หญิงสาวสะบัดใบหน้าไปมา เมื่อท่อนเอ็นอุ่นร้อนผ่านเข้าไปในคราวเดียว มือบางขยุ้มผ้าปูเอาไว้แน่น พร้อมกับที่ตัวนางครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเอวสอบของชายหนุ่ม เริ่มขยับจากเนิบช้า เป็นกระชั้นถี่ขึ้น ความร้อนภายในกาย มันแทรกผ่านไปทุกอณูรูขุมขนเลยก็ว่าได้ เมื่อการเสียดสีมันระรัวเร็ว จนนางเสียวสะท้านไปทั้งกาย“โอ้วววว อ๊า...แรงอีกได้หรือไม่ กรี๊ดด เสียวอะไรเยี่ยงนี้”หญิงสาวทั้งเร่งเร้า ให้ชายหนุ่มเพิ่มความรุนแรง ในการกระแทกใส่ร่างนางให้มากขึ้นอีก เมื่อชายหนุ่มตามใจ นางก็กรีดร้องออกมา ทั้งยังครางไม่เป็นสรรพนางไม่เคยจะรู้สึกเสียวซ่าน จนหูอื้อตาลายเยี่ยงนี้มาก่อน มันช่างดีเหลือเกิน หญิงสาวขยับยกก้นเด้งสวนรับ แรงกระแทกกระทั้นเข้าใส่กายนางของชายหนุ่ม มันช่างสอดรับกันดีเหลือเกินหยางเฮ่อหลงครางเสียงสั่น เมื่อความเสียวซ่านมันแผ่ไปตลอดทั้งร่าง มือข้างหนึ่งจับที่เอวคอดของนาง อีกข้างเลื่อนไปบีบเค้นเต้าเต่งตึงอย่างเมามันแม้บทรักจะร้อนแรงแค่ไหน ใบหน้าครึ่งหนึ่งของหญิงสาวยังคงปกปิดด้วยหน้ากาก ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่คิดที่จะดึงมันออก เขามองว่ามันยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้กับการร่วมรักครั้งนี้ชายหนุ่มเร
หยางเฮ่อหลง ผละออกจากอกอิ่ม ก่อนจะรีบจัดการกับเสื้อผ้าของตนเอง เขาอยากที่จะสัมผัส กับกายหอมกรุ่นนี้ให้แนบชิดยิ่งขึ้น“อย่าทำแบบนี้ ข้ามิใช่สตรีในหอสุรา”เมื่อได้โอกาสที่จะร้องขอให้เขาปล่อยนางไป หญิงสาวจึงรีบกอดอกเอาไว้แน่น แล้วบอกแก่เขา ว่านางมิใช่หญิงคณิกา“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ สตรีในหอสุราล้วนมีเพื่อบุรุษ เจ้าอยากได้เงินเพิ่มใช่หรือไม่ มิต้องห่วง...ขอแค่ทำให้ข้าพอใจ ข้าจะให้มากกว่าที่เจ้าเคยได้ถึงสามเท่า”หยางเฮ่อหลงหรือจะเชื่อ เพราะนี่คือมารยาที่หญิงในหอสุรา มักจะสรรหามาเพิ่มค่าตัว ซึ่งถ้าเขาพึงพอใจ ย่อมมิใช่ปัญหาที่เขาจะจ่ายให้แก่นาง“ไม่นะ! ปล่อยข้า!”หญิงสาวไม่อาจบอกชื่อแซ่ของตนเองได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เรื่องนี้หลุดออกไป ศักดิ์ศรีที่นางทะนงมาตลอด คงไม่เหลือให้ได้อวดต่อหน้าใครอีกแล้วแคว่ก! เสียงกระโปรงของนางถูกฉีกขาดออกจากร่าง ประหนึ่งความอัปยศ ที่นางต้องแบกรับไปทั้งชีวิต ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ไยนางไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหอสุราจะมีเรื่องแบบนี้ซุกซ่อนอยู่ มิใช่สถานที่เริงรมย์ที่ใครๆ ก็มาได้หรือ...หรือจำกัดแค่บุรุษเท่านั้นที่เข้ามาได้หยางเฮ่อหลงยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเรือนร่างที่
“ขอรับ”หยางเฮ่อหลงรับคำ ก่อนจะเดินไปยังจุดแจกสิ่งของ ซึ่งมีสตรีถึงสามคนที่ทำให้เขาอยากชิดใกล้ เสียอย่างเดียวที่มีพวกบ้านนอกอยู่เยอะไปหน่อย“พี่รอง มาทำความรู้จัก กับสหายของพี่หญิงคังอันสิเจ้าคะ”หยางหลิงหลง ที่มิรู้ประสาเรื่องสายตาบุรุษ รีบเอ่ยชักชวนพี่ชายคนรอง ให้มาทำความรู้จัก กับชายสหายของว่าที่พี่สะใภ้ ด้วยน้ำเสียงสดใส“พวกบ้านนอก มีค่าอันใดให้ข้าต้องทำความรู้จักหรือ”หยางเฮ่อหลง เบะปากอย่างรังเกียจต่อชายหนุ่มทั้งหก มิใช่เพียงแค่ดูหมิ่นว่ามาจากบ้านนอก แต่เพราะชายทั้งหกนั้น ดูดีและองอาจจนเขามิอาจเทียบเคียง“หึๆ คนไร้ค่าที่ดีแต่ปาก ก็ไม่คู่ควรให้ขุนพลแบบพวกข้ารู้จักเช่นกัน สวะก็คือสวะ จะเกิดมาจากเลือดดีแค่ไหน ก็ไร้ค่าถ้ายังไม่เรียนรู้จะรักษามารยาท”เมิ่นหยู๋เฟิง ชายที่เงียบที่สุดในกลุ่ม กลับเป็นคนที่พูดแบบนี้ออกมา ทั้งยังเต็มไปด้วยความเยาะหยันอย่างไม่คิดปิดบัง“แกว่าใคร!”หยางเฮ่อหลง ชี้นิ้วไปยังเมิ่งหยู่เฟิง และตอนนั้นเองที่ลั่วอันผิงได้ขยับมาบังชายหนุ่มเอาไว้ ใบหน้างามของนางบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้ลั่วคังอันเลิกคิ้วสูง กับปฏิกิริยาของน้องสาวเพียงคนเดียว“นี่คืองานที่เป
สามวันถัดมา ณ จวนแม่ทัพลานกว้างหน้าจวน คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ที่มาร่วมแสดงความยินดี กับทายาทรุ่นหลานของท่านแม่ทัพใหญ่ โดยมีชาวเมืองที่ยากไร้มารอรับของแจก อยู่ไม่น้อยเช่นกันคุณหนูใหญ่ลั่วและคุณหนูสาม สองพี่น้องได้พากันออกมายืนคอยแจกข้าวสาร และอาหารแห้งให้แก่ผู้มารอรับ ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่นั้นได้ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูใหญ่ คำกล่าวแสดงความยินดีมีมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะมีรถม้าคันใหญ่มาจอดเทียบ ชื่อที่สลักบนรถม้ามาจากสกุลหยาง และนั่นเองที่ทำให้ลั่วคังอัน มอบหน้าที่ให้น้องสาวและสหายทั้งหก ช่วยกันแจกจ่ายสิ่งของหญิงสาวก้าวมาหยุดอยู่เคียงข้างบิดา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อท่านมหาเสนาบดี และฮูหยินผู้เฒ่าก้าวลงมา ก่อนที่หยางสวี่เหยาจะนำรถเข็น มาจอดเทียบใกล้หน้าประตูรถม้า ชายหนุ่มรีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า ก่อนจะพาร่างของผู้เป็นนายลงมาลั่วคังอันเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงรถเข็น หญิงสาวช่วยจับเอาไว้มั่น รอยยิ้มพิมพ์ใจของนาง ทำให้สองสามีภรรยา ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกเสียให้ได้หลานสะใภ้ที่ควรจะดุดันเยี่ยงนักรบ กลับมีความอ่อนโยน และงดงามยิ่งนัก แม้ผิวพรรณจะไม่ได้ขาวนวลเนียน ทว่าผิวสีน้ำผึ้งของนาง กลับส่งให้ใบห
แม่ทัพหนุ่ม เอื้อมมือไปหยิบเอาหยกนั้นมาพิจารณา ก่อนจะล้วงเอาหยกของตนเองออกมาเทียบ มันคือของภรรยา ที่เขาเก็บติดกายเอาไว้ นับตั้งแต่นางจากไปมือหยาบค่อยๆ ไล้หยกทั้งสองชิ้นอย่างระลึกถึงเจ้าของ เป็นของนางจริงๆ สิ่งที่นางบอกไว้ไม่เคยผิดสักอย่าง แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่ได้เห็นคนที่รอมานาน กลับมาให้ชื่นใจ“สิ่งใดที่เจ้าต้องการตกลงกับข้า”เมื่อมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้า คือน้องสาวภรรยาจริงๆ เขาจึงต้องการรู้ข้อตกลง ที่นางบอกไว้ในคราแรก“ยามว่างข้าขอมาดูแลหลานๆ ได้หรือไม่”หญิงสาวไม่ได้ละสายตา ไปจากใบหน้าของอดีตพี่เขย นางขอแค่นี้...ขอแค่ได้เห็นหลานๆ และเรียกนางว่าน้า เท่านี้ก็ดีมากแล้ว“เจ้ายังจะกลับสกุลมู่หรือ”“ใช่! เพราะมีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่ข้าจะปกป้องคู่แฝดเอาไว้ได้ อำนาจต้องมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ท่านคือบิดาจงอยู่ในที่แจ้งเสีย ในที่มืดข้าที่เป็นน้าจะจัดการเองทั้งหมด”หญิงสาวตอบไปแบบไม่อ้อมค้อม เพราะมันไม่จำเป็นที่นางต้องเสแสร้ง ใครบ้างไม่รู้ว่าสำนักคุ้มภัยหลายแห่ง ล้วนด้านที่มืดมนแฝงอยู่ สำนักคุ้มภัยสกุลมู่ กว่านางจะช่วงชิงมาได้ นางต้องใช้ทุกวิถีทางให้ได้มันมา ตามที่พ่อแม่บุญธรรมคาด
“เชิญนั่ง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” สองหนุ่มสาวนั่งลงตรงข้ามกัน เวลานี้มู่เนี่ยนฉิงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลา แม้มันจะมีรอยแผลเป็นพาดผ่านซีกหน้าด้านหนึ่ง แต่ก็มิอาจกลบความรูปงามของเขาได้เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมพี่สาวที่ครองโสดมาเสียจนเลยวัยออกเรือน ยอมแต่งแก่ชายผู้นี้ “มีสิ่งใดจะคุยกับข้าหรือ” “หากข้าพูดไปท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันคือเรื่องจริง ส่วนข้อตกลงนั้น ค่อยว่ากันหลังจากเรื่องนี้” นางไม่รู้ว่าพี่สาวจะเล่าเรื่องของนาง ให้แก่คนตรงหน้าได้รับรู้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นนางจึงต้องบอกเขาให้เข้าใจ ว่าทุกอย่างที่พูดไป จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นางยังจะยืนยันว่าทุกอย่างคือความจริงทั้งหมด “อืม...” แม่ทัพหนุ่มรับคำในลำคอ “ข้าคือน้องสาวของพี่หญิงอวี่เยว่หลิง” “...” แม่ทัพหนุ่มไม่ได้ถามสิ่งใด คงมีเพียงแววตาที่ดุดันขึ้น จับจ้องอยู่บนใบหน้างามของหญิงสาว เขายอมรับว่ายังไม่เห็นแววตาหลอกลวงจากคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะผายมือให้นางพูดต่อ “เมื่อตอนข้าอายุเพียงเจ็ดขวบ พี่สาวข้าป่วยหนักมาก แต่เราไม่มีเงินรักษานาง ตอน