สิบปีมาแล้ว... เขายังคงถูกหลอกหลอนด้วยดวงตาอันสิ้นหวังของนาง จดหมายไร้นามเพียงฉบับเดียว จุดไฟแค้นให้เจ้าเมืองลู่หยางลุกขึ้นอีกครั้ง! เพื่อพิสูจน์ว่านางมิใช่กบฏ แต่คือรักเดียวที่เขาสาบาว่าจะปกป้อง!
View Moreค่ำคืนแห่งปลายฤดูใบไม้ร่วง แคว้นเป่ยหลานซึ่งเคยอบอุ่นสุขสงบกลับคล้ายเย็นเยียบเป็นพิเศษ สายลมจากทิศเหนือพัดพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยแห้งผ่านแนวระเบียงเรือนสูง ขับให้เปลวไฟในโคมแดงไหวระริกอย่างไร้ทิศทาง
แม้ในยามราตรีจะเยือกเย็นเพียงใด แต่ในใจของชาวเป่ยหลาน ยังมีเพลิงอุ่นหนึ่งดวงส่องแสงไม่เคยริบหรี่ เพลิงนั้น คือ “ลู่หยาง” เจ้าเมืองผู้ยืนหยัดดุจขุนเขา ประคับประคองบ้านเมืองให้รอดพ้นจากห่าธนูและเพลิงสงครามมาได้หลายหนผู้คนต่างเรียกเขาว่า “เจ้าเมืองอักษรเหล็ก” อักษรที่เขียนจากน้ำหมึก แต่หนักแน่นยิ่งกว่าคำสั่งดาบ ทุกถ้อยคำของเขาเคยหยุดศึกได้โดยไม่ต้องแลกด้วยเลือดแม้แต่หยดเดียว
ลู่หยางมิใช่ขุนนางที่ได้ตำแหน่งด้วยสายเลือด หากแต่ปีนบันไดแห่งคุณธรรมขึ้นมาทีละขั้น เริ่มต้นจากทหารแนวหน้า สู่นายกอง จากผู้แบกหีบศพสหาย สู่นักเจรจาที่ขุนนางทั้งห้าตระกูลยังต้องยอมก้มหัวให้
ครั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองเมื่อสิบปีก่อน เมืองเป่ยหลานยังคงเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากศึกใหญ่ ผู้คนอดอยากปากแห้ง ฝนแล้ง น้ำไม่หลั่งแม้สักหยด เด็ก ๆ หลายร้อยคนไม่มีแม้แต่ข้าวสุกมื้อล่าสุดให้กินประทังความหิวโหย
ลู่ก็มิได้เริ่มจากคำสั่ง หากแต่ย่ำเท้าฝ่าโคลนไปกลางท้องนา สืบหาต้นตอของความแห้งแล้งด้วยสองมือของตนเอง ฟื้นฟูคูคลอง เจรจากับเมืองข้างเคียงเพื่อแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และแรงงาน เขาใช้กลยุทธ์แทนกระบี่ ใช้ความอดทนแทนกองทัพ
สองปีผ่านไป หลายสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลง น้ำไหล ข้าวงอก ผู้คนเริ่มกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่วิเศษดั่งเมืองหลวง แต่ก็พอให้มีชีวิตที่ไม่ต้องก้มหน้ารอเศษข้าวจากขบวนเสบียงหลวง
สามปีต่อมา ลู่หยางริเริ่มก่อตั้ง “หอศึกษาตงหลิน” เปิดสอนบุตรหลานของพวกชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เลือกบัณฑิตเก่าที่เคยเร่ขายตัวอักษรริมทางให้มาสอน เด็กที่เคยไม่มีแม้แต่กระดานหินให้ขีดเขียน บัดนี้เริ่มเขียนอักษรด้วยพู่กัน
“หากคิดจะสร้างเมือง ก็ต้องสร้างคนเสียก่อน” เขาเคยเอ่ยไว้ในขณะที่แบ่งน้ำชากับอาจารย์เฒ่าที่ถูกลืมผู้หนึ่ง
ชื่อของลู่หยางจึงมิได้ดังเพราะอำนาจ
หากแต่ดังเพราะ ศรัทธา
เหนือหอสูงของจวนเจ้าเมือง แสงจันทร์ขาวนวลตกกระทบโต๊ะไม้จันทน์ในห้องหนังสืออย่างเงียบงัน ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางเงาและแสง แววตาแน่วแน่สงบนิ่งราวกับหินผาฝ่ากาลเวลา คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อยยามจับสังเกตได้ถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล
บุรุษผู้นี้ รูปร่างสูงสง่า แม้จะผ่านวัยกลางคนมาแล้วแต่ยังรักษากายและใจดั่งเหล็กกล้า
ดวงตาเรียวคม เงียบขรึมดุจหยก เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เสียงพูดนุ่มทว่าเด็ดขาด ยามสั่งทหารเพียงกะพริบตาก็เข้าใจคำสั่ง
บนหน้าผากของเขา แม้จะมีรอยแผลเป็นจาง ๆ จากศึกเมื่อวัยหนุ่ม แต่กลับยิ่งเสริมความสง่าให้ราวกับดาบที่ผ่านการฟาดฟันมานับครั้งไม่ถ้วน
แม้นภายนอกสงบเยือกเย็น แต่มิใช่ไร้ความรู้สึก ในความนิ่งเงียบนั้น แฝงความเศร้าลึก ๆ บางอย่างซึ่งแม้แต่ผู้ใกล้ชิดก็ยังไม่กล้าเอ่ยถาม
ลู่หยางคือภูเขาที่ไม่เคยบ่นต่อฟ้า คือสายน้ำที่ไหลเชี่ยวโดยไม่ส่งเสียง เขามีบาดแผลแต่เลือกจะปกปิดมันไว้เบื้องหลังแววตาแน่วแน่นั้น
ค่ำคืนนี้ แม้จันทราจะยังคงลอยเด่น แต่ในใจของลู่หยาง คล้ายมีเมฆดำจากอดีตค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบงัน
แผนที่เขตชายแดนถูกคลี่ออกตรงหน้า ขีดเส้นด้วยหมึกแดงหลายจุดบ่งบอกถึงความไม่ปกติ แม้ภายนอกจะไร้ศึกสงคราม แต่ใต้ผิวของความสงบนั้น กลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน
“...แม่ทัพเฉินไม่เคยรายงานช้าเช่นนี้มาก่อน” ลู่หยางพึมพำ เขาเบือนสายตาไปยังม้วนรายงานข่าวลับที่เพิ่งส่งมาจากด่านหลงอวิ๋น ทว่าก่อนเขาจะหยิบมันขึ้นมา เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“เข้ามา” เสียงของเขาราบเรียบ ไม่ดังและไม่เบา
บ่าวรับใช้วัยกลางคนผู้ติดตามรับใช้มาเนิ่นนาน เดินเข้ามาพร้อมกล่องไม้เล็กสีเข้ม กลิ่นไม้เก่าจาง ๆ โชยมาพร้อมความเย็นของลมราตรี
“เรียนท่านเจ้าเมือง มีบุคคลปริศนาให้ข้าน้อยนำสิ่งนี้มามอบให้แก่ท่านขอรับ”
“ผู้ใดส่งมา”
“ข้าน้อยไม่เห็นหน้าผู้ส่งขอรับ เบื้องต้นข้าน้อยตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีกลไกพิษหรือความผิดปกติใด”
ลู่หยางพยักหน้า รับกล่องไม้นั้นมาด้วยมือข้างขวาที่เปื้อนหมึกดำจาง ๆ กล่องนั้นดูธรรมดาแต่แฝงความเก่าแก่ ราวกับผ่านกาลเวลามานานหลายปี
“เจ้าออกไปเถิด ข้าจะตรวจสอบเอง”
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นรับคำก่อนจะเดินถอยออกไปจากห้องหนังสือไปอย่างเงียบเชียบ
ลู่หยางพลิกกล่องเบา ๆ พลางใช้ปลายนิ้วไล้ตามรอยแกะสลักบนฝาไม้ที่ถูกขัดจนเรียบเนียน กล่องดูเก่า ทว่าไม่ใช่เก่าธรรมดา หากเป็นเก่าที่ผ่านฤดูกาลหลายชั่วคน เมื่อปลายนิ้วไล้ไปถึงมุมหนึ่งก็พบรอยไหม้เล็ก ๆ แห้งกรังราวกับคราบเลือดเก่าที่หลับใหลมานาน
เขาค่อย ๆ เปิดกล่อง ไม้เสียดสีกันส่งเสียงแผ่วคล้ายเสียงกระซิบจากสายลมหนาวภายในมีเพียงซองจดหมายหนึ่งที่ฉีกขาดเพียงเล็กน้อย หากแต่ไม่ปรากฏชื่อ ไม่ปรากฏตราประทับใด มุมกระดาษมีรอยเปื้อนสีน้ำตาลแดง ซึ่งอาจเป็นสีของหมึกหรือเลือดก็ไม่มีใครบอกได้
หากแต่เมื่อดวงตาของลู่หยางจับจ้อง รอยหมึกนั้นกลับคล้ายมีชีวิต เคลื่อนไหวไปในห้วงความทรงจำ มือของเขาหยุดนิ่ง ใจเต้นหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบจดหมายนั้นขึ้นมา
กระดาษแผ่นนั้นเย็นยะเยือกราวกับว่ามันได้ผ่านฤดูเหมันต์มาเนิ่นนาน
เมื่อคลี่ออก ลายพู่กันแปรงปรากฏขึ้น ลายมือหวัดแต่หนักแน่น เฉกเช่นเสียงของผู้ที่เป็นเจ้าของอักษรเหล่านี้
“ท่านยังจำค่ำคืนนั้นได้หรือไม่?”
ประโยคนั้นมิใช่คำถาม หากแต่เป็นสายลมแห่งความทรงจำที่พัดพาหัวใจให้สั่นไหว
ลู่หยางนิ่งงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนช้า ๆ เสี้ยวหนึ่งแห่งแววตา...ไม่ใช่ความเศร้า ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่คือความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่กล้าตั้งชื่อ
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง
Comments