แสงอาทิตย์ลับของฟ้ามานานแล้ว ทว่าจรีภรณ์ยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม สายตาทอดมองออกไปยังหน้าต่างจากมุมห้องพักตึกสูง หากว่านี้เป็นความฝันก็อยากจะรีบตื่นจากมันเสีย หญิงสาวคนนี้ร่างบอบบางเกินกว่าที่ตัวเองจะถนัดได้ ตัวเล็กผิวขาวน่าทะนุถนอม หากได้เจออาจจะต้องหลงชอบบ้าง แต่ทว่ามันไม่ชินเลยสักนิดกับการที่ต้องมาแบกหน้าอกสะบึ้มทั้งที่ก่อนหน้านั้น ร่างของเธอแบนเรียบเหมือนไม้กระดาน !
ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จรีภรณ์หันไปทางกระจกหน้าต่างแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง “เธอเป็นใคร !!”น่าขันจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นปีโคตรซวย โคตรชงใช่ไหม !แล้วตอนนี้ร่างของเธอละ อยู่ที่ไหนกัน ? หญิงสาวนั่งอยู่นานก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจำใครได้บ้าง เบอร์ของใครสักคนที่สามารถติดต่อถึงได้ ว่าร่างอยู่ที่ไหนฮิปโป...ตอนนี้ในสมองคงจะจำได้แค่เบอร์ของคนนี้ ไม่อยากจะโทร.ไปฟังเสียงชวนขนลุกนี้เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ตอนนี้ความอยากรู้มากกว่าทุกสิ่ง จรีภรณ์รีบกดเบอร์ของชายหนุ่มและยกโทรศัพท์แนบหูทันที [สวัสดีครับ] หญิงสาวเงียบนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับอีกฝ่ายยังไงดี “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของต๋อม...” จรีภรณ์ข่มน้ำเสียงพูด โดยการเริ่มต้นใหม่จากคนที่ไม่รู้จักหน้ากัน “ฉันติดต่อต๋อมไม่ได้ พอดีเธอเคยให้เบอร์เพื่อนร่วมงานเอาไว้ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอหรือเปล่า ?” [คุณเป็นเพื่อนน้องต๋อมหรือครับ ?] “ใช่ค่ะ พอดีฉันอยากรู้ว่าต๋อมพักอยู่ที่ไหนแล้วมีเบอร์ของเธอ ไหมคะ” จรีภรณ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน [มีครับ แต่คงติดต่อเธอไม่ได้อีกแล้ว เธอเสียชีวิตแล้วครับ…]อะไรนะ ! หมายความว่าอย่างไร แล้วเธอจะกลับเข้าร่างได้ยังไงไม่จริงใช่ไหม ! “หมายความว่ายังไงคะ !” หญิงสาวเริ่มถามเสียงสั่น เพราะใจเริ่มจะรู้แล้วว่าที่อีกฝ่ายพูดอาจเป็นจริงเพียงต้องการได้ยินอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ [ต๋อมประสบอุบัติเหตุครับ วันนี้เป็นวันสวดที่สี่แล้ว พอครอบเจ็ดวันหลังสวดก็จะเผาครับ]เผ่าร่างของเธอ บ้าน่า ! “รบกวนขอชื่อวัดด้วยค่ะ” จรีภรณ์พูดเสียงสั่น มันเป็นเรื่องที่บ้าและเหลือเชื่อเกินความจริง แต่มันก็คือความจริงที่ว่า...เธอตายแล้ว ! ชายหนุ่มบอกชื่อวัดก่อนที่หญิงสาวจะกล่าวขอบคุณและวางสายไป ร่ายกายสั่นเทาสับสน มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าร่างของเธอไม่มีแล้วก็เท่ากับว่าตอนนี้มาแย่งร่างของผู้หญิงคนนี้หรือ...!รถยนต์คันหรูจอดลงที่ใต้ชายคาคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูรถเปิดออกบวรลักษณ์ก้าวลงจากรถตามด้วยลูกสะใภ้คนโตเเละจรีภรณ์ หญิงสาว ส่งสายตามองบ้านหลังใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าของร่างจะเป็นสะใภ้ของคุณหญิงคุณนาย ที่มีบ้านหลังใหญ่โตคนใช้ไม่ขาดมือเเบบนี้ “เข้าบ้านเถอะลูก” จรีภรณ์พยักหน้าเเทนคำตอบก่อนจะเดินตามเข้าไป เวลานี้ทุกคนต่างเข้าใจว่า ‘พริมมา หรัญสกุล’ เสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ เมื่อเดินมาถึงในบ้านเเล้ว สาวใช้รีบวิ่งเข้ามาหาบวรลักษณ์สั่งให้นำของขึ้นไปไว้ที่ห้องเหมือนเดิม ก่อนจะพาเดินดูรอบๆ บ้าน คฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราน่าอยู่ คนในบ้านก็แสนดี ชีวิตของพริมมาน่าอิจฉาเสียจริง เกิดมาเป็นคุณหนูแต่งงานไปก็ได้ครอบครัวสามีที่ดี แม่สามีเอาใจ พี่สะใภ้ก็น่ารัก ทุกอย่างต่างจากชีวิตของเธอโดยสิ้นเชิง ! เดินมาจนถึงสวนหลังบ้าน บรรยากาศในช่วงบ่ายสี่โมงกำลังดี มีแดดอ่อนๆ มีลมพัดมาเป็นระยะ ที่นี่ดูสบายตาเเละสบายใจ จรีภรณ์สาวเท้าเข้าไปรับลมเบาๆ ที่พัดมาก่อนจะยิ้มออกมา “พอจำได้บ้างไหม?” มารวีเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาหา จรีภรณ์หันหลังกลับไปก่อนจะส่ายหน้าเเทนคำตอบ “เอาเถอะ เรื่องเเบบนี้ต้องใช้เวลา” มารวีกล่าว “นี่ก็เกือบได้เวลากิน มื้อเย็นแล้ว ไปกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไป ทว่า... “เออ…เดี๋ยว…ค่ะ” จรีภรณ์พูดขึ้นทำให้อีกฝ่ายหันมามอง “เออ คือว่าฉัน…ต้องนอนกับ...” “ตาไม้เหรอ” จรีภรณ์ไม่รู้ชื่อผู้ชายคนนั้นแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันจึง พยักหน้าตอบ “ก็ใช่น่ะสิ เป็นผัวเมียกันจะให้ไปนอนกับใคร...เอาละ ไปกินข้าว กันเถอะ” จรีภรณ์อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกทั้งที่มารวีนั้นเดินลับสายตาไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี...เป็นผัวเมียกันก็ต้องนอนด้วยกัน ! จะมีอะไรที่ทรมานไปกว่านี้อีกไหม ? เดินกลับมาข้างในบ้านก็ได้ยินเสียงโวยวายของบวรลักษณ์ขึ้นมา จรีภรณ์ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศข้างในดูไม่ดีมากนัก สายตามองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า “พอเถอะครับคุณแม่ ยังไงเจ้าไม้ก็กลับมาแล้ว” กันตภณเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามารดายังไม่หายขุ่นเคืองน้องชาย บวรลักษณ์สุดจะเอือมกับการกระทำของลูกชายคนเล็ก ทั้งที่บอกว่าให้กลับบ้านมาช่วยดูแลภรรยาในช่วงนี้เสียหน่อย แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธหนำซ้ำยังไม่ไยดีด้วย “เรื่องของแก แต่ถ้าแกไม่มาหุ้นส่วนบริษัทที่แกควรจะได้ฉันจะยกให้ตามาร์คคนเดียว !” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงกันตภณที่ส่ายหัวมองน้องชายแล้วถอนหายใจออกมา “วันนี้ก็อยู่ค้างที่บ้านแล้วกัน อย่าให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เลย” ผู้เป็นพี่พูดเตือนพลางยกมือตบบ่าเป็นการปลอบ กตตน์มองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินจากไปก่อนจะหันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ จรีภรณ์สบตามองและพินิจชายหนุ่มตรงหน้าในขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน “คนอะไรขี้เก๊กเป็นบ้า” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไปติดๆครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo