หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเเล้ว จรีภรณ์เดินขึ้นมาห้องนอนทันทีเพราะไม่อยากจะยุ่งเรื่องของคนในครอบครัวเท่าไหร่ ทว่าเสียงของคุณแม่สามีก็ดังจนผ่านผนังห้องเข้ามาจนน่าตกใจ อันที่จริงอยากจะบอกว่า ไล่ไปนอนที่ไหนก็ไปเถอะ ถึงยังไงเธอก็ไม่อยากจะนอนด้วยกันอยู่เเล้ว
จรีภรณ์เดินไปกลางห้องสำรวจรอบๆ พลางถอนหายใจออกมาและตกอยู่ในภวังค์ของตน ไม่รู้จะอยู่ในร่างนี้อีกนานเเค่ไหนกันเชียว ไม่รู้ว่าวิญญาณของพริมมาจะเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้รู้สึกกลายเป็นคนบาปที่แย่ง ร่างของผู้หญิงคนนี้ “พริมมา ฉันขอโทษนะ” จรีภรณ์พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกผิด วาบ…รอบผิวกายของเธอกลับรู้สึกเย็นเยือกในทันที เจ้าตัวยกมือลูบที่ต้นเเขนเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเเละเปิดออก คุณพระ ! จรีภรณ์มองเสื้อผ้าตรงหน้า ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ บอกทีว่าคืนนี้เธอต้องใส่ชุดนอนอันบางเบานอนกับผู้ชายคนนั้น ! “ใครจะกล้าใส่กัน !” หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าเเต่ละชุดที่คิดว่าต้องไม่ใส่ออกมาจนหมดเเละ…มันก็หมดตู้ “แล้วคืนนี้ฉันจะใส่อะไรเนี่ย ลำพังแค่เดรสที่ใส่วันนี้ ลมวาบๆ ที่ขาจนแทบเดินไม่ออกเเล้ว !” จรีภรณ์อยากจะร้องไห้ เเต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเลือกหยิบชุดนอนเบาบางที่ดูปิดมิดที่สุดออกมา “ชุดชั้นในลายลูกไม้ ! ฮ่าๆ ลายลูกไม้” หัวเราะทั้งน้ำตา มือทั้งสองก็ไม่วายข้างหยิบชุดชั้นในสีชมพูออกมา เมื่อเลือกชุดนอนได้เเล้ว จรีภรณ์ก็จัดการเก็บเสื้อผ้าตัวอื่นยัดใส่ตู้เข้าที่เดิมเเล้วมองชุดที่ต้องใส่นอนวันนี้ ประตูห้องเปิดออก จรีภรณ์รีบซ่อนชุดอันน่าอายไว้ข้างหลังทันที สายตาคู่มองชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าขรึม หญิงสาวเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ “คนอะไรน่าต่อยชะมัด” บ่นพึมพำในปาก ก่อนจะเหลือบมองและหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานสิบนาที จรีภรณ์เดินออกมาในชุดนอนบางเบา แต่ชั้นนอกก็ยังเอาผ้าขนหนูคลุมเอาไว้ สายตาเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนปลายเตียง “จะนั่งถึงเช้าเลยไหมคะ ?” หญิงสาวเอ่ยถาม กตตน์หันมามองภรรยาที่ทำหน้ากวนใส่ “เรื่องของผม ถ้าคุณง่วงก็นอนไปก่อนเลย” “เรื่องของผม โธ่ ! คิดว่าอยากจะยุ่งนักหรือไง” เลียนเสียงชายหนุ่มพลางพูดบ่น ใช่ว่าอยากจะถามหรือสนทนาด้วยนักหรอก กตตน์มองอากัปกิริยาของหญิงสาว ก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเเละเข้าห้องน้ำไป จรีภรณ์ถอดผ้าขนหนูออกวางไว้ที่ปลายเตียง มองก่อนจะขึ้นเตียงนอนเปิดโทรทัศน์พลางๆ ให้ง่วง เปลี่ยนช่องนานเกือบสิบนาทีก็ยังตัดสินใจว่าจะดูช่องไหนเเน่ๆ ไม่ได้ หรือวันนี้ไม่มีอะไรจะให้ดูจริงๆ จนสุดท้ายมาตกอยู่ช่องซีรีส์เดิมๆ ที่เคยดูผ่านมาเเล้ว 'เราจะต้องตามจับฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ให้ได้ ไม่งั้นจะต้องมีเหยื่อมากกว่าหนึ่งราย' 'เเต่หลักฐานของเรานำไปสู่ตัวฆาตกรหรือผู้ต้องสงสัยไม่มากพอ' 'กลับไปที่หลักฐานที่เรามีอยู่ ไม่ว่ายังไงจะต้องตามจับเจ้าฆาตกรคนนี้ให้ได้' “ยังไม่นอนอีกหรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น จรีภรณ์ละสายตาจากทีวีตรงหน้าหันมองเตรียมตอบเเต่ทว่า… “เฮ้ย ! อกอีแม่แตกกระจาย !” หญิงสาวอุทานออกมาเมื่อมอง ชายหนุ่มที่เดินออกมาเปลือยเปล่าท่อนบน มีเพียงผ้าขนหนูที่คลุมด้านล่างไว้ กตตน์มองคนตัวเล็กอุทานตาค้างด้วยความเเปลกใจ มันเป็นเรื่องปกติมากที่จะเดินออกมาในสภาพนี้เวลาอยู่กับพริมมา และเธอเองก็ชินนานเเล้ว ทำไมวันนี้ทำท่าทางเเปลกๆ หนำซ้ำยังอุทานคำที่ไม่เคยคิดจะพูดออกมา ชายหนุ่มส่ายหน้า ไม่สนใจอะไรตรงข้ามกับจรีภรณ์ที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาเผลอมองหุ่นอันน่าพิสมัยของเขาเสียเเล้ว หญิงสาวหลบตาเเละรีบปิดทีวีซุกตัวลงนอนใต้ผ้าห่มทันที ก็เเค่หุ่นดีเองน่าไอ้ต๋อมเอ๊ย ! ภูมิต้านทานเรื่องผู้ชายเเต่ไหนเเต่ไรก็ดีมาตลอดนี่นา กตตน์เปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยเเล้วจึงเดินมาที่เตียง น้ำหนักทิ้งลงบนเตียงทำให้จรีภรณ์สะดุ้งขึ้นขยับตัวถอยหนีจนแทบชิดปลายเตียงพลางหันมามองชายหนุ่ม “นี่คุณ…” “อะไร ?” กตตน์ถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ “คุณเกลียดฉันใช่ไหม ก็แยกลงไปนอนพื้นสิ” หญิงสาวรอชายหนุ่มตอบ เเต่เขากลับนิ่งไม่สนใจหนำซ้ำยังหลับตานอนสบายใจซึ่งต่างจากเธอที่พยายามข่มตาหลับเพราะเกิดมาเพิ่งจะเคยนอนร่วมเตียงกับผู้ชายก็วันนี้ล่ะ! ลมเย็นเยือกพัดผ่านผ้าม่านในห้องจนปลิวทั้งที่ก็ไม่ได้เปิดหน้าต่างเอาไว้ ก่อนจะปรากฏร่างโปร่งแสงของหญิงสาวขึ้น ใบหน้าสีขาวซีดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย ดวงตาดำหมองคล้ำเศร้าโศก ศีรษะด้านซ้ายเต็มไปด้วยเลือด เเม้กระทั่งชุดที่สวมอยู่ มือเรียวโปร่งแสงเอื้อมเข้าไปหา ทว่าดูเหมือนจะไกลห่างออกไปทุกที ปากขยับพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครอาจได้ยิน ‘เอาสามีของฉันคืนมา!’ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo