LOGINมาลีเลือกเสื้อผ้าที่มีอยู่มากขึ้นมาสวม เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเตรียมจะขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อเอาอาหารออกไปส่งน้องสามีที่ไปเลี้ยงควายก่อนแล้ว ป่านนี้พวกเขาคงนอนรอแล้วกระมัง เพราะเมื่อคืนก็ไปดูหมอลำกันจนดึกดื่นเหมือนกัน
“เธอจะไปไหน” เคนเอ่ยถามภรรยา
“ไปนาค่ะ” ถึงจะยังมึนศีรษะอยู่บ้างแต่ก็พอทนได้ ไปถึงนาแล้วค่อยนอนพักก็แล้วกัน เพราะถ้าเธอไม่ไปพวกน้อง ๆ ของเขาก็คงไม่มีข้าวกิน
“เดี๋ยวพี่ไปด้วย” ปกติถ้าเธอเมาค้างก็อย่าหวังว่าจะมีใครได้กินข้าวจากเธอ
“หนูไปด้วยค่ะ”
“ผมไปด้วยครับ”
ลูกทั้งสองปาดน้ำตาแล้วขอตามไปด้วย
“พี่เคนเดินกลับไหวเหรอคะ” ความจำเดิมบอกเธอว่า เขาเดินไปนาและหอบไปตลอดทาง และต้องนั่งพักหลายครั้งกว่าจะถึงนา
“วันนี้พี่จะเอารถอีแต๊กไปก็แล้วกัน” ปกติถ้าไม่มีอะไรให้บรรทุกของหนัก ๆ กำพลจะไม่ยอมให้ลูกคนไหนใช้รถอีแต๊กเด็ดขาด ช่วงนี้มีแต่เลี้ยงควายอย่างเดียวยิ่งแตะไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้เคนจำเป็นต้องใช้มัน
“รถอีแต๊กเหรอคะ” มาลียืนคิดถึงรูปร่างหน้าตาของรถอีแต๊กอยู่ครู่หนึ่ง
อ้อ รถที่เอารถไถนาเดินตามมาต่อพ่วงเข้ากับสิ่งที่คล้ายกับเกวียนไม้นั่นเอง แต่ด้านข้างจะเตี้ยกว่าเกวียนมาก
“อือ แต่เธอต้องกินข้าวก่อน”
มาลีมองถ้วยข้าวต้มที่อยู่ในมือเขาแล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม แต่เธอจะลองซดน้ำข้าวต้มร้อน ๆ ดู เผื่ออาการจะดีขึ้น อีกอย่างเธอจะได้กินยาที่หมอให้มาด้วย แต่ตอนนี้อาการเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว ร่างกายผู้หญิงคนนี้แข็งแรงจริง ๆ
กินข้าวเสร็จมาลีเดินไปร้านค้าในหมู่บ้านกับลูก ๆ เพื่อซื้อน้ำแข็งหลอดใส่กระติกออกไปนาด้วย เพราะช่วงเดือนสามถึงเดือนห้าอากาศที่นี่จะร้อนมาก
พอเจ้าของร้านขายของชำเห็นหน้ามาลีก็รีบทักขึ้นทันที “ฟื้นแล้วเหรอม่วย” ข่าวที่ว่าเธอโดนลูกหลงจนสลบเมื่อคืนชาวบ้านลือกันให้แซด รวมถึงที่เธอควงสกลไปดูหมอลำด้วย พอเมาได้ที่หน่อยความกล้าของเธอคงมากตามไปด้วย แม้แต่ผัวเธอก็ไม่สนใจ
“ค่ะป้าศรี”
“วันนี้เอากี่เป๊กดี” สมศรีถามพลางหยิบขวดเหล้าขาวที่วางอยู่บนโต๊ะมาเตรียมพร้อม มืออีกข้างคว้าแก้วใบเล็กสำหรับตวงเหล้าขายมาเคียงข้าง
มาลียิ้มแหยให้แล้วว่าไปตามน้ำ แค่คิดถึงเหล้าขาวก็รู้สึกแสบคอรอแล้ว “วันนี้ไม่เอาดีกว่าค่ะ ฉันอยากพักตับมันบ้างน่ะ เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย”
“แล้วบุหรี่ล่ะ เอากี่ตัวดี”
“ไม่เหมือนกันค่ะ วันนี้จะมาซื้อน้ำแข็งและก็ขนมให้เด็ก ๆ ก็พอค่ะ”
สมศรีทำหน้างงหนักขึ้นและมองหน้ามาลีอย่างไม่เชื่อสายตา เหล้าก็ไม่ บุหรี่ก็ไม่ เป็นไปได้อย่างไรที่วันนี้เธอจะไม่ได้เงินค่าเหล้าค่ายาจากลูกค้าประจำคนนี้
สมศรีตักน้ำแข็งใส่กระติกสองใบให้มาลีจนเต็มและนำไปวางไว้ข้างโต๊ะคิดเงิน
“อุ่นกับเอื้อจะเอาขนมอะไรก็เลือกเอาเลยจ้ะ” มาลีบอกลูกเมื่อเห็นพวกเขายืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนเกรงใจ
“แม่พูดจริงเหรอคะ” ปกติแม่ไม่เคยซื้อขนมให้กินเลย นานครั้งเธอถึงจะซื้อให้สักห่อ
“จริงสิจ๊ะ” ถึงในกระเป๋าจะเหลือเงินไม่มาก แต่ค่อยคิดหาทางทำกินใหม่ก็แล้วกัน ถ้าเธอหายดีอาจจะพอไปรับจ้างได้ คนขยันอย่างเธอไม่มีทางอยู่เฉยหรอก ยิ่งร่างนี้ค่อนข้างจะอวบเกินไปสำหรับเธอ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องรีดน้ำหนักออกสักสองสามกิโลกรัม จะได้สวยใสตามที่เธอต้องการ
“พี่เอื้อมาเลือกขนมช่วยหนูหน่อยค่ะ”
เอื้อเดินไปหาน้อง ทั้งสองตื่นเต้นมากที่ได้เลือกซื้อขนมคนละหลายห่อเป็นครั้งแรก
เสร็จแล้วเด็ก ๆ ก็เอาขนมมาวางบนโต๊ะคิดเงิน มาลีหยิบนมถั่วเหลืองไปฝากสามีด้วยสองกล่อง
“ทั้งหมดสี่สิบบาทจ้ะ” สมศรีบอกราคาสินค้าทั้งหมด
“นี่ค่ะ” มาลียื่นธนบัตรใบละห้าสิบบาทให้เจ้าของร้าน
“ไม่เป๊กจริงเหรอ” สมศรียังรบเร้าต่อ
“ไม่ล่ะค่ะ” มาลีพูดพร้อมส่ายหน้าให้
“บุหรี่ก็ไม่เหรอ”
“ค่ะ” มาลีตอบเสียงหนักแน่น
“ม่วยจะทนได้เหรอ”
“ไม่มีอะไรต้องทนอีกแล้วค่ะ” เธอจะต้องลบภาพไม่ดีเก่า ๆ ของม่วยคนเดิมให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” สมศรีว่าอย่างเสียดาย วันนี้เธอขาดรายได้ส่วนนั้นจากมาลีไปตั้งยี่สิบบาท
ไม่ใช่แค่สมศรีเท่านั้นที่แปลกใจ ลูกทั้งสองก็แปลกใจไปด้วยที่วันนี้แม่ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ ปกติทุกเช้าพวกเขาจะได้กลิ่นเหล้าจากตัวแม่ตลอด ไม่ใช่แค่วันที่มีงานบุญอย่างเมื่อวานนี้ แต่ก็ดีแล้ว พวกเขาไม่ชอบกลิ่นเหม็นของมันเลยสักนิด ไม่รู้ว่าแม่กินเข้าไปได้อย่างไร ขนาดพ่อเป็นผู้ชายพ่อยังไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่
มาลีกับลูกเดินออกมายังไม่พ้นร้านดีก็มีเสียงพูดขึ้นตามหลังมาให้ได้ยิน มาลีจึงเดินช้าลง
“แกว่าเขาสองคนได้กันยังวะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใคร?”
“ก็นังม่วยกับไอ้กลไง เมื่อคืนมั่วกันอยู่หน้าเวทีหมอลำ แกไม่เห็นหรือไง”
“เห็นสิฉันไม่ได้ตาบอด…ก็อาจจะ เพราะเห็นเขาลือกันว่าแอบคุยกันตั้งแต่ผัวไปเมืองนอกแล้วนี่ พอผัวกลับมาก็ยังคุยกันเหมือนเดิม หน้าหนาสุด ๆ” ผู้หญิงอีกคนกล่าวขึ้น
“ถ้าฉันเป็นไอ้เคนนะฉันเลิกไปนานแล้วว่ะ ไม่รู้มันทนเมียสำส่อนแบบนี้ได้ยังไง”
มาลีหยุดเดินแล้วหันหลังกลับมามองหน้าคนที่นินทาเธอตาเขม็ง ยายรัตนากับยายอรอนงค์นี่เอง มาลีกำลังจะเดินไปหาทั้งคู่แต่พวกเขาหลบสายตาแล้วรีบเดินเข้าไปในร้านค้าเสียก่อน
มาลีส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะพาลูกเดินกลับบ้าน ไม่ว่าใครก็ชอบเรื่องของชาวบ้านทั้งนั้น ยิ่งเป็นเรื่องคาว ๆ คนยิ่งชอบ และที่ผ่านมาเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาลีทำให้คนอยากนินทาจริง ๆ
มาถึงบ้านเธอก็เห็นสามีนั่งหอบแฮ่ก ๆ อยู่หน้ารถอีแต๊ก โดยมีแม่สามียืนให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ
“พี่เคนเป็นอะไรเหรอคะ” ดูท่าทางเขาเหมือนคนหมดแรง
“หมุนรถไม่ติด” เขาบอกสียงแผ่ว
ตาย! แล้วแบบนี้จะขับรถถึงนาไหมเนี่ย ขนาดสตาร์ทรถก็ยังไม่ติด
“ไม่ให้แม่ช่วยหมุนล่ะคะ” พูดพร้อมเหล่ตามองหน้าแม่สามีอย่างไม่เกรงกลัว
“นี่แก” ฟั่นทำเสียงเขียวใส่ลูกสะใภ้
“ฉันล้อเล่นค่ะแม่ ทำจริงจังไปได้ มา ให้ฉันช่วยดีกว่าค่ะ” เธอวางกระติกน้ำแข็งไว้บนรถ แล้วเดินไปหยิบมือหมุนกับสามีมาถือไว้
“ม่วยทำไม่ไหวหรอกมันหนัก” เธอไม่เคยทำสักทีจะหมุนรถติดได้อย่างไร
“ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ” เธอก็ลูกชาวนาคนหนึ่งเหมือนกัน อีกอย่างเธอก็เคยไถนาด้วยรถไถนาเดินตามมาก่อน ขับรถอีแต๋นก็ยังได้ทำไมเธอจะหมุนไม่ได้
“พี่เคนคิดว่าดีไหมคะ พี่กับฉันจะได้เป็นอิสระเสียที และถ้าพี่อยากมีคนใหม่ก็สามารถมีได้เลย” มาลีคิดว่าวิธีนี้คงดีที่สุดแล้ว นานครั้งเธอค่อยกลับมาเยี่ยมเด็ก ๆ ก็ได้ ความห่างจะทำให้เด็กทั้งสองเข้มแข็งและยอมรับมันได้โดยปริยาย “ก็ดี” เคนตอบแบบขอไปที จะให้เขาพูดอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อเธอต้องการอย่างนั้น อีกอย่างเขาเองที่เป็นฝ่ายอยากเลิกกับเธอ “ค่ะ ถ้าฉันไม่อยู่แล้วให้อาสามาช่วยดูเด็ก ๆ ก็ได้นะคะ” “อือ…นอนเถอะพี่ง่วงแล้ว” เขาไม่อยากฟังเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เหมือนทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดี แต่มันกลับไม่ใช่ เคนนอนหันหน้าเข้าฝาผนัง อยู่ดี ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดวันที่เขากับเธอต้องจากกันจริง ๆ ก็กำลังจะมาถึง มาลีอาจจะวางแผนไปกรุงเทพฯ พร้อมกับสกล ถ้าทั้งสองไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ถึงชาวบ้านนินทาพวกเขาก็คงไม่ได้ยิน และคงไม่รู้สึกอะไร มีแต่เขาที่ต้องทนฟังคำดูหมิ่นดูแคลนจากชาวบ้านที่ปล่อยให้เมียหนีตามผู้ชายไป “วันนี้ไม่ไปช่วยเคนมันทำบ้านเหรอเริง” ฟั่นถามลูกเมื่อสายแล้วสำเริงยังไม่ได้ไปไหน ปกติสำเริงจะออกไปบ้านพี่ชายแต่เช้า
เช้าวันต่อมาเคนจึงได้ทำความเข้าใจเรื่องสร้างบ้านกับน้องชายใหม่ โดยต้องจ้างช่างมาทำบ้านให้ เพราะจากบ้านขนาดแปดสิบตารางเมตร มาลีจะสร้างบ้านปูนชั้นเดียวขนาดห้าสิบตารางวา ที่มีสองห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ และมีระเบียงหน้าบ้านด้วย งบประมาณไม่เกินสองแสนบาท แต่กระนั้นก็ถือว่าได้บ้านหลังใหญ่และหรูมากแล้ว สำเริงต่างแปลกใจที่อยู่ดี ๆ พี่ชายก็มีเงินเก็บมากมายจนสามารถสร้างบ้านหลังใหญ่ได้ อดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “พี่เคนเอาเงินมาจากไหนครับ” “เงินที่ฉันไปทำงานต่างประเทศไง” “ยังเหลืออีกเหรอครับ” เขาถามเสียงสูง กลับมาจากเมืองนอกสองปีแล้วเพิ่งจะพูดถึงเงินเก็บ ความรู้สึกช้าไปไหม “อื้อ ม่วยอำฉันเล่นว่าเงินหมดแล้ว ที่จริงพี่สะใภ้แกเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นมากกว่า” ภรรยาบอกเขาเช่นนั้น และเขาก็พร้อมจะเชื่อหมดใจ หากไม่เห็นกับตาเขาก็อาจจะไขว้เขวบ้าง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาหากเธอประหยัดเงินจนทำให้เขาผอม เขาก็พร้อมจะให้อภัย “พี่เคนพูดเรื่องจริงเหรอครับ” สำเริงยังไม่อยากเชื่อนัก “จริงสิ แกเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหร
“ทั้งผัวหลวงผัวน้อยช่วยกันทำมาหากินดีเนอะ”“นังม่วยมันทำบุญด้วยอะไรวะช่างโชคดีจริง ๆ” คนกลุ่มนั้นยังนินทาไม่หยุด ก่อนที่เคนจะเคลื่อนรถเข็นเข้าไปหาพวกเขา“ม่วยขยันจังเลยนะ รู้จักทำมาหากินช่วยผัว” เสียงหนึ่งแสร้งเอ่ยชม ทั้งที่ก่อนหน้ายังนินทาเธออยู่เลย แต่มาลีก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดประชด“ค่ะ ไม่อยากอยู่เฉย ๆ แล้วนินทาชาวบ้านไปวัน ๆ เหมือนใครบางคนน่ะค่ะ” เป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ทำไมคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนั้นถึงได้รู้สึกเจ็บจิ๊ดเข้าไปถึงในทรวง ป้า ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นสามสี่คนได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก“แต่ก็ไม่ได้ไปกับผัวตัวเอง” ป้านีพูดขึ้นเหมือนรู้ดีเคนและลูกทั้งสองต่างมองหน้ามาลีเมื่อได้ยินป้านีพูดแบบนั้น “แม่ไปกับใครเหรอครับ”“ก็ไปกับ…”“ถ้าไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จป้าก็อย่าพูดส่งเดชเลยค่ะ ฉันไม่อยากให้ลูกได้ยินเรื่องที่ไม่เป็นความจริง” ป้าคนนั้นชะงักปากเมื่อมาลีพูดสวนขึ้นก่อน“ก็มีคนเขาเห็น…”“เห็นอะไรคะ ถ้าสิ่งที่ป้าพูดมาไม่เป็นความจริงฉันจะไหมปากป้านะคะ” ป้านียืนอ้าปากหวอ “พูดต่อสิคะว่าคนเขาเห็นอะไร” มาลียืนจ้องหน้าป้านีไม่วางตาแล้วร่ายต่อ “ที่จริงการนินทาชาวบ้านก็มีส่วนดีนะคะ เพรา
ตลอดทางที่เดินกลับบ้านด้วยกันสกลพยายามหว่านล้อมให้มาลีใจอ่อนอีกทั้งยังเข้ามาเดินใกล้ ๆ และมาช่วยเข็นรถจนมาลีรู้สึกอึดอัด“อากลอย่าทำอย่างนี้เลย มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่สะใภ้ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือว่าพี่สะใภ้ความจำเสื่อม” สกลยังไม่ละความพยายาม ทำไมพอเธอตื่นขึ้นมาแล้วคำพูดคำจาถึงได้เปลี่ยนไป “ถ้าฉันความจำเสื่อมฉันจะจำใครต่อใครได้เหรอคะ” มันก็จริง… “แต่ทำไมพี่สะใภ้ถึงตัดความสัมพันธ์กับฉันได้ง่ายดายนัก ทั้งที่เราก็คบกันมาตั้งหลายปี” “ฉันไม่อยากให้ใครมองว่าสามีฉันโง่อีกต่อไปแล้วค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากให้ลูกโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนด้วยค่ะ ฉันสงสารพวกเขา” ความทรงจำเดิมบอกกับเธอว่าเอื้อที่เพิ่งเรียนจบชั้นปอหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เธอจะมาอยู่ในร่างนี้เขาโดนเพื่อนล้อว่าเขามีพ่อใหม่ จนต้องร้องไห้กลับบ้าน แต่ตอนนั้นมาลีไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเสียงร้องไห้ของลูกเลย เธอยังทำตัวให้คนนินทาตามปกติ แต่มาลีคนนี้ไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับลูกอีกอย่างแน่นอน “แต่ฉันจะรอ รอจนกว่าพี่สะใภ้จะเลิก
เช้าวันรุ่งขึ้นมาลีเตรียมตัวออกเดินทางแต่เช้า เพราะเธอกะว่าจะกลับไม่เกินเที่ยง สามีนำรถเข็นมาให้แล้ว เธอก็ขนตะกร้าไม้ไผ่สี่ใบขึ้นรถ และน้ำเย็นอีกหนึ่งกระติก มีขวดน้ำประมาณหนึ่งลิตรติดไปด้วย เพราะเธอจะเอาเข้าไปในป่าไผ่ด้วย “แม่คะหนูไปด้วยได้ไหมคะ” อุ่นทำท่างอแงแล้วปีนขึ้นไปบนรถเข็นของแม่โดยมีพี่ชายเป็นคนยกก้นช่วย จนเธอเข้าไปนั่งรออยู่ในรถเข็นแล้วมองแม่ตาละห้อย “ผมก็อยากไปด้วย” “ไปไม่ได้หรอกลูก” เธอไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังจึงบอกลูกเช่นนั้น ถึงจะรู้สึกสงสารลูกแต่เธอก็ต้องใจแข็ง “อุ่นกับเอื้อไม่ไปหรอกลูก เกะกะแม่เปล่า ๆ ถ้าพ่อทำบ้านเสร็จเดี๋ยวพ่อจะพาไป พ่อจะพาไปหารังผึ้งด้วยดีไหม รออีกสักสองสามวันพ่อก็ทำบ้านเสร็จแล้ว” เคนย่นระยะเวลาการทำบ้านเข้ามาอีกเพื่อให้ลูกรู้สึกสบายใจขึ้นและยอมที่จะไม่ไปกับแม่ “ผมอยากไปหารังผึ้งกับพ่อครับ” “หนูก็อยากค่ะ” “งั้นรอไปพร้อมกับพ่อนะ” “ค่ะ” อุ่นยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้พ่ออุ้มลงจากรถเข็น เคนจึงหันไปพยักหน้าให้ภรรยาเข็นรถออกไป มาลียิ้มให้เขาแล้วเดินออกไปท
มาลีเดินออกจากบ้านแม่ก็เดินไปดูพื้นที่แปลงที่จะปลูกบ้าน เคนเดินดูป่ากล้วยน้ำว้าที่มีพื้นที่มากกว่าสองร้อยตารางวา มาลีรู้สึกผิดหวังกับผู้เป็นแม่เล็กน้อย เธอไม่คิดว่าแม่กับพี่สาวจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเธอทำตัวไม่ดีเอง ทุกคนจึงไม่อยากให้ความช่วยเหลือ “เราต้องตัดต้นกล้วยออกก่อน” เคนบอกภรรยา “ค่ะ” “เดี๋ยววันนี้พี่จะเริ่มทำเลย พรุ่งนี้จะวานไอ้เริงมาช่วย สองอาทิตย์ก็น่าจะเสร็จ” บ้านที่นำมาปลูกก็คงต้องรื้อจากหลังเดิมเล็ก ๆ มาปลูกก่อน เขาก็หวังว่าสักวันจะนำพาครอบครัวให้ดีขึ้นได้ “ฉันจะช่วยพี่อีกแรงค่ะ” “ให้หนูช่วยด้วยนะคะ” “ผมช่วยด้วยครับ” พ่อกับแม่ยิ้มให้ลูกทั้งสองที่ทำท่ากระตือรือร้นจะช่วยพ่อกับแม่ พวกเขาเป็นกำลังใจที่ดีของพ่อกับแม่ให้ก้าวต่อไปเสมอตอนเย็นวันเดียวกันเคนจึงพาครอบครัวไปคุยกับพ่อแม่เรื่องย้ายบ้าน “ผมขอแบ่งควายไปด้วยสักตัวได้ไหมครับพ่อ” เคนถามพ่อ อย่างน้อยถ้ามีควายเขายังพอไปรับจ้างได้ “เอาไอ้จ่อยไปก็แล้วกัน” กำพลพูดน้ำเสียงอ่







