"เรื่องเงินพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย พี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันดูแลพี่ในยามที่ไม่สบายได้ไหม" หญิงสาวอยากจะพูดให้พี่คลายกังวล
"แต่พี่ดีขึ้นมากแล้ว"
"ถึงดีขึ้นมากแต่ก็ยังไม่หายขาดนี่ ถ้าย้ายโรงพยาบาลเผื่อมันทรุดลงล่ะ ฉันจะอยู่กับใคร พี่คิดข้อนี้บ้างไหม" รรรรรรเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นว่าพี่ไม่ยอม จนพี่สาวต้องยอมฟัง แล้วค่อยๆ นอนลงที่เดิม
"ถ้าพี่รักฉัน พี่ต้องดูแลตัวเองให้ดี ทำตัวให้แข็งแรงเร็วๆ เข้าใจไหม" มือเรียวเอื้อมไปจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้กับพี่สาว ถึงแม้อยากจะร้องไห้มากแค่ไหน ทั้งพี่และน้องก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็น ว่าตัวเองกำลังอ่อนแออยู่
[บริษัท]
หญิงสาวก้าวลงจากแท็กซี่ ใบหน้างามเงยขึ้นไปมองชั้นบนสุด ซึ่งมันเป็นชั้นที่เธอทำงานอยู่ แล้วลอบถอนหายใจออกมา เพราะเธอต้องหาคำพูดเพื่อที่จะพูดกับเขาเรื่องเงิน
เวลาผ่านไปจนถึง 09 : 40 นาที
ก๊อก ก๊อก ยังไงวันนี้เธอต้องคุยเรื่องเงินให้ได้ จะคุยตอนไหนก็คงเหมือนกัน หญิงสาวเลือกเวลาที่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะถ้าใกล้เที่ยงเดี๋ยวเขาก็ออกไปทานข้าวกับลูกค้าอีก
"เชิญ"
"บอสคะ..เออ.." อุตส่าห์ตั้งหลักมาแต่ไกล แต่พอเห็นสายตาที่เขามองมา กลับลืมคำพูดไปหมด "คือ.."
"แล้ววันนี้จะรู้เรื่องกันไหม"
"ฉันอยากจะขอเงินคุณเพิ่ม" เธอไม่ใช้คำว่ายืม เพราะถ้ายืมมันต้องคืน ..เงินเยอะขนาดนั้น เธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้คืน
"ขอเงินเพิ่ม?" เขาเป็นนักธุรกิจ ทุกคำที่พูดออกมา เขาต้องฟังให้แตกฉาน
"เออ..ค่ะ.." สีหน้าของเธอเริ่มซีดลง
คนร่างหนาวางงานที่อยู่ตรงหน้าแล้วนั่งพิงเก้าอี้ สายตามองจ้องมาที่เธอ เหมือนต้องการคำอธิบายมากกว่า..เออค่ะ..ที่เธอพูดออกมา
"คุณอยากจะใช้งานฉันเพิ่มก็ได้ หรือจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันขอเงินเพิ่มอีกเท่าตัว" หญิงสาวกลั้นใจพูดให้จบประโยค
"หนึ่งล้านบาท??" เพราะถ้าเท่าตัวก็ต้องเป็นเงินอีกหนึ่งล้านบาท
"ใช่ค่ะ"
"ที่ได้ไปหนึ่งล้านคุณยังทำงานให้ผมไม่คุ้มเลย" ตอนนี้ความคิดของเขา ที่เธอเล่นตัวทีแรกเพราะอยากจะโก่งราคานี้เอง พอได้ไปก็ยังไม่พอ
"ไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ" แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาคงไม่ให้ อย่างมากก็ให้พี่สาวย้ายโรงพยาบาล เพราะถ้าเอาเงินที่เขาให้มาและเงินเก็บรวมกัน ก็ยังพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลอยู่บ้าง
"จะเอาเงินไปทำไมนักหนา" สายตาคมมองตามไปแต่ก็ไม่ได้เรียกเธอไว้ เพราะถ้าเขาให้เงินเธอ ครั้งที่ 2 มันต้องมีครั้งที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ตามมา...เหมือนทุกคน
หญิงสาวนั่งทำงานแบบใจลอย งานที่ทำอยู่ไม่เข้าหัวเลย เพราะเธอคิดถึงแต่เรื่องพี่สาว
"นี่อะไรครับ"
"เอกสารที่คุณนิรันดร์ต้องการไงคะ"
"ขอโทษครับผมไม่ได้เอาอันนี้"
"เออ.. คุณจะเอาเอกสารอะไรคะ"
"ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมหาเอง" ตอนค้นหาเอกสารที่ชั้น นิรันดร์ก็แอบมองดูรรรรรร ..ความคิดของเขาผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเลขาท่านประธานเลย เพราะทำงานไม่ได้เรื่องสักอย่าง หรือที่เธอมารับตำแหน่งนี้ คงเพราะต้องการไต่เต้าอย่างเดียว..
เย็นวันเดียวกัน.. ที่โรงพยาบาล
"พี่รินดีขึ้นบ้างไหม" เธออยากจะสอบถามอาการของพี่สาวดูก่อนที่จะพูดอะไรออกมา และคำตอบที่ได้คือวันนี้พี่สาวรู้สึกเวียนหัวทั้งวัน
รรรรรรก็เลยตัดสินใจไม่พูดเรื่องย้ายโรงพยาบาลดีกว่า ให้พี่สาวรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้ไปก่อน
และแน่นอนว่า ค่ารักษาพยาบาลต้องเพิ่มขึ้นแน่ เพราะต้องได้ตรวจดูอาการอีกว่าทำไมรรินธรถึงมีอาการเวียนหัว
วันต่อมา..
"อะไรนะคะ??" รรรรรรแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าอาการเวียนหัวของพี่สาว เกิดจากมีเนื้องอกในสมอง
"ถ้าทางญาติสู้ค่ารักษาไม่ไหว ก็ย้ายไปโรงพยาบาลของรัฐบาลได้นะคะ" คำพูดของทางโรงพยาบาลหมายถึงว่า ให้รักษาตามยถากรรม เพราะเห็นจากสีหน้าแล้วคงจะสู้ค่ารักษาไม่ไหวแน่
และทางโรงพยาบาลก็แจ้งอีกว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ดีอย่างหนึ่งคือ ทำให้เห็นเนื้องอกได้เร็วขึ้น เพราะถ้าปล่อยให้มันเจริญเติบโตอาจจะกลายเป็นมะเร็ง
หึ!! ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่เหรอ จะเรียกว่าโชคดีไหมเนี่ย
"คุณหมอเตรียมการรักษาพี่สาวฉันได้เลยค่ะ ถ้าร่างกายของพี่สาวฉันพร้อมผ่าตัด คุณหมอก็จัดการได้เลย เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะจัดการเอง"
"แต่ก่อนที่จะรักษา..ทางโรงพยาบาลอยากจะขอเก็บค่าใช้จ่ายก่อนครึ่งหนึ่งค่ะ"
"ครึ่งหนึ่งเหรอคะ" เงินค่าอุบัติเหตุ ค่าผ่าคลอด ค่ารักษาหลาน ก็ยังไม่ทันได้จ่าย ต้องได้มาจ่ายเงินค่าผ่าตัดเนื้องอกในสมองของพี่สาวอีกครึ่งหนึ่ง เอาเข้าไปสิชีวิตของฉัน "ได้ค่ะ..เท่าไรคะ"
คนที่แจ้งอาการต้องตรวจเช็คอีกทีหนึ่งว่า เธอต้องได้ใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะต้องได้จ่ายการรักษาก่อนหน้านั้นก่อน
นี่แหละหนาที่คนเขาทำประกันชีวิต เพื่อที่จะคุ้มครองตัวเองในยามป่วยไข้ แต่พวกเธอไม่มีเงินมากพอที่จะมาซื้อประกันชีวิตประกันอุบัติเหตุ เหมือนคนอื่นเขา และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วย
รออยู่เพียงไม่นาน ทางโรงพยาบาลก็แจ้งเรื่องค่าใช้จ่ายมา มันทำให้เธอเข่าแทบทรุดอีกครั้ง รรรรรรขอร้องทางโรงพยาบาลไว้ว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับพี่สาว
และแน่นอนว่าพวกเขาต้องเก็บ ความลับเรื่องนี้ให้กับญาติผู้ป่วยตามเจตนารมณ์อยู่แล้ว
ก่อนที่เธอจะตัดสินใจทำอะไรลงไป หญิงสาวได้ไปที่ห้องทารกแรกเกิด เพื่อคุยกับหลานสาวตัวน้อยๆ ที่ยังอยู่ในตู้อบนั้น
"น้าจะช่วยแม่ของหนู ให้ถึงที่สุดนะ หนูไม่ต้องเป็นห่วง น้าขอแค่อย่างเดียวให้หนูเติบโตมาเป็นเด็กดี" มือเรียวเอื้อมไปลูบกระจกใสที่มีหลานตัวน้อยๆ นอนดิ้นอยู่ในนั้น
ครื่นนน ครื่นนนน
เดินออกมาจากห้องทารก เธอก็กดโทรศัพท์เพื่อที่จะโทรหาเขา
>>{"ฉันอยากจะขอคุยกับคุณหน่อยค่ะ"} หญิงสาวพูดขึ้นทันทีเมื่อปลายสายกดรับ
{"คุย??"} ชายหนุ่มมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา 20 : 05 น. และเขาก็เพิ่งกลับมาถึงบ้าน
>>{"ขอโทษด้วยนะคะที่โทรมารบกวน ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร"}
{"ไปเจอกันที่คอนโด"} แล้วชายหนุ่มก็บอกที่อยู่ของคอนโดนั้นให้กับเธอไป
เช้าวันต่อมา.."ขอบพระคุณคุณปู่คุณย่ามากนะคะ""ถ้าอยากมาค้างที่นี่ก็มาได้ตลอดเวลาเลยนะ ปู่กับย่ายินดีต้อนรับเสมอ""ขอบคุณมากเลยนะครับ ส่วนเรื่องประตู เดี๋ยวผมจะให้ช่างมาดูให้""ไม่เป็นไรหรอก แค่เปลี่ยนลูกบิดเฉยๆ ก็ใช้งานได้เหมือนเดิมแล้ว""ให้ช่างมาดูดีกว่าค่ะคุณปู่" รักนรินทร์เกรงใจ มาขออาศัยอยู่บ้านท่านแท้ๆ ยังมาทำของท่านเสียหายอีก"ถ้างั้นก็เอาที่พวกเราสบายใจเลยแล้วกัน เดินทางปลอดภัยนะลูก""ขอบคุณอีกครั้งนะคะ" ทั้งสองไหว้ร่ำลาพวกท่านแล้วก็ออกมา[บ้านภูมิฐาน]ชายหนุ่มพาเธอกลับมาที่บ้านก่อน เพื่อจะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าพอมาถึงก็เจอพ่อกับแม่ของเขาอยู่ที่บ้านพอดี"คุณพ่อจะออกไปไหนหรือครับ" เดินเข้ามาก็เห็นผู้เป็นพ่อกำลังจะออกจากบ้าน"ก็เข้าบริษัทน่ะสิ ที่บริษัทโทรมาบอกว่าตามตัวผู้บริหารไม่เจอ""ขอโทษครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอง แต่ขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ" เขามัวแต่ยุ่งตามหาเธออยู่ ก็เลยปล่อยปละละเลยเรื่องบริษัทไป"ฉันรออยู่ข้างล่างได้ค่ะ" หญิงสาวชักมือออกเมื่อเขายื่นมาจะจูงเธอขึ้นไปด้วย"จะรออยู่ข้างล่างทำไม..ไม่อาบน้ำก่อนหรือไง""คุณก็ไปอาบเองสิ""ไปด้วยกัน แล้วก็เข้าบริษัทด้วยกัน""ฉ
"ใครเขาจะให้คุณนอนด้วย" หญิงสาวรีบเก็บของบนโต๊ะอาหาร พอเก็บเสร็จก็เดินไปที่ประตูบ้าน "คุณกลับไปเลยนะ ฉันจะล็อกบ้านแล้ว""บอกแล้วไงว่าจะนอนที่นี่ด้วย""แต่นี่มันไม่ใช่บ้านฉันนะ""งั้นก็กลับบ้านสิ""ไม่"จากที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ชายหนุ่มก็ก้าวเดินไปที่บันได"นี่คุณ!" รักนรินทร์รีบหันไปล็อกบ้านไว้แล้วก็เดินตามเขาขึ้นมา"คุณพักอยู่ห้องไหน""ไม่บอก"ไม่บอกก็ไม่เห็นจะยาก เพราะชั้นบนมีห้องนอนแค่สองห้อง ภูมิฐานเดินไปหน้าห้องนอนหนึ่งในสองนั้น"คุณภูมิหยุดเดี๋ยวนี้นะ!" รักนรินทร์รีบเดินเข้าไปรั้งตัวเขาไว้ก่อนที่จะเปิดประตูห้องนั้น "นี่มันห้องของคุณปู่คุณย่า""คุณก็ไม่บอกแต่ทีแรก" ว่าแล้วชายหนุ่มก็เอื้อมไปเปิดอีกห้องที่อยู่ข้างกัน หญิงสาวก็เลยรีบตามเข้าไป"ก็ได้แต่ฉันให้คุณค้างแค่คืนนี้คืนเดียวนะ"เขาไม่ตอบ..ให้พ้นคืนนี้ไปก่อนแล้วกัน ถ้ายังรับไหวอยู่ภูมิฐานเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วก็เข้าห้องน้ำ ทำเหมือนบ้านของตัวเองยังไงยังงั้นรักนรินทร์ได้แต่ยืนทำหน้าบูดบึ้งใส่ แต่หัวใจกลับเต้นแรงสวนทางกับสิ่งที่แสดงออกมาเพียงไม่นานภูมิฐานก็ออกมาจากห้องน้ำ เธอก็เลยเข้าไปใช้ต่อพรึบ! "กรี๊ดด" หญิงสาวที่กำลังอา
[คอนโด]เพียงไม่นานรถของภูมิฐานก็มาถึงคอนโด ชายหนุ่มลงจากรถได้ก็รีบตรงขึ้นไปก๊อก ก๊อกแกร็ก! แกร็ก!! เขาไม่มีคีย์การ์ดของห้องนี้ ก็เลยต้องได้เคาะประตูแล้วลองเปิด แต่ข้างในก็ยังเงียบอยู่"รักนรินทร์..คุณมาถึงหรือยังเปิดประตูให้ผมหน่อย" ขณะที่เรียกเขาก็ยังคงเคาะประตู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆชายหนุ่มเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเธอ หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังคงเหมือนเดิม[ร้านขายของชำ]"ผมก็ได้ยินคุณแม่บอกว่า ได้ฤกษ์ยามแล้วไม่ใช่หรือครับพี่" เมื่อเกียร์เห็นพี่สาวมาหา ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ก็เลยถามเอาความจริง"สงสัยเขาจะยังไม่พร้อม""พี่จะไปสนใจอะไร" เกียร์ของขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่าฝ่ายชายไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับพี่สาว"เรื่องนี้เราอย่าไปพูดให้ใครฟังนะ" ที่รักนรินทร์ต้องเล่าให้เกียร์ฟังก็เพราะอยากจะมาขออาศัยอยู่ที่นี่ก่อน ในระหว่างที่รอให้เขาตัดสินใจ พอคิดแล้วดูเหมือนไม่มีค่า ต้องให้ผู้ชายตัดสินใจว่าอยากจะแต่งงานด้วยไหม"ถ้างั้นพี่ก็ค้างที่ห้องผมเลยแล้วกัน..เพราะผมต้องกลับไปค้างที่บ้านของคุณแม่" ข้าวฟ่างไม่ได้มาด้วย เกียร์แค่แวะมาดูร้านช่วยปู่กับย่า"แล้วคุณปู่คุณย่าของเกียร์จะไม่ว่าพี่เหรอ""
"ปล่อยค่ะนี่มันห้องทำงานนะ" พอเป็นอิสระหญิงสาวก็รีบห้ามปรามกลัวว่าเขาจะเลยเถิด"คุณทำเสน่ห์ใส่ผมหรือเปล่าเนี่ย" ยอมรับว่าไม่เป็นอันทำการทำงานเลย เพราะตั้งแต่ได้สัมผัสร่างกายของเธอมา เขาก็โหยหาเธอโดยตลอด"ทำเสน่ห์? อะไรคือทำเสน่ห์คะ" อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเธอเติบโตที่ต่างประเทศ เรื่องแบบนี้ที่นั่นเขาไม่เชื่อกันอยู่แล้ว และไม่มีใครพูดถึง แม้แต่พ่อและแม่ สื่อโซเชียลก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี"ผมแค่ล้อเล่น มันเป็นเสน่ห์จากตัวคุณเอง""คุณรักฉันจริงเหรอ" รักนรินทร์ถามอีกครั้ง เพราะคิดว่าเขาคงอยากจะพูดแค่ต่อหน้าผู้ใหญ่"รักสิ ผมรักคุณ ว่าแต่คุณคิดยังไงกับผม""คิดยังไง?" ใช่แล้วเราคิดยังไงกับเขากันแน่ แต่พอได้ยินเขาบอกรักทำไมถึงดีใจมาก ดีใจจนห้ามน้ำตาของตัวเองไม่ได้"ผมไม่ได้บังคับให้คุณพูดหรอก เรื่องแบบนี้ต้องพูดออกมาจากใจ เหมือนที่ผมบอกคุณไง""คุณพูดจากใจจริงหรือคะ" ก็มันยากที่จะเชื่อนี่ วันนั้นยังทำเหมือนไม่ชอบหน้าเธออยู่เลย"ถ้าพูดแล้วคุณยังไม่เชื่อ งั้นผมทำให้คุณเชื่อเลยแล้วกัน""ทำอะไรคะ"คนตัวโตเดินมาที่ประตู แล้วก็จัดการล็อกมันไว้ แถมไม่ได้ล็อกแค่ลูกบิด เขายังล็อกก
"กระดาษอะไรแปะอยู่ด้านหลัง" รรินธรที่ยืนอยู่ห่างหน่อยมองไปเห็นตอนที่สามียกแพทเทิร์นขึ้นมาดูหมั่บ รักนรินทร์รีบดึงมันออกมา แล้วก็ขยำไว้ในมือ "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เจ้านายเขียนโน้ตแก้งานไว้ค่ะ"ภูมิฐานมองที่มือของเธอแบบยิ้มๆ "คุณพ่อกับคุณแม่ทานข้าวมาหรือยังครับ" แล้วเขาก็หันมาชวนพวกท่านคุย"ยังไม่ได้ทานเลย ก็นัดทานข้าวกับพ่อเรานั่นแหละ ไม่รู้ป่านนี้มาหรือยัง""อ้าวหรือครับ พอดีเลยผมกำลังหิว ขอไปร่วมทานด้วยคนนะครับ"ในขณะนั้นโทรศัพท์ของคริสก็ได้ดังขึ้น และคนที่โทรมาก็คือภูสิษฐ์รับโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งคริสก็หันมาหาภูมิฐาน"ถ้าจะไปทานด้วยกันก็ป่ะ ตอนนี้พ่อกับแม่เราอยู่ข้างล่างแล้ว" ว่าแล้วคริสก็เอื้อมไปจูงแขนภรรยาให้เดินตามมา ส่วนภูมิฐานก็รีบเดินนำหน้าไป เพื่อเปิดประตูห้องให้"แล้วเราไม่ไปเหรอลูก" รรินธรเห็นว่าลูกสาวไม่เดินตาม"ไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวรักหาอะไรทานแถวโรงอาหารนี้ก็ได้"ภูมิฐานถึงกับหันกลับมามอง เพราะเขาเดินนำพวกท่านจะออกนอกห้องอยู่แล้ว..หน้าประตูลิฟต์.."ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานด่วน คงไปร่วมทานข้าวด้วยไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้านะครับคุณพ่อคุณแม่" เขาพูดในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังเปิดอ
แกร็ก! แกร็ก!!"ทำไมประตูเปิดไม่ได้ล่ะคะคุณ หรือคีย์การ์ดใช้ไม่ได้แล้ว" คีย์การ์ดเคยเป็นของรรินธรสมัยที่พักอยู่ที่คอนโดนี้ ตอนนั้นเธอไม่ได้คืนให้กับคฑา แต่ก็ไม่ได้ทิ้งยังคงเก็บไว้เป็นอย่างดี"ก็เปิดได้อยู่นะ..แต่เหมือนถูกปิด" คริสใช้คีย์การ์ดเปิดอีกครั้งลองดู"ใครคะ" เสียงคนที่อยู่ด้านในดังออกมา เมื่อได้ยินว่าคนข้างนอกจะเปิดลองดูอีกครั้ง"อ้าวหนูยังไม่นอนเหรอลูก เปิดประตูให้พ่อกับแม่หน่อย" ที่ไม่เคาะเรียกเพราะกลัวจะรบกวนลูกสาว"แป๊บหนึ่งนะคะพ่อ"ที่คริสเปิดประตูเข้ามาไม่ได้ ก็เพราะตอนนั้นภูมิฐานอุ้มรักนรินทร์ยืนอยู่ใกล้ประตู พอได้ยินเสียงแกร๊กเท่านั้นแหละเขาก็รีบใช้มือดันประตูปิดไว้เหมือนเดิม ด้านในมันก็เลยล็อกอีกที ..และตอนนี้ทั้งสองกำลังมัววุ่นใส่เสื้อผ้ากันอยู่แกร็ก~"อ้าวนี่หนูยังไม่อาบน้ำเลยเหรอลูก แม่นึกว่าหนูหลับไปแล้วเสียอีก""ยังค่ะมัวเคลียร์งานอยู่" โกหกแม่จะบาปไหมเรา"ถ้างั้นหนูก็ไปทำงานต่อเถอะลูก ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่หรอก""คุณพ่อจะทำอะไรคะ" รักนรินทร์เห็นพ่อกำลังจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน"หนูจะให้พ่อกับแม่นอนห้องไหนล่ะ" คริสถึงกับตกใจแล้วหันกลับมาถามลูกสาว"อีกห้องค่ะพ่อ"