทัพ เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” ลั่วอิงเอ่ยถามสามี ด้วยน้ำเสียง
“สวีกงจื่อ น้อมรับพระบัญชา” ใบหน้าที่เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง ทำให้หัวหน้าขันทีขมวดคิ้วเป็นปม ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องภายในสกุลสวี ด้วยเป็นสกุลแม่ทัพ ย่อมต้องอยู่สายตาของฮ่องเต้ และครั้งนี้สวีกงจื่อก้าวพลาดเอง ที่คิดว่าชูจ้านเจ๋อ ไร้อำนาจบารมี จนไม่สามารถปกป้องน้องสาวได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ชูจ้านเจ๋อ นับเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งแผ่นดิน ที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้หน้ากากพยัคฆ์ แค่น้องสาวของแม่ทัพหนุ่ม ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการหย่าขาด พร้อมเหตุผล มีหรือฝ่าบาทจะนิ่งดูดาย เพราะหากต้องเลือก ชูจ้านเจ๋อย่อมสำคัญกว่าสวีกงจื่อ ผู้มีดีแค่บิดาสร้างไว้ให้ แม้จะมีผลงานอยู่บ้าง ทว่ายังห่างไกลกับแม่ทัพชูจ้านเจ๋อมากทีเดียว “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ชูเหมยฮวา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางไม่ชื่นชอบการรอคอย สิ่งใดควรจบ มันก็สมควรสิ้นสุดโดยไว เพราะหากยืดเยื้อไป รังแต่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ “คุณหนูชู ข้าจะรอไปส่งท่านมี่จวนชู ตามพระบัญชา” “เช่นนั้น ท่านขันทีโปรดรอข้าสักครูเจ้าค่ะ สิ่งของที่ต้องนำกลับ ข้าได้เตรียมไว้แล้ว เหลือเพียงสินเดิมบางส่วน ที่สกุลสวีหยิบยืมไป
สองวันถัดมา ณ เรือน ร่างงามในชุดสีหวาน เดินเข้ามาภายในเรือน พร้อมกับสาวใช้หลายคน โดยในมือนั้นมีถาดในอาหาร และกล่องไม้หลายอัน อนุลั่วยิ้มน้อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ “ข้าต้องการเข้าพบฮูหยินใหญ่” “นายหญิงลั่ว โปรดรอสักครู่” ต่อให้เสี่ยวเยี่ยนไม่พอใจ แต่นางก็มิอาจหักหน้านายตน ด้วยการแสดงความใจแคบต่อผู้มาเยือน “นายหญิงลั่ว เชิญด้านในเจ้าค่ะ” เสี่ยวเยี่ยนกลับออกมา เชื้อเชิญอนุลั่ว ก่อนจะเดินนำกลับเข้าไปภายในห้องโถง อนุลั่วก้าวน้อยๆ อย่างสตรีชั้นสูง รอยยิ้มพริ้มเพราที่ประดับใบหน้ามิเสื่อมคลาย คือสิ่งที่นางมีมิเคยขาด “ลั่งอิง คารวะฮูหยินใหญ่” “นั่งสิ...เสี่ยวเยี่ยนชา” “ขอบคุณ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” ลั่วอิงเดินไปนั่งเก้าอี้ ที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ติดตาม นำสิ่งของต่างๆ ไปวางไว้บนโต๊ะข้างกายเจ้าของเรือน “ลั่วอิงมิรู้ว่าฮูหยินใหญ่ ชื่นชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ จึงได้นำของเหล่านี้มาเสียทั้งหมด เพื่อแสดงความเคารพเจ้าค่ะ” “เจ้ากำลังคิดว่าข้าใจแคบสินะ..
“เยี่ยจงคือตัวข้า ปกป้องเขา...เยี่ยงที่เจ้า เคยลั่นวาจาต่อข้า” เสียงอันแผ่วเบา อู้อี้อยู่กับอกแกร่งของสหายรัก ดวงตาของนางหนักอึ้งเหลือเกิน บ่าที่เคยแบกทุกอย่างเอาไว้ มาโดยตลอด ตอนนี้มันรู้สึกเบาไปมากทีเดียว “ข้าจะรอเจ้า ต่อให้จะกี่ภพกี่ชาติ ข้าก็จะรอเจ้า เยี่ยเจา...” “หลีกไป! ข้าต้องการพบฮูหยินใหญ่” “ไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินกำลังพักผ่อน” ภาพทุกอย่างพลันหายไป ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ นี่คือความจริงที่นางต้องรับมันให้ได้ อย่างน้อยก็ได้หายใจอีกครั้ง ความวุ่นวายในแต่ละครอบครัว มันไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ หญิงสาวยันกายลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพื่อออกไปยังห้องชั้นนอก ที่ดูเหมือนการปะทะจะรุนแรงไม่เบา เสียงนี้คงเป็นแม่สามีเจ้าของร่าง “ท่านแม่มีสิ่งใดต่อข้าหรือเจ้าคะ ไยไม่ให้คนมาตาม มิเห็นต้องเหน็ดเหนื่อยมาด้วยตนเองเลย” แม้จะพูดไปตามเนื้อผ้า ทว่าท่าทางและแววตานั้น แตกต่างจากชูเหมยฮวา ราวกับคนละคนเลยทีเดียว ซึ่งนั้นเองทำให้ฮูหยินสวี ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อแสดงถึงอำนาจในฐานะแม่สามี “ไยเจ
“ทรงคิดว่ากองทัพเกราะดำ จะมาทันปกป้องท่านกับฮ่องเต้สินะ...ฮ่าๆ ทุกการลงมือ ย่อมมีการเตรียมการเอาไว้แล้วทั้งสิ้น” “ไม่ผิด...เพราะทุกการเคลื่อนไหว ข้าย่อมมองทุกอย่างให้ถี่ถ้วน เว้นแต่ในบางครั้ง ที่เส้นผมบางเส้นมันแตกแยก” เยี่ยเจา เบนสายตาไปยังคนที่นางเรียกว่า ท่านน้า สตรีผู้เป็นดั่งมารดาอีกคนของนาง นี่คือความเลินเล่อของนาง ที่ไม่มองอีกฝ่ายให้ถี่ถ้วน นั่นเพราะเห็นอีกฝ่าย เป็นน้องสาวแท้ๆ ของมารดา และเป็นสนมคนหนึ่งของบิดา แต่วันนี้นางได้เห็นกับตาแล้ว ว่าที่ผ่านมาเหยาเยี่ยน สวมหน้ากากเป็นคนดีมาโดยตลอด “อย่าได้มองข้าแบบนั้น หากเจ้าคิดจะโทษ ก็โทษที่พ่อแม่ของเจ้า ที่ไร้ความเป็นธรรมต่อข้า” เหยากุ้ยเฟย รีบพูดขึ้น เมื่อเห็นสายตาของหลานสาว พระนางต้องใช้สารพัดวิธี เพื่อให้ได้เข้าวัง และต้องอดทนมาไม่น้อย กว่าจะก้าวสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟย แต่ถึงกระนั้น สิ้นพี่สาวของนางไปแล้ว ฮ่องเต้ยังไม่ยินยอมให้นาง หรือสนมคนใด ก้าวสู่ตำแหน่งฮองเฮา แทนพี่สาวของนางที่ตายไป และยังมอบอำนาจทั้งหมดให้พระธิดาองค์โต ส่วนบัลลังก์ กลับตกเป็นของเด็ก ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เยี่ยง