“ท่านแม่ทัพชู ช่างสมกับเป็นบุตรชายกำพร้า มารยาทสักนิดก็หามีไม่”
เท้าหนาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังคนพูด สตรีผู้ไม่ถนอมน้องสาวของเขา ในฐานะสะใภ้ แค่หายใจร่วมเขาก็คิดว่าเกินพอแล้ว
“สตรีผู้เติบโตมาจากสกุลดี ย่อมไม่กล่าวว่าจาล่วงเกินบุพการีของผู้ใด นอกเสียจากไร้การอบรมอย่างแท้จริง”
“ชูจ้านเจ๋อ!”
ไร้การตอบโต้จากแม่ทัพหนุ่ม ร่างสูงเหวี่ยงกายขึ้นหลังม้า ที่คนสนิทจูงมาเทียบข้าง ก่อนจะใช้เท้ากระตุ้นม้าให้ออกเดิน ตามรถม้าของน้องสาว ที่เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า
“ท่านแม่ทัพสวี สวีฮูหยิน ข้าขอตัวก่อน”
หัวหน้าขันทีเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าของตน เพื่อติดตามไปส่งพี่น้องสกุลชู ตราบใดที่มีเขา ใครหน้าไหนก็ยากแตะต้องสองพี่น้อง นอกเสียจากคนที่ทำจะคิดคดต่อบัลลังก์
แม่ทัพหนุ่ม ประสานมือรับอย่างเสียมิได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถตั้งตัวรับได้ทัน พระราชโองการเหมือนถูกเตรียมเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านแม่ทัพ เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
ลั่วอิงเอ่ยถามสามี ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางก้าวเข้าจวนได้เพียงแค่สามวัน ภรรยาเอกก็หย่าขาดทันที สายตาผู้คนย่อมมองนางในทางไม่ดี
“ข้าไม่ได้มีเจ้าเป็นอนุคนแรก ถ้านางจะหย่าขาดกับข้าเพราะเจ้า ไยไม่ทำตั้งแต่ข้ารับอนุคนแรกเล่า เจ้าอย่าได้คิดมากเลย เรากลับเข้าข้างในกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“กงจื่อ ทุกอย่างอยู่ที่เจ้าแล้ว”
สวีฮูหยินสบตาบุตรชาย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปภายในจวน นับตั้งแต่สิ้นอดีตผู้นำสกุลสวี สถานะทางการเงิน เรียกว่าย่ำแย่เป็นที่สุด ยิ่งเมื่อสามีของนางตายไปเมื่อสองปีก่อน ความระส่ำระส่ายยิ่งมีมาก แต่ที่ยังอยู่รอดมาได้ ก็ด้วยสินเดิมของอดีตสะใภ้เอก
“ไปกันเถอะ”
แม่ทัพหนุ่มไม่เอ่ยตอบสิ่งใดมารดา เขาทำเพียงแตะที่เอวคอดของหญิงสาว แล้วพากลับเข้าไปในจวน แม้ว่าใจของเขาจะยังคลั่งแค้นอดีตภรรยา และพี่ชายของนางที่มาหยามเขาถึงหน้าบ้าน
จวนสกุลชู
รถม้าจอดเทียบลานกว้างหน้าจวน ซึ่งเรียกสายตาของชาวเมือง ที่อยู่รอบบริเวณ ให้มายืนรอดูว่าผู้ใดมา ชูเหมยฮวา ยื่นมือให้พี่ชายช่วยพยุง ก่อนจะก้าวลงมาด้านล่าง
สองพี่น้องยืนมองป้ายหน้าจวน มันยังคงความยิ่งใหญ่ เช่นวันวานที่จากไป และนั่น...คงเป็นความคิด ของแม่ทัพหนุ่มเพียงฝ่ายเดียว เพราะชูเหมยฮวาในตอนนี้ มีเพียงร่าง ทว่าจิตวิญญาณนั้น หาใช่นางแล้ว
“ท่านแม่ทัพ คุณหนู”
เสียงของชายชรา ดังขึ้นจากประตูบานกว้าง ที่เปิดอ้าออกได้เพียงเล็กน้อย พ่อบ้านจู ชายผู้อยู่เคียงสกุลชูมาทั้งชีวิต เท้าหนารีบก้าวเร็วออกมาจากจวน ตรงไปหานานน้อยทั้งสอง ที่จากบ้านไปแสนนาน
“ตาเฒ่านี่...บอกกี่หนแล้วว่าอายุมากแล้ว จะเดินเหินให้ช้าลงหน่อย”
ชูจ้านเจ๋อก้าวเข้าประคองชายชรา และไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายคุกเข่า เช่นที่จูชิน มักทำอยู่บ่อยครั้ง ในยามเขาได้กลับมาที่จวน ชูเหมยฮวา มองความอ่อนโยนของพี่ชาย แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ นางในชีวิตเดิม ก็มักจะแข็งนอกอ่อนใน โดยเฉพาะกับคนที่รัก นางจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ทัพ ครั้งนี้คุณหนู จะมาพักกับเราใช่ไหมขอรับ”
ชายชรามองไปที่คุณหนู ผู้ถูกนำตัวไปตั้งแต่สิ้นนายท่าน เขาเหมือนคนไร้ประโยชน์นักในเวลานั้น ที่ไม่อาจปกป้องนายทั้งสองเอาไว้ได้
“นางจะกลับมาให้ท่านดูแล”
“ท่านลุงจู จะร้องไห้ไปไย ข้าก็กลับมาแล้วอย่างไรเล่า”
จูชิน มักไปเยี่ยมเยียนหญิงสาว ที่สกุลสวีอยู่มิขาด แม้จะไม่ได้พบกันเกินครึ่งก้านธูป แต่อย่างน้อย มันก็คลายความห่วงใยไปบ้าง กับการได้เห็นความเป็นอยู่ของนาง
“พวกเขาไม่ดีต่อคุณหนู เยี่ยงนั้นหรือขอรับ”
น้ำเสียงของชายชรา ดูจะแข็งขึ้นมาอีกระดับ แววตาพลันแปรเปลี่ยนไป ก่อนมันจะอ่อนแสงลง เมื่อมือบางวางบนมือเหี่ยวย่น พร้อมแรงบีบเบาๆ
“จะดีหรือร้าย ตอนนี้...ข้าก็เลือกกลับมาเป็นภาระ ของท่านลุงกับพี่ใหญ่แล้ว”
“พวกเจ้า คิดจะกลับมาช่วงชิงอำนาจ จากข้าเยี่ยงนั้นรึ!”
น้ำเสียงกร้าว ทว่าคล้ายกำลังข่มกลั้นน้ำตา ดังมาจากด้านหน้าประตู ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น มองตรงไปยังพี่น้อง ดวงตาไหวระริก ด้วยความยินดีจนเขาจุกไปทั้งอก
สิบห้าปีเชียวนะ ที่น้องน้อยตกเป็นตัวประกัน พี่ชายต้องอยู่ภายใต้การบงการของสกุลสวี ส่วนคนพิการแบบเขา ทำได้เพียงเฝ้ารอการกลับมาของพี่น้อง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกลับมาเป็นใหญ่ในสกุลชู”
หญิงสาวผละจากชายชรา เดินตรงเข้าหาพี่ชายคนรอง เหลือแค่นี้จริงๆ ครอบครัวของพวกเขา
“เจ้าโตขึ้นมาก พี่ขอโทษที่มิเคยไปหาเจ้าเลย”
“แค่ท่านส่งขนมให้ข้ากินทุกครั้ง ที่ท่านลุงจูไปเยี่ยม แค่นั้นข้าก็ดีใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
มือบางวางมือบนเข่าของพี่ชาย เท่าที่รู้มา ชูจ้านกงถูกทำร้าย ในตอนที่พ่อแม่ปู่ย่าถูกสังหาร อาการเขาในตอนนั้น เรียกได้ว่าครึ่งเป็นครึ่งตาย
ทว่าในบางความรู้สึก ได้สะกิดเตือนหญิงสาวให้ระวัง ด้วยสัญชาตญาณของนักรบ และผู้สำเร็จราชการแทน นางมั่นใจยิ่งนัก ว่าภายใต้แววตารักใคร่ ของชูจ้านกง มีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
“ท่านแม่ทัพ คุณชายรอง คุณหนูชู ข้าส่งพวกท่านถึงบ้านแล้ว ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอตัวกลับก่อน” หัวหน้าขันทีเอ่ยขึ้น ก่อนจะประสานมือให้แก่ทั้งสาม
“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับหัวหน้าขันที แน่นอนว่าเรื่องนี้ หากไม่ได้หัวหน้าขันที ช่วยเป็นธุระจัดการ ทุกอย่างคงไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
“อย่าได้เกรงใจ”
“วันหน้า เชิญท่านมาร่วมดื่มกับข้าสักครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทน”
“ยินดี”
ชูเหมยฮวา ลอบมองพี่ชาย กับหัวหน้าขันที ชายผู้นี้เป็นดั่งมือเท้า และดวงตาของฮ่องเต้ ทั้งที่อายุเขา มิห่างจากพี่ชายของนางเท่าใดนัก ฝีมือย่อมต้องไม่ธรรมดา
วังหลวงล้วนเต็มไปด้วยอสรพิษ ชายหนุ่มวัยเท่านี้ ก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าขันที แม้จะบอกว่าสืบทอดมาจากขันทีเฒ่า ผู้เป็นบิดาบุญธรรม แต่ถ้าไร้สามารถ ย่อมมิอาจควบคุมสิ่งใดได้เลย
“ชูเหมยฮวา ต้องขอบคุณท่านเมิ่งจื่ออีกครั้ง หากไร้ความเมตตา ชูเหมยฮวาคงยากจะหลุดพ้น”
“วันหน้าหากมีสิ่งใด ให้บอกข้า คิดเสียว่าข้าคือพี่ชายเจ้าอีกคน ข้าไปล่ะ...”
“ไม่แล้วอย่างไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สงสัยว่าสิ่งใดกัน ทำให้ท่านพ่อ มาเยี่ยมเยียนข้า ทั้งที่ตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่คำถามไถ่ยังไม่เคยมีมา” “เจ้ามีสิทธิ์อันใด ขับไล่คนของข้าออกจากร้าน และยึดทุกอย่างไป” “คนของท่าน ไยไม่อยู่ในที่ของท่านเล่าเจ้าคะ จะมาอยู่ในพื้นที่ของข้ากับท่านแม่ได้อย่างไร ไม่มีกฎหมายข้อใดในแผ่นดิน ที่บอกว่าสินเดิม ที่ต้องส่งต่อจากแม่สู่ลูก เป็นของสามี ท่านพ่อกินใช้สิ่งของเหล่านั้นมานานปี ข้าจะไม่ถือสา แต่เมื่อข้าต้องการของ...ของข้าคืน ท่านพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ทัดทาน” “เผยอิงเถา! เจ้าก็รู้ว่าร้านค้าสองแห่ง คือรายได้หลักของสกุลเผย และมันต้องเป็นสินเดิมของข้าในภายหน้า” เผยอันหลิง เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ หญิงโง่คนนี้มิรู้ที่ตายจริงๆ อาจหาญมาต่อกรกับบิดาของนาง “รายได้หลัก มิใช่เบี้ยหวัดของท่านพ่อหรือ ส่วนเรื่องสินเดิม มันเกี่ยวอันใดกับทรัพย์สินของข้า มารดาเจ้าก็มี ก็ใช้สินเดิมของนางสิ! นี่ของแม่ข้า” “แต่เจ้าออกเรือนไปแล้วนะ!” เผยอันหลิง ยังคงตอบโต้ ด้วยน้ำเสียงของคนไม่ยอมแพ้ “นั่นยิ่งสมควรเป็นของข้า ตั้งแต่วันที่ข้า ก
“พาส่งตำรวจเถอะ” คล้ายกับเขา รู้ถึงความต้องการของพี่สาว จึงเลือกที่จะส่งลู่ถิงให้กับตำรวจ เพราะยังไงเมื่อเข้าไปอยู่ในคุก ลู่ถิงก็ไม่รอดอยู่ดี แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น “ฉันไม่กลัวแกหรอก นังฉู่หร่าน! แกด้วยไอ้ปัญญาอ่อน ฉันจะส่งพวกแกไปตายอีกครั้ง” ลู่ถิงพุ่งไปที่ขอบระเบียงกว้าง ก่อนจะพุ่งลงไปเบื้องล่าง โดยไม่มีใครคิดห้ามปราม อาจด้วยยังตกตะลึง กับคำพูดของหญิงสาวอยู่ก็เป็นได้ ฉู่หร่านมองไปจุดที่ลู่ถิงหายไป ชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มประดับ โบกมือให้กับเธอ กู้เจี๋ยน้อยของสกุลฉู่ น้องชายและลูกชายที่ทุกคนรัก กำลังโบกมือลา และเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย “หรานหร่าน อย่าร้อง เจี๋ยจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อด้วย เจี๋ยจะดูแลหรานหร่านเอง” หญิงสาวปล่อยโฮออกมา เหมือนเด็กในทันที เมื่อรอยยิ้มของกูเจี๋ย เลือนหายไป พร้อมกับร่างกาย ที่กลายเป็นเพียงแสงสีขาว จนเหลือเพียงความว่างเปล่า ในสายตาเธอ กู้เจี๋ย ลูกชายของเพื่อนพ่อ ที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุ เหลือรอดเพียงเด็กชายกู้เจี๋ย ที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน จนทำให้สมองไม่สามารถ ที่จะพัฒนาได้ทันร่างกาย
ภายในห้องนอนเล็กๆ สามแม่ลูกหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะตลอดสองวัน ทั้งร่างกายและจิตใจ ล้วนต้องใช้พลังงานเหลือล้นเผยอิงเถา นอนตรงกลาง ขนาบสองข้าง ด้วยลูกชายหญิง ทว่าเวลานี้ ใบหน้างามกลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ราวกับในความฝันของนาง มันคือสิ่งที่นางมิอยากพานพบ....‘หรานหร่าน...หรานหร่าน!’ เสียงร่ำร้องดังอยู่แสนไกล ทำให้หญิงสาวที่เวลานี้ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด พยายามวิ่งตามเสียงเรียกนั้นไป จนสุดฝีเท้า ทว่ายิ่งไล่ล่า ยิ่งดูเหมือนจะห่างไกลออกไป จนอยากจะตามทัน‘พ่อคะ แม่คะ หนูอยู่นี่...’มิติคู่ขนาด ปัจจุบัน ฉู่หร่านวิ่งตามเสียงจนสุดฝีเท้า ก่อนจะหยุดลง เมื่อภาพเบื้องหน้า ทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสีดำแบรนด์ดัง เป็นที่คุ้นตาของเธอเหลือเกิน หญิงสาวเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มให้มากขึ้น เสียงที่ได้ยิน เธอมั่นใจว่านั่นคือคิงส์ น้องชายแท้ๆ ของเธอ ที่ถูกเก็บเป็นความลับ เพราะคิงส์อยู่ในท้องแม่ ได้เพียงสองเดือน พ่อกับแม่ของเธอก็ตกลงแยกทางกันอย่างถาวร แม่จึงเลือกที่จะให้น้องชาย มีชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวาย กับธุรกิจหรือตระกูลของพ่ออีก แต่ก
“ไม่ขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เชิญฮูหยินน้อยด้านในเถิดขอรับ” พ่อบ้านจวงรีบปฏิเสธ เมื่อน้ำเสียงของฮูหยินน้อย แสดงชัดว่าไม่ยินยอม ต่อคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น “อืม” เผยอิงเถา อุ้มบุตรสาว มืออีกข้างจับมือบุตรชาย ก้าวผ่านเข้าไปภายในจวน แน่นอนว่าบ่าวชายหญิง ที่ติดตามเข้าไปนับสิบ ล้วนมีใบหน้าที่เย็นยา เยี่ยงนายสาวทั้งสิ้น สายตาที่มองคนในจวน เฉยชาเหมือนคนเหล่านั้น เป็นเพียงฝุ่นผงในสายตา “ท่านแม่” เจาเยียน กระทืบเท้าราวเด็กถูกขัดใจ เหล่ยฮูหยินที่เคยเอ็นดูลูกสะใภ้คนรอง บัดนี้นางทำได้เพียงเมินหน้าหนี เพราะความต่างของสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง ในตอนนี้มันราวฟ้ากับเหวลึก ยิ่งเห็นเผยอิงเถา พาบ่าวชายหญิง ที่ล้วนมีลักษณะดี ก้าวผ่านนางไป มันตอกย้ำว่านับจากนี้ อำนาจในมือจะถูกลิบคืน เห็นทีนางคงต้องนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อน หากผลีผลามลงมือ อาจไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก “ท่านแม่...” “เจ้ารู้ตัวไหม ว่าทำอะไรลงไป มิเพียงเจ้าที่ต้องอับอาย มันรวมถึงข้า และสกุลเจาของบิดาเจ้าด้วย ที่อบรมลูกหลานได้ไม่ดี” “นางกำลังเสแสร้งอยู่นะเจ้าคะ” “แล้วอย่าง
จวนสกุลเหล่ย ในช่วงเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดหน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ร่างสูงของถงเจี้ยน จะเดินมายื่นแขน ให้แก่นายหญิงได้วางมือ หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ หากใบหน้าอัปลักษณ์นี้ สวมหน้ากากปิดทับ มันจะดูดียิ่งนัก แต่ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขา นางไม่คิดก้าวก่าย “เริงร่าเสียจริงนะ มิรู้สำรวม” คำพูดที่ดังขึ้นจากหน้าประตู เรียกสายตาเย็นเยียบ ให้หันมองอย่างมิใคร่ใส่ใจ น้องสะใภ้คนงามนั่นเอง หึๆ คิดจะมายั่วยุ ให้นางอับอายต่อหน้าชาวบ้าน ที่ยังคงมีสัญจรผ่านไปมาสินะ! คิดดีแล้วกระมัง จึงได้อาจหาญเยี่ยงนี้ “การที่ข้าพาลูกๆ ออกไปเที่ยวเล่น มีสิ่งใดเสียหายกัน ในเมื่อข้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมือง หาได้ลักลอบอยู่ลำพังกับผู้ใด” “แล้วที่เจ้าพาบุรุษหน้าผีกลับมาด้วย จะให้ข้าและสกุลเหล่ยเข้าใจว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม เรียกสายตาผู้คน อย่างที่น้องสะใภ้ตั้งใจ คงมีคนกลับมา รายงานล่วงหน้าแล้วกระมัง จึงได้ตั้งใจมาดักรอหาเรื่องเช่นนี้ “คนของมารดาข้า ไยเขาจะติดตามมารับใช้นายมิได้” “ที่นี่จวนสกุลเหล่ย” “ใช่! ที่นี่สกุลเหล่ย และเป็นสกุลที่ใหญ่โต ทว่า
โรงเตี้ยมนอกเมืองหลวง คณะเดินทางของแม่ทัพหนุ่ม ได้หยุดพักค้างแรมในโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก หากเดินทางแบบมิหยุดพัก ไม่เกินสามวันก็ถึงเมืองหลวง การที่เขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน นั้นเพราะเขาอยากพบหน้าใครบางคน ก่อนที่จะกลับจวน เพื่อไปสะสางเรื่องที่ค้างคา ในเมื่อสตรีต่ำช้า อยากใช้เล่ห์กล เพื่อให้ได้เขามาครอง เขาก็จะทำให้นางซมซานออกไป เยี่ยงสุนัขเช่นกัน “ท่านแม่ทัพ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งแก่สกุลเหล่ย ก่อนไหมขอรับ” รองแม่ทัพคนสนิท เอ่ยถามผู้เป็นนาย ด้วยการกลับเมืองหลวง ในรอบหลายปีนี้ นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย สำหรับสกุลเหล่ย “ไม่ต้อง! ข้าอยากรู้ ว่าสิ่งที่ท่านแม่ ส่งข่าวให้จะจริงเท็จแค่ไหน หากเป็นอย่างที่ท่านแม่บอกมา ข้าจะได้หลุดพ้นเสียที” เจ็ดปีก่อน ณ จวนลั่วอ๋อง แม่ทัพหนุ่ม ผู้กำลังเป็นที่หมายปอง ของหญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวง ได้ร่วมดื่มกับเหล่าขุนนางใหญ่ ที่ต่างพากันเชิญชวนให้เขาดื่มด้วย แม่ทัพหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากนี่คือมารยาท ที่เขาต้องพึงรักษา แม้ว่าสายตาของเขา จะไม่ค่อยอยู่ในวงสนทนาเท่