‘กตตน์’ มีคนรักอยู่แล้วแต่เพราะถูกบังคับแต่งงานอย่างไม่เต็มใจ ถึงแม้จะแต่งงานมีภรรยาแต่ก็ไม่เคยรักหล่อนเลยและคิดว่าไม่มีวันจะรัก ส่วน ‘จรีภรณ์’ ที่หมดกรรมและคิดว่าต้องตายแล้วกลับฟื้นจากความตายมาอยู่ในร่างของหญิงสาวปริศนาหน้าอกสะบึ้มใครจะไปรู้ว่า...เรื่องวุ่นๆ จะเกิดขึ้นตามมา เมื่ออยู่ ๆ โดนวิญญาณเจ้าของร่างตามหลอกหลอน ! บอกว่า 'เอาร่างของฉันคืนมา !' นอกจากจะเจอคุณผีภรรยาแล้ว ยังต้องปวดหัวกับสามีของหล่อนที่แอบนอกใจอีก สวรรค์ช่างทรมานคนตายเสียจริง...?!
Lihat lebih banyakมายาปฏิพัทธ์
เขียนโดย เฌอรินทิพย์ บทนำ ‘ถ้าแกยังไม่ยอมเลิกมีแฟนเป็นผู้หญิง ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!!’ เธอยังจำเสียงนี้ได้ดีและไม่มีวันลืม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ปิดเทอมจากมหา’ลัย กลับบ้านมาก็มักจะโดนว่าแบบนี้ทุกครั้ง จนตอนนี้เรียนจบมาสองปีกว่าทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนใจมารดาได้เลย ทุกวันหยุดปีใหม่ปีที่แล้วต้องคิดนานว่าควรจะกลับไปดีไหม? สุดท้ายก็กลับไปและ... ‘ฉันเลี้ยงให้แกโตมาชอบผู้ชายด้วยกัน!’ เป็นแบบนี้มาตลอดจนเมื่อหลายเดือนก่อนแม่เกิดป่วยกะทันหันและด่วนจากไป ทั้งครอบครัวตอนนี้จากสามคนเหลือเพียงคนเดียว คำสั่งเสียของแม่คือการที่ให้แต่งงานกับผู้ชายมีครอบครัวดีๆ ซึ่งมันแทบไม่มีวันเป็นไปได้เลย เธอไม่ได้รังเกียจผู้ชายแต่ทว่าการคบกับผู้หญิงด้วยกันมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย...อีกอย่าง ในทางตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าสบายใจกว่ากันเยอะทีเดียว “น้องต๋อมอยากสั่งอะไรมาทานไหมครับ” จรีภรณ์หรือ ‘ต๋อม ’ส่ายหน้าแทนคำตอบนั่ง เธอตรงข้ามฝั่งรุ่นพี่หนุ่มที่ทำงานร่วมกัน แม้สายตาจะไม่ได้แสดงออกมาว่าเกลียดผู้ชาย แต่ท่าทางที่ดูเหินห่างก็พอบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่สนใจ ต่อให้ตัดผมสั้นแล้วใบหน้าก็ยังคงหวานและทำให้มีผู้ชายเข้ามาจีบเพราะคิดว่าเป็นสาวเปรี้ยว! “พี่ได้ข่าวว่าต๋อมชอบกิน...” “จะสั่งอะไรก็สั่งเลย” เป็นการขานรับไม่มีหางเสียงเพราะคนอย่างจรีภรณ์ไม่ใช่สาวที่เรียบร้อยและเป็นกุลสตรีที่ต้องง้อผู้ชายหรือทำตัวออดอ้อน อีกอย่างด้วยความที่ใจที่ไม่ชอบเพศตรงข้ามแล้วคงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของอีกคนได้ จึงไม่อยากจะพัฒนาความสันพันธ์จากเพื่อนร่วมงานหรือรุ่นพี่ไปเป็นอย่างอื่น “อะไรก็ได้...ค่ะ” ชายหนุ่มได้แต่มองใบหน้าสวยหวานไม่วางตา ทำให้จรีภรณ์รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ความจริงแล้วคนที่ชวนคือเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่บอกว่าสุดสัปดาห์มื้อกลางวันนัดกันไปกินเลี้ยงซึ่งมีแต่ผู้หญิงแล้วทำไมตอนนี้มีเพียงแค่เธอและคุณรุ่นพี่หน้าจืดเท่านั้นเล่า! “งั้นพี่สั่งให้นะครับ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ พลางพยักหน้ารับโดยไม่ปริปากพูดอะไร ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟจรีภรณ์ได้แต่นั่งหันมองไปทางอื่น เมื่อบรรยากาศเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวจึงออกปากขอชายหนุ่มไปเข้าห้องน้ำ “ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน...นะคะ” พูดเสร็จก็ลุกเดินจากไปทันที เมื่อเดินห่างออกมามากพอแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา จรีภรณ์เดินเข้ามาในห้องน้ำล้างมือและส่องมองตัวเองที่หน้ากระจก ไม่มีใครดูออกว่าภายในของหญิงสาวนั้นไม่ได้ชอบเพศตรงข้ามเลยสักนิด จรีภรณ์มีใบหน้าหวานกับดวงตากลมโตและจมูกที่รับริมฝีปากพอดี ผมสั้นที่ตัดเท่าใบหูดูให้เหมือนผู้ชายหน้าหวานแต่ใบหน้าก็ยังคงอิ่มไม่เปลี่ยน...ทว่าการแต่งตัวนั้นดูตรงข้ามกับหน้าตาอย่างชัดเจน หญิงสาวจงใจให้เป็นแบบนั้นเพื่อหลีกผู้ชายที่เข้ามาจีบ แต่มันก็ไม่ได้ดูน้อยลงเลย เมื่อระบายความรู้สึกอึดอัดเสร็จแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม อาหารถูกเสิร์ฟจนเต็มแต่จะให้นั่งกินกับ ผู้ชายเหมือนมาเดทกันคงจะยากหน่อย “สรุปคนอื่นจะไม่มาใช่ไหมคะ?” จรีภรณ์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากนัก รุ่นพี่เพื่อนร่วมงานยิ้มระบายก่อนพูดขึ้น “พี่ขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกเลย ต๋อมคงจะไม่ว่าอะไรพี่ใช่ไหม?” “ไม่เลย พี่ฮิปโป” จรีภรณ์พูดลากเสียงยาวพร้อมชื่อของอีกฝ่าย เมื่อเรียกทีก็จะกลั้นขำกับชื่อเล่นนั้นไม่ได้ ปกติแล้วทุกคนในแผนกจะเรียกว่า ‘พี่โป’ คงจะมีแต่เธอที่เรียกเต็มๆ ว่าฮิปโป “ครับ งั้นเราทานกัน” หญิงสาวเพียงยิ้มรับและหยิบช้อนตักอาหารเข้าไปพลางเหลือบสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าไป...ทำไมสีหน้าดูมีความสุข ต่างจากเราที่อมทุกข์อยู่ในใจละวะเนี่ย! “น้อมต๋อมชอบอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” จรีภรณ์คาช้อนในปากไว้ เงยหน้าขึ้นมองพี่ฮิปโปแล้วส่ายหน้าตอบ “ไม่มีเลยหรือครับ อย่างเช่นชอบสีอะไร ชอบดอกไม้อะไร หรือว่าชอบดูหนังแนวไหน” ถามมาเป็นชุดนี่กะจะรุกจีบใช่ไหมเนี่ย! จรีภรณ์เคี้ยวอาหารในปากให้หมดก่อนจะเอื้อมมือหยิบน้ำดื่มตามแล้วพูดขึ้น “ไม่มีค่ะ” “ไม่มีเลยเหรอครับ” ฮิปโปยังคงถามซ้ำและรอคำตอบ “ไม่มีค่ะ” “จริงๆ หรือครับ” ชายหนุ่มเริ่มส่งสายตาอ้อนวอนให้ตอบ “สีที่ชอบสีดำ ดอกไม้ไม่มี หนังที่ชอบดูก็แนวฆาตกรรม” จรีภรณ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนักและหวังว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจด้วย... “จริงหรือครับ งั้นถ้ามีภาพยนตร์แนวฆาตกรรมออกมาพี่จะชวนต๋อมไปดูด้วยกันนะ” ห๊า!! จรีภรณ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ไม่ต้องๆ เกรงใจเปล่าๆ ค่ะ” รีบบอกปฏิเสธทันทีเพราะแค่วันนี้ไม่ถึงชั่วโมงทำเอาอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว หากไปดูหนังด้วยกัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ... “น้องต๋อมครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้จรีภรณ์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง “พี่ชอบน้องนะครับ” จรีภรณ์นั่งอึ้ง อาหารที่อยู่ในปากแทบจะสำลักติดคอ “น้องต๋อมครับ...” จรีภรณ์รีบมองหน้าและฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย “พี่ฮิปโปอย่ามโนไปเอง! ให้ต๋อมเป็นรุ่นน้องพี่ดีแล้ว!” จรีภรณ์ตอบปฏิเสธไปทันที ครั้นมองสีหน้าอีกฝ่ายที่แสดงความผิดหวังออกมาก็รู้สึกผิดนิดๆ แต่จะให้ชอบคุณพี่ฮิปโปตรงหน้าเห็นทีคงจะไม่ได้ คงตัดใจแล้วละมั้ง... “ไม่เป็นไรครับ พี่จะจีบน้องเชื่อว่าสักวันน้องต้องชอบพี่แน่ๆ” ห๊า!! ไม่ตัดใจง่ายๆ หนำซ้ำยังจะจีบต่อ...เอาไงดี รับรองวันนี้ได้ตกนรกเป็นๆ ทั้งวันแน่ๆ “ใช่! ต๋อมนึกได้ว่ามีธุระ งั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ” เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นวิ่งหายไปในทันทีทิ้งให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวก็นั่งอยู่คนเดียวเสียแล้ว จรีภรณ์เดินออกมาห่างมากพอสมควรที่จะหยุดพักหายใจ กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ไม่คิดว่าคนในแผนกจะช่วยกันเพื่อให้พี่ฮิปโปได้มีโอกาสอยู่กับเธอ มันจะเลวร้ายมากแค่ไหนถ้าเกิดเดินจูงมือผู้ชาย อี๋! ไม่อยากจะคิดเลย... หญิงสาวเดินออกจากห้างสรรพสินค้าขึ้นรถเมล์เพื่อกลับไปยังอพาร์ตเมนต์ นั่งรถไม่ถึงสี่สิบหน้าทีก็ถึงที่หมาย สายตามองไปรอบๆ พลางถอนหายใจออกมา พลันมองเห็นลูกสุนัขที่วิ่งผ่านตัดหน้าไปก็อดที่จะมองนานๆ ไม่ได้ เจ้าสุนัขตัวน้อยวิ่งผ่านออกไปที่ถนนใหญ่สามเลน จรีภรณ์เห็นว่ารถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วนั้นได้เบรกหักเลี้ยวลงข้างทางเพื่อหลบเจ้าสุนัข รถสิบล้อพุ่งเข้าชนป้าโฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากหญิงสาวไม่ถึงห้าเมตร จรีภรณ์ยืนนิ่งตัวแข็งก่อนตั้งสติได้ โชคดีที่รถไม่พุ่งเข้าใส่เธอ แกร๊ก...แอ๊ด ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ขยับเอียงค่อยๆ ล้มลงมา จรีภรณ์รีบที่จะเดินถอยออกห่างแต่ทว่า.... “เฮ้ย...!!!” _________________________________________ ขอบคุณที่ติดตามนะคะครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง
Komen