จากที่เคยมองไปยังวิวด้านนอก จำต้องละสายตากลับมามองสตรีสาวที่ขึ้นเสียง แถมยังชี้หน้าเขาอย่างไม่พอใจด้วยความประหลาดใจ
“เธอเป็นเจ้าหญิงหรือไง ถึงได้เดือดร้อน” คำพูดนี้ทำให้สาวน้อยรู้สึกตัว รีบแก้ตัวพัลวัน
“ก็...เอ่อ... นายท่านไม่ควรกล่าวหาองค์หญิงแบบนี้ หากใครได้ยินเข้าโทษถึงประหารเลยนะเพคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานยังคงขุ่นคลัก
ทวิภาคยักไหล่ทำท่าไม่แยแส จนราชาวดีอยากจะทุบสักปึ๊กสองปึ๊กให้หายโอหังนัก นี่หากไม่รักไม่ใคร่นะ จะสั่งให้ทหารจับไปทรมานให้เข็ด
“ฉันพูดความจริงทำไมต้องกลัวด้วย องค์หญิงของเธอนั่นแหละที่สมควรจะอาย มีอย่างที่ไหนบังคับให้ผู้ชายมาหา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย...”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ ราชาวดีฟังแล้วก็ชอกช้ำ หน้าเศร้าไม่คิดว่าเขาจะรังเกียจหล่อนถึงเพียงนี้ หล่อนก็แค่อยากเห็นเขา อยากใกล้เขา อยากตอบแทนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้แค่นั้นเอง ไม่เคยคิดจะใช้อำนาจเพื่อให้ได้ตัวเขามาครอบครองสักหน่อย
น้ำตาพาลจะไหลต้องรีบซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มหวานที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เล็ก “หากนายท่านได้พบองค์หญิง นายท่านจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าพระพักตร์หรือเปล่าเพคะ”
“ฉันเป็นคนปากตรงกับใจ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น เย็นนี้ตอนมื้อค่ำฉันก็จะพูดแบบนี้กับองค์หญิงแก่แดดนั่น...”
ราชาวดีกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเจ็บจี๊ดในอก นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่นะที่ปลอมตัวมาอยู่ใกล้ๆ เขาแบบนี้ เพราะยิ่งใกล้ เขาก็ยิ่งพูด ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บ เจ็บโดยที่โต้ตอบอะไรไม่ได้เลย
“องค์หญิงจะยังไม่พบนายท่านในเย็นนี้หรอกเพคะ...”
“เพราะอะไร...” ทวิภาคถามเสียงผิดหวัง
หญิงสาวส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบได้ แต่ถ้าองค์หญิงยินดีจะให้นายท่านพบเมื่อไหร่ ข้าน้อยจะรีบเรียนให้ทราบเพคะ”
ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ถ้าไม่อยากให้พบแล้วให้ฉันรีบมาทำไม บ้าชะมัด!” พูดออกมาอย่างหัวเสีย กำปั้นทุบแรงๆ ที่ขอบระเบียงไม้ จนสาวน้อยข้างหลังตกใจหน้าซีด
“องค์หญิงทรงติดราชกิจบางอย่างทำให้ต้องเลื่อนกำหนดการเดิม หวังว่านายท่านจะเข้าใจ”
ทวิภาคไม่ตอบ แต่แสยะยิ้มมุมปาก “ใครจะขัดใจองค์หญิงผู้สูงส่งได้ล่ะ ขนาดอยู่ไกลถึงเมืองไทย แค่รับสั่งคำเดียวยังต้องรีบมาเลย...”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน ราชาวดีเจ็บลึกในอก แต่จำต้องกล้ำกลืนไว้ในอก เพราะรักปักใจคำเดียวถึงทำให้หล่อนยอมถูกเหยียบย่ำเช่นนี้
“หากนายท่านไม่ต้องการอะไรเพิ่มแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อนนะเพคะ นายท่านจะได้พักผ่อน...”
ก้มหน้าลงถอนสายบัวช้าๆ กำลังจะหมุนตัวออกไปจากห้องพักของทวิภาค แต่เสียงเข้มห้วนก็หยุดหล่อนไว้เสียก่อน
“ฝากบอกองค์หญิงของเธอด้วยนะว่าหากยังเล่นองค์อยู่แบบนี้ ฉันจะกลับเมืองไทย”
ราชาวดีเบิกตากว้างหน้าตื่น “นายท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะเพคะ...”
ทวิภาคหรี่ตายาวรีที่หวานซึ้งของตนเองมองสตรีสาวสวยเบื้องหน้าด้วยความเคลือบแคลง ไม่อยากจะเชื่อว่าสตรีงดงามราวกับภาพวาดตรงหน้าจะเป็นแค่นางกำนัลเล็กๆ ที่คอยรับใช้เจ้าหญิงองค์นั่น
เมื่อถูกมองอย่างจับผิด ราชาวดีจึงรีบแก้ตัว “คือ... องค์หญิงจะทรงกริ้ว แล้วข้าน้อยก็จะต้องโทษหนัก...”
ไหล่กว้างไหวเล็กน้อย พูดออกมาอย่างไม่แยแส แต่แท้จริงแล้วรู้สึกเห็นใจสตรีตรงหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อไม่น้อย
“ก็ช่างเธอสิ ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
ไม่มีเสียงหวานเจื้อยแจ้วตอบมา ทำให้ทวิภาคอดจ้องมองใบหน้างดงามนั้นอย่างพิจารณาไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้หน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอชื่ออะไรหรือ...”
คำถามที่เปลี่ยนเรื่องสนทนาแบบฉับพลันทำให้ดวงตากลมโตที่ก้มมองพื้นอยู่เมื่อครู่นี้ต้องช้อนขึ้นจ้องใบหน้าหล่อลากดินของเขาด้วยความประหลาดใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มแต้มมุมปากหยักสวยสีสดนั้นน้อยๆ หญิงสาวก็อดระบายยิ้มตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่กำลังเศร้าใจอยู่กับคำพูดไม่ไว้หน้าของทวิภาคเมื่อครู่นี้
“เอ่อ...”
“ถามว่าชื่ออะไรไง...” น้ำเสียงคล้ายรำคาญ จนราชาวดีต้องรีบละล่ำละลักบอกชื่อที่คิดได้เร็วที่สุดในขณะนั้นออกไป
“ดอกเอื้องเพคะ ดอกเอื้อง...”
ชายหนุ่มระบายยิ้มพึงพอใจ จ้องมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แต่ถึงมันจะแปลความหมายไม่ออก แต่กระนั้นมันก็ยังสามารถทำให้เลือดในกายร้อนระอุขึ้นมาอย่างไม่เคยพานพบมาก่อน
“ดอกเอื้องหรือ... เพราะดีนี่ แปลว่าดอกกล้วยไม้ใช่ไหม...”
ดวงตากลมโตที่มีแพขนตาดกดำเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มหวานหยดแต้มที่กลีบปากสาวจนทวิภาคที่กำลังจ้องมองอยู่รู้สึกอึดอัดแปลกประหลาด ความหวาดกลัวบางอย่างทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะหันหลังเกาะระเบียงและมองออกไปยังทิวเขาแทนมองใบหน้างามๆ นั้น
“นายท่านทราบด้วยหรือเพคะ” ราชาวดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “แสดงว่านายท่านก็สนใจวัฒนธรรมของเชียงรุ้ง...”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงเข้มตัดฉับเอาเสียก่อน ทำเอารอยยิ้มหวานที่แต้มกลีบปากอิ่มอยู่ต้องหุบลงในบัดดล พร้อมๆ กับเสียงถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“เคยอ่านเจอน่ะ... ไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไร”
“ข้าน้อยอุตส่าห์ดีใจ นึกว่านายท่านจะสนใจข้าน้อยบ้าง...”
เผลอพ้อออกไป แล้วก็ต้องแก้มแดงเมื่อคนตัวโตเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นกายสุดเซ็กซี่ที่มีมากพอๆ กับความยะโสโอหังของเขาทะลักเข้าไปในโพรงจมูก มันทำให้หล่อนวิงเวียนจนแทบจะทรงกายไม่อยู่
และยิ่งตอนพ่อเจ้าประคุณก้มหน้าที่หล่อลากดินต่ำลงมา หัวใจของหล่อนก็แทบจะวายด้วยความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นสูงสุด
“ทำไมฉันต้องสนใจเธอด้วยล่ะ...” พูดอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจ ขณะกวาดตามองใบหน้างามคล้ายกับขบขัน สาวน้อยหน้าร้อนผ่าว
“หน้าตาก็งั้นๆ สาวๆ ที่ประเทศของฉันสวยกว่านี้ตั้งเยอะ” พ่นคำพูดที่ทำร้ายหัวใจยังไม่พอ เขายังมีหน้ามายิ้มเย้ยใส่อีกแน่ะ
คนอะไรใจดำชะมัด ราชาวดีเข่นเขี้ยวอยู่ภายในใจ เจ็บก็เจ็บ โกรธก็โกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็หากทำร้ายเขา ก็เท่ากับทำร้ายหัวใจของตนเอง
มีทางเดียว... คือต้องทำให้เขารักหล่อนให้จงได้... แต่มันยากไม่ต่างจากการกระโดดลงไปงมเข็มในน้ำเย็นๆ กลางฤดูหนาวในมหาสมุทรแปซิฟิกยังไงยังงั้น
“ข้าน้อยรู้แล้วเพคะว่าไม่งาม งั้นข้าน้อยขอตัวนะเพคะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแง่งอนปนเปกับความน้อยใจ ทวิภาครับรู้ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
“ฉันพูดเรื่องจริงทำไมต้องทำเสียงน้อยใจด้วยล่ะ แล้วจะรีบไปไหนกัน ถูกส่งมารับใช้ฉันไม่ใช่หรือ”
ตอนที่ 4.ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้นึกอยากให้แม่นางกำนัลหน้าหวานนี้อยู่คุยด้วยอีก ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็พยายามจะปลีกตัวไปอย่างเต็มที่ราชาวดีเผลอตัวเชิดหน้าตามวิสัยของผู้ที่เคยถูกแต่คนรุมล้อมตามใจ “เพคะ แต่เห็นว่านายท่านไม่ต้องการอะไรแล้ว ข้าน้อยจึงไม่อยากรบกวน” กระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิดร่างกำยำที่ยืนใกล้ๆ แกล้งขยับเข้าหาเรื่อยๆ ราชาวดีรีบถอยหลังหนี จ้องมองบุรุษงามล้ำเบื้องหน้าด้วยความตกใจ จนในที่สุดแผ่นหลังอรชรของหล่อนก็ชนเข้ากับผนังห้อง ความเย็นแล่นปร๊าดเข้าใส่ร่างแต่กระนั้นมันก็หาสยบความร้อนระอุที่เกิดจากความใกล้ชิดของพ่อคนตัวโตที่เดินเข้ามาแนบชิดไม่ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีแววล้อเลียน ขณะที่หล่อนหน้าแดงก่ำ “ถะ ถอยออกไปเพคะ”“ถ้าฉันไม่ถอยล่ะมีอะไรหรือเปล่า เธอถูกส่งมาปรนนิบัติฉันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องทำท่าทางหวาดกลัวแบบนั้นด้วย...”ราชาวดีหน้าตาตื่นกับความคิดของอีกฝ่าย ก่อนจะรีบส่ายหน้าดิก “ไม่ใช่นะ เชียงรุ้งไม่มีการต้อนรับแขกแบบนี้ ถอยไปเถอะเพคะ...”อธิบายแล้วก็ต้องรีบปราม เมื่อร่างใหญ่ตระหง่านก้าวเข้ามาแนบชิด พร้อมๆ กับใช้ฝ่ามือค้ำกับผนังห้องทั้งสอง
ตอนที่ 1.พระราชวังสีทองอร่ามที่เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทวิภาคถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ มันกว้างใหญ่ไพศาลหาใครเทียม แถมอาณาเขตโดยรอบเกือบทั้งหมดยังเป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ และอานิสงส์ของผืนป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้เขียวขจีก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองใจหายไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความร่มเย็นผ่อนคลายชายหนุ่มไม่อาจจะบรรยายสิ่งที่เห็นออกมาเป็นคำพูดได้เลยว่ามันงดงามมากเพียงใด เพราะคำใดๆ ในโลกนี้คงเทียบกับความประณีตวิจิตรบรรจงที่ได้พบเห็นไม่ได้อีกแล้ว“เชิญคุณทางนี้ค่ะ”เสียงใสๆ ของนางกำนัลในชุดคล้ายๆ กับชาวไทยวน คาดอกด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้ม ไหล่เปลือยถูกคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน และสวมผ้าซิ่นสีพื้น ขณะที่ทรงผมถูกเกล้ามวยไว้กลางศีรษะมีดอกเอื้องแซมพองาม ช่วยกระชากเขาให้ออกจากความงดงามตรงหน้าชายหนุ่มได้สติ รีบเดินตามนางกำนัลเข้าไปในพระราชวังโอ่อ่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างที่ก้าวเดินก็ยังอดสอดส่ายสายตาไปรอบๆ วังนี้ไม่ได้ และก็ได้เห็นผู้ชายวัยฉกรรจ์เปลือยอก นุ่งผ้าฝ้ายสีน้ำเงินสีเดียวกับผ้าคาดอกของนางกำนัลที่เดินอยู่เบื้องหน้า มีผ้าสีขาวคาดที่หน้าผาก มือถือดาบเดินเป็นแถวไปมาเป็นระเบียบนี่
ตอนที่ 2.รสามองตามร่างเล็กของมาลีไปจนสุดตา ก่อนจะหันมามองเจ้าหญิงน้อยของตน และพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง“รสาคิดว่ามันจะไม่งามนะเพคะ หากองค์หญิงจะไปใกล้ชิดกับบุรุษต่างชนชาติแบบนั้น รสาขอตามเสด็จไปด้วยดีกว่า...”“นี่รสาไม่ไว้ใจหญิงหรือจ๊ะ รสาเลี้ยงหญิงมากับมือน่าจะรู้จักนิสัยหญิงมากกว่าใคร...”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตัดพ้อ ดวงตากลมโตที่มีแพขนตางอนยาวสีดำขลับล้อมรอบอยู่มีน้ำตาเอ่อคลอ รสาเห็นแล้วก็ถอนใจออกมาหนักๆ เพราะเจ้าหญิงน้อยของตนใช้วิธีนี้อีกแล้ว“ก็ได้เพคะ รสาจะเชื่อใจองค์หญิง แต่รสาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลย ตอนเจอที่เมืองไทยคราวนั้นก็แทบจะเสวยพระเศียรขององค์หญิงเข้าไปทางปากอยู่แล้ว...”หญิงสาวสูงศักดิ์ระบายยิ้ม ตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “แหม รสาก็พูดเกินไป เขาคงโมโหที่หญิงไปขวางรถเขานั่นแหละ รสาอย่าอคตินักสิ นะนะ...” ออดอ้อนอ่อนหวาน แถมหอมซ้ายหอมขวาแบบนี้ มีหรือรสาจะไม่ใจอ่อน เพราะในที่สุดก็พยักหน้า“รสาเคยขัดพระทัยขององค์หญิงได้ที่ไหนกันล่ะเพคะ”ราชาวดียิ้มกว้าง พลางกอดคนสนิทแน่น “ขอบใจรสามากจ้ะ หญิงรักรสาที่สุดเลย...” รสาได้แต่แอบถอดถอนใจกับความแก่นแก้วของเจ้าหญิงน้อยของตนเองอยู่เพีย
ตอนที่ 4.ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้นึกอยากให้แม่นางกำนัลหน้าหวานนี้อยู่คุยด้วยอีก ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็พยายามจะปลีกตัวไปอย่างเต็มที่ราชาวดีเผลอตัวเชิดหน้าตามวิสัยของผู้ที่เคยถูกแต่คนรุมล้อมตามใจ “เพคะ แต่เห็นว่านายท่านไม่ต้องการอะไรแล้ว ข้าน้อยจึงไม่อยากรบกวน” กระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิดร่างกำยำที่ยืนใกล้ๆ แกล้งขยับเข้าหาเรื่อยๆ ราชาวดีรีบถอยหลังหนี จ้องมองบุรุษงามล้ำเบื้องหน้าด้วยความตกใจ จนในที่สุดแผ่นหลังอรชรของหล่อนก็ชนเข้ากับผนังห้อง ความเย็นแล่นปร๊าดเข้าใส่ร่างแต่กระนั้นมันก็หาสยบความร้อนระอุที่เกิดจากความใกล้ชิดของพ่อคนตัวโตที่เดินเข้ามาแนบชิดไม่ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีแววล้อเลียน ขณะที่หล่อนหน้าแดงก่ำ “ถะ ถอยออกไปเพคะ”“ถ้าฉันไม่ถอยล่ะมีอะไรหรือเปล่า เธอถูกส่งมาปรนนิบัติฉันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องทำท่าทางหวาดกลัวแบบนั้นด้วย...”ราชาวดีหน้าตาตื่นกับความคิดของอีกฝ่าย ก่อนจะรีบส่ายหน้าดิก “ไม่ใช่นะ เชียงรุ้งไม่มีการต้อนรับแขกแบบนี้ ถอยไปเถอะเพคะ...”อธิบายแล้วก็ต้องรีบปราม เมื่อร่างใหญ่ตระหง่านก้าวเข้ามาแนบชิด พร้อมๆ กับใช้ฝ่ามือค้ำกับผนังห้องทั้งสอง
ตอนที่ 3.จากที่เคยมองไปยังวิวด้านนอก จำต้องละสายตากลับมามองสตรีสาวที่ขึ้นเสียง แถมยังชี้หน้าเขาอย่างไม่พอใจด้วยความประหลาดใจ“เธอเป็นเจ้าหญิงหรือไง ถึงได้เดือดร้อน” คำพูดนี้ทำให้สาวน้อยรู้สึกตัว รีบแก้ตัวพัลวัน“ก็...เอ่อ... นายท่านไม่ควรกล่าวหาองค์หญิงแบบนี้ หากใครได้ยินเข้าโทษถึงประหารเลยนะเพคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานยังคงขุ่นคลักทวิภาคยักไหล่ทำท่าไม่แยแส จนราชาวดีอยากจะทุบสักปึ๊กสองปึ๊กให้หายโอหังนัก นี่หากไม่รักไม่ใคร่นะ จะสั่งให้ทหารจับไปทรมานให้เข็ด“ฉันพูดความจริงทำไมต้องกลัวด้วย องค์หญิงของเธอนั่นแหละที่สมควรจะอาย มีอย่างที่ไหนบังคับให้ผู้ชายมาหา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย...”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ ราชาวดีฟังแล้วก็ชอกช้ำ หน้าเศร้าไม่คิดว่าเขาจะรังเกียจหล่อนถึงเพียงนี้ หล่อนก็แค่อยากเห็นเขา อยากใกล้เขา อยากตอบแทนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้แค่นั้นเอง ไม่เคยคิดจะใช้อำนาจเพื่อให้ได้ตัวเขามาครอบครองสักหน่อยน้ำตาพาลจะไหลต้องรีบซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มหวานที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เล็ก “หากนายท่านได้พบองค์หญิง นายท่านจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าพระพักตร์หรือเปล่าเพคะ”“ฉันเป็นคนปากตรงกับใจ คิดยัง
ตอนที่ 2.รสามองตามร่างเล็กของมาลีไปจนสุดตา ก่อนจะหันมามองเจ้าหญิงน้อยของตน และพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง“รสาคิดว่ามันจะไม่งามนะเพคะ หากองค์หญิงจะไปใกล้ชิดกับบุรุษต่างชนชาติแบบนั้น รสาขอตามเสด็จไปด้วยดีกว่า...”“นี่รสาไม่ไว้ใจหญิงหรือจ๊ะ รสาเลี้ยงหญิงมากับมือน่าจะรู้จักนิสัยหญิงมากกว่าใคร...”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตัดพ้อ ดวงตากลมโตที่มีแพขนตางอนยาวสีดำขลับล้อมรอบอยู่มีน้ำตาเอ่อคลอ รสาเห็นแล้วก็ถอนใจออกมาหนักๆ เพราะเจ้าหญิงน้อยของตนใช้วิธีนี้อีกแล้ว“ก็ได้เพคะ รสาจะเชื่อใจองค์หญิง แต่รสาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลย ตอนเจอที่เมืองไทยคราวนั้นก็แทบจะเสวยพระเศียรขององค์หญิงเข้าไปทางปากอยู่แล้ว...”หญิงสาวสูงศักดิ์ระบายยิ้ม ตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “แหม รสาก็พูดเกินไป เขาคงโมโหที่หญิงไปขวางรถเขานั่นแหละ รสาอย่าอคตินักสิ นะนะ...” ออดอ้อนอ่อนหวาน แถมหอมซ้ายหอมขวาแบบนี้ มีหรือรสาจะไม่ใจอ่อน เพราะในที่สุดก็พยักหน้า“รสาเคยขัดพระทัยขององค์หญิงได้ที่ไหนกันล่ะเพคะ”ราชาวดียิ้มกว้าง พลางกอดคนสนิทแน่น “ขอบใจรสามากจ้ะ หญิงรักรสาที่สุดเลย...” รสาได้แต่แอบถอดถอนใจกับความแก่นแก้วของเจ้าหญิงน้อยของตนเองอยู่เพีย
ตอนที่ 1.พระราชวังสีทองอร่ามที่เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทวิภาคถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ มันกว้างใหญ่ไพศาลหาใครเทียม แถมอาณาเขตโดยรอบเกือบทั้งหมดยังเป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ และอานิสงส์ของผืนป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้เขียวขจีก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองใจหายไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความร่มเย็นผ่อนคลายชายหนุ่มไม่อาจจะบรรยายสิ่งที่เห็นออกมาเป็นคำพูดได้เลยว่ามันงดงามมากเพียงใด เพราะคำใดๆ ในโลกนี้คงเทียบกับความประณีตวิจิตรบรรจงที่ได้พบเห็นไม่ได้อีกแล้ว“เชิญคุณทางนี้ค่ะ”เสียงใสๆ ของนางกำนัลในชุดคล้ายๆ กับชาวไทยวน คาดอกด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้ม ไหล่เปลือยถูกคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน และสวมผ้าซิ่นสีพื้น ขณะที่ทรงผมถูกเกล้ามวยไว้กลางศีรษะมีดอกเอื้องแซมพองาม ช่วยกระชากเขาให้ออกจากความงดงามตรงหน้าชายหนุ่มได้สติ รีบเดินตามนางกำนัลเข้าไปในพระราชวังโอ่อ่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างที่ก้าวเดินก็ยังอดสอดส่ายสายตาไปรอบๆ วังนี้ไม่ได้ และก็ได้เห็นผู้ชายวัยฉกรรจ์เปลือยอก นุ่งผ้าฝ้ายสีน้ำเงินสีเดียวกับผ้าคาดอกของนางกำนัลที่เดินอยู่เบื้องหน้า มีผ้าสีขาวคาดที่หน้าผาก มือถือดาบเดินเป็นแถวไปมาเป็นระเบียบนี่