“เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าใช่ไหม เจ้าคือของข้า จ้านกง...”
มือหยาบ เลื่อนไปวางที่แผ่นอกของชูจ้านกง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเปิดสาบเสื้อ มือหยาบลูบไล้ผิวเนื้ออันคุ้นเคย หือ!
“ชู่ว์! เจ้าคงไม่อยากให้มันดื่มเลือด ก่อนที่จะได้ร้องขอชีวิตหรอกนะ”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นชิดใบหู ลมหายใจที่ถูกควบคุมให้คงที่ ทั้งที่คนพูดกำลังเต็มไปด้วยโทสะ บอกได้ถึงประสบการณ์เชิงการรบได้เป็นอย่างดี
“ไม่คิดว่าคุณหนูชู จะชื่นชอบการอยู่ร่วมห้องกับบุรุษ จนต้องบุกเข้าห้อง พี่ชายตัวเองกลางดึกเยี่ยงนี้”
คมมีดเย็นเฉียบ กดลงไปในผิวเนื้อบริเวณลำคอ ทำให้ชายหนุ่มเผลอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตระหนกไปชั่วขณะ
“อย่าเอานิสัยของตัวเอง มาปรักปรำผู้อื่น มันควรเป็นข้า ที่ต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าเข้ามาในห้องพี่ชายข้าทำไม”
“มันคือเรื่องปกติ สำหรับข้าและเขา”
“เช่นนั้นรึ! แต่จากที่ข้าเห็น เจ้ากำลังทำในสิ่งที่มิควร”
หมับ! อ๊าก! จ้างเสิ่นคำรามลั่น เมื่อคมมีดกรีดผ่านผิวเนื้อของเขา ในจังหวะที่รวบจับข้อมือของชูเหมยฮวา ชายหนุ่มเคลื่อนกายมาอยู่กลางห้องนอน
ชูเหมยฮวา หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา แสงเทียนริบหรี่ อาจเป็นอุปสรรค ต่อสายตาคนที่ไร้วิชายุทธ์ แต่มิใช่กับนาง รวมถึงจ้างเสิ่นผู้นี้เช่นกัน
“ข้าไม่อยากทำร้ายสตรี กลับไปซะ! ข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“จวนสกุลชูคือบ้านของข้า มันควรเป็นเจ้าที่ต้องไป แต่...”
“อะไร!”
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินออกไปง่ายๆ มันหาใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะนี่คือยามวิกาล คนนอกที่เข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งสิ้น”
“เจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้”
“ข้าไม่ทำ แค่จะส่งเจ้ากลับจวน ด้วยตัวข้าเอง”
“อวดดี!”
ฟึ่บ! เท้าหนา เคลื่อนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่าคนที่ตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว ทำเพียงขยับเท้า หลบกระบวนท่าจู่โจม ราวกับว่ามันเป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น
จ้างเสิ่นขบกรามแน่น ก่อนจะพลิกกายเข้าจู่โจมหญิงสาว ด้วยความดุดันกว่าเดิมหลายเท่านัก ชูเหมยฮวา ยกยิ้มน้อยๆ นางต้องการให้อีกฝ่าย ลงมือมาให้เต็มกำลัง
เพื่ออ่านกระบวนท่า และตอบโต้ในคราเดียวเสียให้สิ้น หญิงสาวทำเพียงหลบหลีกไปรอบๆ และนั่นยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะ ให้แก่จ้างเสิ่น
“สตรีไร้ค่า เจ้าคิดว่าจะหลบข้าได้อีกนานแค่ไหน”
หมับ! มือบางรวบจับข้อมือของชายหนุ่ม ที่พุ่งเข้าหาตนเอง พร้อมทั้งเบี่ยงตัวไปด้านข้าง ทำให้หมัดนั้น เลยผ่านใบหน้าไปเพียงเฉียดฉิว
ปึก! และในจังหวะนั้นเอง ที่นางงอแขนเกร็งพลังไปที่ข้อศอก กระแทกเข้าใต้ชายโครง ของชายหนุ่มเต็มแรง ตุบ! ก่อนจะอาศัยความเจ็บจุกของอีกฝ่าย พลิกกายใช้เข่าซ้ำเข้าไปเต็มแรง จนร่างนั้นเซถอยไปชนกับเสาต้นใหญ่
อึก! ร่างสูงยืนดวงตาเบิกกว้าง หลังผิงเสาหิน โดยมีเท้าของหญิงสาว กดอยู่ที่ลำคอหนา แววตาเย็นเยียบ ที่สะท้องแสงเทียนริบหรี่ จากมุมห้อง ทำให้ชายหนุ่มสะท้านไหวอยู่ภายในใจ
มือหยาบ ยกรวบจับข้อเท้าของหญิงสาว ตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มพยายามออกแรง บิดข้อเท้านั้น ทว่ามันกลับไร้การขยับเขยื้อน
แต่กลับกัน...เท้าที่กดลำคอเขาอยู่นั้น มันยิ่งเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกนับเท่าตัว จนทำให้เขาเริ่มหายใจติดขัด เป็นไปได้อย่างไรกัน สตรีผู้ไม่เคยย่างเท้าออกนอกจวนสามี ไยถึงได้เก่งกาจราวนักรบ ถ้านางเติบโตในจวนสกุลชู เขาจะไม่แปลกใจเลย เพราะชูจ้านเจ๋อคือทหาร
แต่ถ้าจะให้สวีกงจื่อ สอนการต่อสู้ให้ภรรยาตัวประกัน ย่อมเป็นความโง่เขลาอย่างที่สุด และเขามั่นใจ ว่าสวีกงจื่อไม่มีวัน สอนลูกพยัคฆ์ ให้เป็นนักล่าอย่างแน่นอน
“จะ...เจ้าเป็นใครกันแน่...”
“ข้า...ชูเหมยฮวา บุตรสาวอัครเสนาบดี ชูต้านจง”
“มะ...ไม่...จริง”
ชายหนุ่มยังไม่อยากเชื่อ ไหนชูจ้านกง บอกเสมอว่าน้องสาว เป็นกุลสตรีในหอห้อง ทั้งอ่อนโยนบอบบาง แต่ที่เขาเห็นในตอนนี้ มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าจะไปถาม จากจวนสวีก็ย่อมได้ ว่าข้าคือตัวจริงหรือไม่ ข้า...ไม่จำเป็น ต้องปลอมเป็นตัวเอง และยิ่งไม่จำเป็นที่ ต้องอธิบายให้คนเยี่ยงเจ้าเข้าใจ เพราะเจ้า! ไม่ได้สำคัญ ต่อข้า...หรือครอบครัวของข้า”
หญิงสาวเพิ่มแรงกดเท้า ใบหน้างามเอียงไปมาช้าๆ ราวนางกำลังกลายเป็นคนวิปลาสไปแล้ว จ้างเสิ่นเริ่มใบหน้าเขียวคล้ำ ด้วยอากาศที่ผ่านเข้าปอดนั้น น้อยลงจนแทบจะไม่มีพอ ไปล่อเลี้ยงลมหายใจของเขาได้
“เจ้ามั่นใจตนเองมากไปจ้างเสิ่น ที่ผ่านมาเจ้าทำสิ่งใดต่อพี่ชายของข้าบ้าง ข้าจะไม่ไต่ถาม เพราะข้ายึดที่ปัจจุบัน เจ้าบังอาจคุกคามพี่ชายข้า โทษนี้สกุลจ้างต้องชดใช้”
“อ๊าก!!!”
เร็วเกินไปแล้ว เพียงเท้าของนาง ยกออกจากลำคอ มีดสั้นในมือ กลับเสือกแทง เข้าที่เข่าของเขาราวจับวาง ร่างสูงทรุดลงกุมบาดแผล ซึ่งกำลังมีเลือดไหลทะลักออกมา ราวทำนบแตก
ตุบ! ก๊อบ! เสียงกระดูกแตกหัก จากเท้าที่กระทืบ ลงมาซ้ำที่บาดแผล เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กลับไม่ทำให้คนที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมา ลมหายใจของชูจ้านกงยังคงสม่ำเสมอ
ต่างจากจ้างเสิ่นที่ตอนนี้ พยายามคลานไปที่ประตู เพื่อหนีร่างงาม ที่ก้าวตามเขาอย่างใจเย็น กึก! ความหวาดกลัวเริ่มทำงาน เมื่อขาของเขาถูกฝ่าเท้า ของชูเหมยฮวาเหยียบเอาไว้แน่น เขากำลังตกอยู่ ในพันธนาการของนางอีกครั้ง
“อ๊าก!!! ไม่นะ! เจ้าจะทำอะไรข้า”
จ้างเสิ่นดวงตาเบิกถลน จนแทบจะหลุดจากเบ้า เมื่อเห็นสิ่งที่ชูเหมยฮวาทำ เอ็นข้อเท้าของเขาทั้งสองข้าง ถูกทำให้ขาดสะบั้น และนั่นหมายความว่า ทั้งชีวิตของเขาไม่อาจเดินได้อีก แม้แต่การฝึกยุทธ์ขั้นสูง ที่เขากำลังจะก้าวถึงในอีกไม่ช้า
“นังปีศาจ!!”
“ข้ายังเมตตาเจ้าไม่พอหรือ นี่ข้ามีน้ำใจต่อเจ้ามากแล้ว ที่ไม่เอาลมหายใจเจ้า”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ช่างเสียดแทงหัวใจเขายิ่งนัก สกุลชูเมื่อก่อนไม่เคยมีใครขวางทางเขาได้ แต่วันนี้กลายเป็นเขา ที่ต้องหาหนทางออกจากที่นี่ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
“เรื่องนี้เจ้าต้องรับผิดชอบ นังแพศยา!”
“จะฟ้องร้องข้า...คิดดีแล้วรึ! หากเจ้าคิดว่า จะทำให้พี่ชายข้าอับอาย เจ้าต้องมั่นใจ ว่าสกุลจ้าง จะยังเก็บตัวน่าอัปยศเยี่ยงเจ้าเอาไว้ไหม! พี่ข้าอาจแค่หลบลี้ไปจากเมืองหลวง ส่วนเจ้า...”
“ไม่แล้วอย่างไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สงสัยว่าสิ่งใดกัน ทำให้ท่านพ่อ มาเยี่ยมเยียนข้า ทั้งที่ตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่คำถามไถ่ยังไม่เคยมีมา” “เจ้ามีสิทธิ์อันใด ขับไล่คนของข้าออกจากร้าน และยึดทุกอย่างไป” “คนของท่าน ไยไม่อยู่ในที่ของท่านเล่าเจ้าคะ จะมาอยู่ในพื้นที่ของข้ากับท่านแม่ได้อย่างไร ไม่มีกฎหมายข้อใดในแผ่นดิน ที่บอกว่าสินเดิม ที่ต้องส่งต่อจากแม่สู่ลูก เป็นของสามี ท่านพ่อกินใช้สิ่งของเหล่านั้นมานานปี ข้าจะไม่ถือสา แต่เมื่อข้าต้องการของ...ของข้าคืน ท่านพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ทัดทาน” “เผยอิงเถา! เจ้าก็รู้ว่าร้านค้าสองแห่ง คือรายได้หลักของสกุลเผย และมันต้องเป็นสินเดิมของข้าในภายหน้า” เผยอันหลิง เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ หญิงโง่คนนี้มิรู้ที่ตายจริงๆ อาจหาญมาต่อกรกับบิดาของนาง “รายได้หลัก มิใช่เบี้ยหวัดของท่านพ่อหรือ ส่วนเรื่องสินเดิม มันเกี่ยวอันใดกับทรัพย์สินของข้า มารดาเจ้าก็มี ก็ใช้สินเดิมของนางสิ! นี่ของแม่ข้า” “แต่เจ้าออกเรือนไปแล้วนะ!” เผยอันหลิง ยังคงตอบโต้ ด้วยน้ำเสียงของคนไม่ยอมแพ้ “นั่นยิ่งสมควรเป็นของข้า ตั้งแต่วันที่ข้า ก
“พาส่งตำรวจเถอะ” คล้ายกับเขา รู้ถึงความต้องการของพี่สาว จึงเลือกที่จะส่งลู่ถิงให้กับตำรวจ เพราะยังไงเมื่อเข้าไปอยู่ในคุก ลู่ถิงก็ไม่รอดอยู่ดี แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น “ฉันไม่กลัวแกหรอก นังฉู่หร่าน! แกด้วยไอ้ปัญญาอ่อน ฉันจะส่งพวกแกไปตายอีกครั้ง” ลู่ถิงพุ่งไปที่ขอบระเบียงกว้าง ก่อนจะพุ่งลงไปเบื้องล่าง โดยไม่มีใครคิดห้ามปราม อาจด้วยยังตกตะลึง กับคำพูดของหญิงสาวอยู่ก็เป็นได้ ฉู่หร่านมองไปจุดที่ลู่ถิงหายไป ชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มประดับ โบกมือให้กับเธอ กู้เจี๋ยน้อยของสกุลฉู่ น้องชายและลูกชายที่ทุกคนรัก กำลังโบกมือลา และเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย “หรานหร่าน อย่าร้อง เจี๋ยจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อด้วย เจี๋ยจะดูแลหรานหร่านเอง” หญิงสาวปล่อยโฮออกมา เหมือนเด็กในทันที เมื่อรอยยิ้มของกูเจี๋ย เลือนหายไป พร้อมกับร่างกาย ที่กลายเป็นเพียงแสงสีขาว จนเหลือเพียงความว่างเปล่า ในสายตาเธอ กู้เจี๋ย ลูกชายของเพื่อนพ่อ ที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุ เหลือรอดเพียงเด็กชายกู้เจี๋ย ที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน จนทำให้สมองไม่สามารถ ที่จะพัฒนาได้ทันร่างกาย
ภายในห้องนอนเล็กๆ สามแม่ลูกหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะตลอดสองวัน ทั้งร่างกายและจิตใจ ล้วนต้องใช้พลังงานเหลือล้นเผยอิงเถา นอนตรงกลาง ขนาบสองข้าง ด้วยลูกชายหญิง ทว่าเวลานี้ ใบหน้างามกลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ราวกับในความฝันของนาง มันคือสิ่งที่นางมิอยากพานพบ....‘หรานหร่าน...หรานหร่าน!’ เสียงร่ำร้องดังอยู่แสนไกล ทำให้หญิงสาวที่เวลานี้ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด พยายามวิ่งตามเสียงเรียกนั้นไป จนสุดฝีเท้า ทว่ายิ่งไล่ล่า ยิ่งดูเหมือนจะห่างไกลออกไป จนอยากจะตามทัน‘พ่อคะ แม่คะ หนูอยู่นี่...’มิติคู่ขนาด ปัจจุบัน ฉู่หร่านวิ่งตามเสียงจนสุดฝีเท้า ก่อนจะหยุดลง เมื่อภาพเบื้องหน้า ทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสีดำแบรนด์ดัง เป็นที่คุ้นตาของเธอเหลือเกิน หญิงสาวเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มให้มากขึ้น เสียงที่ได้ยิน เธอมั่นใจว่านั่นคือคิงส์ น้องชายแท้ๆ ของเธอ ที่ถูกเก็บเป็นความลับ เพราะคิงส์อยู่ในท้องแม่ ได้เพียงสองเดือน พ่อกับแม่ของเธอก็ตกลงแยกทางกันอย่างถาวร แม่จึงเลือกที่จะให้น้องชาย มีชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวาย กับธุรกิจหรือตระกูลของพ่ออีก แต่ก
“ไม่ขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เชิญฮูหยินน้อยด้านในเถิดขอรับ” พ่อบ้านจวงรีบปฏิเสธ เมื่อน้ำเสียงของฮูหยินน้อย แสดงชัดว่าไม่ยินยอม ต่อคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น “อืม” เผยอิงเถา อุ้มบุตรสาว มืออีกข้างจับมือบุตรชาย ก้าวผ่านเข้าไปภายในจวน แน่นอนว่าบ่าวชายหญิง ที่ติดตามเข้าไปนับสิบ ล้วนมีใบหน้าที่เย็นยา เยี่ยงนายสาวทั้งสิ้น สายตาที่มองคนในจวน เฉยชาเหมือนคนเหล่านั้น เป็นเพียงฝุ่นผงในสายตา “ท่านแม่” เจาเยียน กระทืบเท้าราวเด็กถูกขัดใจ เหล่ยฮูหยินที่เคยเอ็นดูลูกสะใภ้คนรอง บัดนี้นางทำได้เพียงเมินหน้าหนี เพราะความต่างของสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง ในตอนนี้มันราวฟ้ากับเหวลึก ยิ่งเห็นเผยอิงเถา พาบ่าวชายหญิง ที่ล้วนมีลักษณะดี ก้าวผ่านนางไป มันตอกย้ำว่านับจากนี้ อำนาจในมือจะถูกลิบคืน เห็นทีนางคงต้องนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อน หากผลีผลามลงมือ อาจไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก “ท่านแม่...” “เจ้ารู้ตัวไหม ว่าทำอะไรลงไป มิเพียงเจ้าที่ต้องอับอาย มันรวมถึงข้า และสกุลเจาของบิดาเจ้าด้วย ที่อบรมลูกหลานได้ไม่ดี” “นางกำลังเสแสร้งอยู่นะเจ้าคะ” “แล้วอย่าง
จวนสกุลเหล่ย ในช่วงเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดหน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ร่างสูงของถงเจี้ยน จะเดินมายื่นแขน ให้แก่นายหญิงได้วางมือ หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ หากใบหน้าอัปลักษณ์นี้ สวมหน้ากากปิดทับ มันจะดูดียิ่งนัก แต่ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขา นางไม่คิดก้าวก่าย “เริงร่าเสียจริงนะ มิรู้สำรวม” คำพูดที่ดังขึ้นจากหน้าประตู เรียกสายตาเย็นเยียบ ให้หันมองอย่างมิใคร่ใส่ใจ น้องสะใภ้คนงามนั่นเอง หึๆ คิดจะมายั่วยุ ให้นางอับอายต่อหน้าชาวบ้าน ที่ยังคงมีสัญจรผ่านไปมาสินะ! คิดดีแล้วกระมัง จึงได้อาจหาญเยี่ยงนี้ “การที่ข้าพาลูกๆ ออกไปเที่ยวเล่น มีสิ่งใดเสียหายกัน ในเมื่อข้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมือง หาได้ลักลอบอยู่ลำพังกับผู้ใด” “แล้วที่เจ้าพาบุรุษหน้าผีกลับมาด้วย จะให้ข้าและสกุลเหล่ยเข้าใจว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม เรียกสายตาผู้คน อย่างที่น้องสะใภ้ตั้งใจ คงมีคนกลับมา รายงานล่วงหน้าแล้วกระมัง จึงได้ตั้งใจมาดักรอหาเรื่องเช่นนี้ “คนของมารดาข้า ไยเขาจะติดตามมารับใช้นายมิได้” “ที่นี่จวนสกุลเหล่ย” “ใช่! ที่นี่สกุลเหล่ย และเป็นสกุลที่ใหญ่โต ทว่า
โรงเตี้ยมนอกเมืองหลวง คณะเดินทางของแม่ทัพหนุ่ม ได้หยุดพักค้างแรมในโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก หากเดินทางแบบมิหยุดพัก ไม่เกินสามวันก็ถึงเมืองหลวง การที่เขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน นั้นเพราะเขาอยากพบหน้าใครบางคน ก่อนที่จะกลับจวน เพื่อไปสะสางเรื่องที่ค้างคา ในเมื่อสตรีต่ำช้า อยากใช้เล่ห์กล เพื่อให้ได้เขามาครอง เขาก็จะทำให้นางซมซานออกไป เยี่ยงสุนัขเช่นกัน “ท่านแม่ทัพ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งแก่สกุลเหล่ย ก่อนไหมขอรับ” รองแม่ทัพคนสนิท เอ่ยถามผู้เป็นนาย ด้วยการกลับเมืองหลวง ในรอบหลายปีนี้ นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย สำหรับสกุลเหล่ย “ไม่ต้อง! ข้าอยากรู้ ว่าสิ่งที่ท่านแม่ ส่งข่าวให้จะจริงเท็จแค่ไหน หากเป็นอย่างที่ท่านแม่บอกมา ข้าจะได้หลุดพ้นเสียที” เจ็ดปีก่อน ณ จวนลั่วอ๋อง แม่ทัพหนุ่ม ผู้กำลังเป็นที่หมายปอง ของหญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวง ได้ร่วมดื่มกับเหล่าขุนนางใหญ่ ที่ต่างพากันเชิญชวนให้เขาดื่มด้วย แม่ทัพหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากนี่คือมารยาท ที่เขาต้องพึงรักษา แม้ว่าสายตาของเขา จะไม่ค่อยอยู่ในวงสนทนาเท่