ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณ
เซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล
“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”
เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”
เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลัง
เขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว
“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”
มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
“ข้ารู้น่า” ความหยิ่งยโสสูงทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง เฉินซือหยาง
แทบไม่ฟังคำเตือนของเขา หากแต่ร่ายพลังปีศาจใส่ร่างของคนที่มาขัดขวาง
การต่อสู้ระหว่างสำนักเซียนและลูกน้องจอมมารเต็มไปด้วยความดุเดือด ข้าวของรอบตัวแตกกระจายเพราะพลังที่เหนือขั้นกว่าคนทั่วไป
ในขณะที่โจวเหวินหลงยังคงรอว่าสัญลักษณ์ของเทพดาราจะปรากฏบนร่างของเซียนคนใดคนหนึ่งหรือไม่ หางตาก็สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่ใส่ชุดเดียวกันกับเซียนสองคนนั้น
เขาส่ายหน้าเพราะรู้ว่าความวุ่นวายกำลังกลับมาอีกครั้ง โจวเหวินหลงผิวปากให้เฉินซือหยางรับรู้ว่าเขาจะเอาแต่เล่นไม่ได้อีกต่อไปเพราะศิษย์สองคนยังแข็งแกร่งเพียงนี้ ไม่รู้ว่ากลุ่มเซียนที่มาใหม่จะมีลูกเล่นอะไรอีก
ทว่า ปีศาจหนุ่มกลับยักคิ้วด้วยท่าทีสบายแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอาจริงเอาจัง “ถ้าเจ้ากลัวขนาดนั้น ข้ารีบจบงานให้เจ้าก็ได้” พลางเรียกสัตว์อสูรและปีศาจจากใต้พิภพออกมาต่อกรนับไม่ถ้วน
แสงจากกระบี่เซียนพุ่งเข้าหาไอมารปีศาจที่โอบล้อมที่แห่งนั้นเป็นสัญญาณให้ลูกศิษย์ทั้งสองรู้ตัว
ศิษย์และอาจารย์สำนักม่านหยกกรูกันเข้ามาสร้างข่ายพลังเซียนก่อตัวเป็นกำแพงค่อย ๆ บีบกองทัพมารแต่ละตนจนบี้แบนแตกสลายเป็นผุยผง
จู่ ๆ พื้นดินเมืองหนานเริ่มสั่นสะเทือนราวกับจะเกิดแผ่นดินไหวจนใครหลายคนยืนทรงตัวไม่อยู่ เหล่าเซียนจึงใช้วิชาลอยตัวดูลาดเลา
เวลานั้น เสียงตึงตังดังกระหึ่มจากพื้นเบื้องล่าง ฝีเท้าของสัตว์อสูรจำพวกหนึ่งเหยียบผืนดินจนเกิดเสียงกัมปนาทพยายามวิ่งขึ้นมาด้านบน
ท้องฟ้าโล่งโปร่งไร้เมฆสีครามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน พลันวิหคสีดำปรากฏกายพร้อมปีศาจหนึ่งกระบวนทัพ
ไม่ไกลจากเมืองหนาน
“ศิษย์พี่ดูนั่นสิ” อิงฮวาชี้ให้พวกเขาดูกลุ่มไอสีดำที่ลอยโฉบไปมาบนท้องฟ้า “นั่นไม่ใช่สัตว์อสูรหรอกหรือ”
จื่อเถิงมองหน้าหยางซีอวิ๋นพลางพยักหน้าเตรียมตัวเองให้พร้อมทำหน้าที่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ก่อนออกเดินทาง
ทั้งสามรุดหน้าไปใจกลางเมืองหนานในพริบตา การปรากฏตัวของพวกเขาพอจะทำให้ชาวเมืองรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะเหตุการณ์กำลังตึงเครียด
กองทัพมารผุดขึ้นมาไม่หยุดไม่หย่อนในขณะที่กำลังคนของอีกฝ่ายล้มหายตายจากราวใบไม้ร่วง มีเพียงเหล่าเซียนที่พอจะยืนหยัดได้บ้างแม้ร่างกายจะเริ่มทนไม่ไหวก็ตามที
ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ไม่รอช้าเรียกอาวุธเซียนประจำกายออกมาพร้อมร่ายพลังสายถนัดประทับร่างเข้าร่วมต่อสู้ช่วยเหลือสำนักม่านหยกทันที
หยางซีอวิ๋นพุ่งตัวเข้ารับมือกับเฉินซือหยางที่กำลังกดพลังมารเหยียบเลี่ยงหวง พลังเซียนของเขาทำให้ปีศาจหนุ่มรู้ว่าคนผู้นี้เป็นเซียนจากสวรรค์ สายตาเขากวาดมองรอบตัวแวบหนึ่งเห็นคนแต่งกายในชุดเดียวกันอย่างจื่อเถิงและอิงฮวาจึงรู้สึกถูกใจยิ่งนัก
“ว้าว แค่โค่นล้มพวกข้า ต้องยกโขยงกันมาเยอะเพียงนี้เชียวหรือ” เขาค่อนแคะดูถูกอีกฝ่าย
“...” ฝ่ายเซียนไม่มีใครพูดอันใด แต่จดจ่อกับพลังของตัวเอง
“พวกเจ้านี่ไม่ได้ดั่งใจเลย” เฉินซือหยางเบ้ปากแล้วแอบร่ายพลังมารใส่อิงฮวาแต่จื่อเถิงตาไวป้องกันศิษย์น้องได้ทันเวลา
หยางซีอวิ๋นตวัดปลายกระบี่เฉียดลำคอของเฉินซือหยางไปหนึ่งข้อนิ้วพลาดโอกาสตัดกำลังคนบงการกองทัพมารจนทำให้คนตรงหน้าจริงจังขึ้นมากกว่าเดิม
แม้โดนกระบี่เซียนสังหาร เขาก็เพียงแค่รอจอมมารชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะถึงขั้นตอนนั้น กงจื่อเย่คงลงโทษทรมานเขาจนหนำใจ เฉินซือหยางคิดว่าเรื่องราวพวกนั้นยุ่งยากกวนใจ ทางที่ดีคือรักษาชีวิตไม่ให้ตายจะดีกว่า
เขาร่ายพลังเปิดภพมารเรียกขุนพลมืดออกมานับร้อยหมายจะจัดการเซียนตัวเล็กตัวน้อยที่มาขวางทาง
จื่อเถิงเห็นดังนั้นจึงร่วมมือกับอิงฮวาเขียนยันต์รูปแปดเหลี่ยมเหนือช่องสีดำที่ขุนพลมืดกำลังผุดขึ้นมา
แสงสว่างวาบก่อตัวขึ้นเป็นต้นเสาทั้งแปดด้านแทนทิศทั้งแปดสูงเฉียดฟ้าขังไม่ให้ทัพมารทะลักเข้าเมืองหนาน
โจวเหวินหลงรู้สึกได้ว่าศิษย์สำนักดาราสวรรค์มีอะไรที่แปลกไปกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะเซียนสาวตาฟ้าผมขาวผู้ถือกริชเป็นอาวุธ
หากดูจากภายนอก นางเหมือนเซียนธรรมดาคนอื่น ๆ แต่คนที่มีพลังร้ายกาจเช่นนั้น เขากลับสัมผัสไม่ได้ว่านางเป็นเซียนจากสวรรค์
โจวเหวินหลงใช้ดวงเนตรอำพันส่องมองจื่อเถิงอย่างใจจดใจจ่อแต่ไม่เห็นสิ่งใดที่บ่งบอกว่านางคือเทพจุติ
“เฉินซือหยาง หลอกล่อให้ข้าที” เขาสั่งสหายปีศาจเพราะต้องการตรวจให้แน่ใจว่าเป็นอย่างที่คิดหรือไม่
อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นอะไรสนุกสนานเสียที
โจวเหวินหลงกลับร่างมังกรดำขยายตัวใหญ่เหนือเมืองหนานสร้างความหวาดผวาให้ชาวเมืองยิ่งนัก
มังกรแห่งหายนะนำความโชคร้ายคืบคลานมาถึงที่แห่งนี้แล้ว
“นั่น... นั่น มังกรดำไม่ใช่หรือ” เสียงชาวเมืองผู้หนึ่งที่กำลังจูงมือลูกชายวิ่งหนีหยุดชะงักด้วยความกลัว
สัตว์อสูรอันน่าเกรงขามส่งเสียงคำรามก้องพลางลอยโฉบเฉี่ยวผู้คนที่แตกตื่นวิ่งหนีจ้าละหวั่นดูดกลืนชีวิตราวกับลิ้มรสของหวานตบท้ายมื้ออาหาร
เสียงกรีดร้องโหยหวนส่งให้บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ดวงตาของสัตว์ร้ายจ้องมองดวงตาสีฟ้าของจื่อเถิงด้วยความท้าทาย มันบินโฉบกัดกินชาวเมืองอย่างหิวกระหายยั่วยุให้จื่อเถิงสำแดงพลังที่ซุกซ่อนอยู่
ศิษย์สาวร่ายพลังเซียนแยกกริชเป็นพันเล่มพุ่งเข้าหาศัตรูเพื่อหยุดยั้งหายนะในครั้งนี้
“ไม่พอ” โจวเหวินหลงพึมพำ คิดหาวิธีสร้างความสูญเสียให้มากกว่านี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อิงฮวา ศิษย์น้องเล็กที่กำลังสู้กับปีศาจสามตนอยู่อีกด้านหนึ่งจนเปิดช่องว่าง
มังกรดำหวีดคำรามทำลายยันต์แปดเหลี่ยมปลดปล่อยพรรคพวกของตนเองออกมา ล่อให้จื่อเถิงไม่อาจเข้าช่วยอิงฮวาได้ทันเวลา
ศิษย์น้องเล็กตกอยู่ในหลุมพราง รอบข้างมีปีศาจประกบจนต้องถอยหลังชิดกำแพง
ทว่า สิ่งที่รอคอยนางอยู่หลังกำแพงคืออันตรายที่สามารถพรากชีวิตของนางไปได้
อิงฮวาสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายอันท่วมท้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางกระชับกระบี่เซียนในมือไม่คิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ เพียงเพราะอีกฝ่ายเหนือกว่าสิบเท่า
เดิมทีกงจื่อเย่มักคอยจับตามองสวีลู่ชิงและบุตรชายทุกค่ำคืนอยู่แล้วพอได้เห็นนางกับลูกชายจึงนึกถึงวันวานที่ผ่านมา แม้อยากเข้าไปกอดทั้งคู่มากแค่ไหนกลับต้องอดใจไว้คนหนึ่งจำเรื่องราวพวกเขาไม่ได้ ส่วนอีกคนยังคงโกรธเขาอยู่ แต่จะมีบางคราที่อีนั่วยอมให้เขาเข้าใกล้เพราะเห็นว่ามารดามีความสุขยิ่งนักเวลาได้อยู่ด้วยกันสามคนแทนที่จะได้พูดคุยสนทนาตามประสาคนในครอบครัวเดียวกันเหมือนอย่างทุกวัน เวลานี้กลับถูกมนุษย์หน้าเดิมขัดขวางทำให้เสียเวลามากนัก“เจ้าพูดว่าอันใดนะ ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” คุณชายสกุลลั่วโพล่งออกมาเพราะรู้ว่าอำนาจของเขาในเมืองนี้ไม่เป็นรองใคร แต่กระนั้น สวีต้าเฟิงผู้นี้ไม่เคยสนใจตำแหน่งลาภยศของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอันใดเลยในสายตาของเขา&
หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดของกงอีนั่วแล้วสวีลู่ชิงเกิดความสงสารคุณชายตัวน้อยขึ้นมาทันใดที่เขาสูญเสียทั้งมารดาและบิดาไปตั้งแต่อายุยังน้อยเวลานี้อาศัยอยู่กับลุงที่เข้มงวด แต่ละวันต้องคอยเล่าเรียนอักษร อ่านตำรา อยู่ในกฎระเบียบจนอึดอัดใจไปหมด พอเห็นนางที่ตลาดจึงคิดถึงมารดาที่ล่วงลับไปจนอดใจไม่ไหว รบเร้าให้บ่าวรับใช้คนสนิททั้งสองปลอมตัวพาเข้ามาหานางที่หอเยว่ส่างครั้นพูดเรื่องที่ต้องพูดจบแล้ว บ่าวสองคนปล่อยให้คุณชายกงได้อยู่ตามลำพังกับนาง หวังว่าเขาจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง คิดว่าอย่างน้อยการได้อยู่กับสวีลู่ชิงจะทำให้ลืมชีวิตโดดเดี่ยวไปได้บ้าง“คุณชายกงเจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกคนตรงหน้าพลันได้เห็นว่าคุณชายตัวน้อยทำหน้ามุ่ยไม่พอใจที่นางเรียกเขาห่างเหิน
ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใดกงจื่อเย่บอกข่าวดีกับนางว่าครอบครัวของนางปลอดภัยแล้วและเวลานี้หลบซ่อนอยู่ที่ใด“เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ จื่อเย่” สวีลู่ชิงรีบถามด้วยความดีใจ ไม่คิดว่ากงจื่อเย่จะพูดเช่นนี้เพื่อปลอบใจนาง“ข้าไม่โป้ปดหรอกขอรับ” เขายืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง เพราะนำคำพูดของคุณชายสวีมาบอกนางด้วย“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่เป็นอันใดมากใช่หรือไม่ ตอนนั้น ข้าเห็นพวกเขา...” นางหยุดชะงักเพราะนึกถึงช่วงที่เห็นสภาพคนที่รักถูกวางยาพิษ“คุณหนู ใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ” ทาสหนุ่มปลอบโยนพลางเล่าให้ฟังว่าเขาช่วยทั้งสามคนมาได้อย่างไร ไม่รวมถึงเสี่ยวมู่ บ่าวคนสนิทของนางที่ตอนนี้คอยดูแลเจ้านายทั้งสามเพียงลำพัง “คุณชายสวีฝา
ร่างของคนสกุลสวีถูกทหารนำใส่รถเข็นไม้ลากเลื่อนมาทิ้งไว้ในป่าลึกเพื่อให้สัตว์ที่อาศัยอยู่มากินถือเป็นการทำประโยชน์อย่างหนึ่งครั้งสุดท้ายในชีวิตทหารนายหนึ่งเหงื่อผุดเต็มใบหน้ารู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลก ๆ จึงรีบบอกให้เพื่อนที่มาด้วยกันรีบขนศพพวกเขาลงไปกองไว้ที่พื้น“จะเร่งข้าทำไมนักเล่า” เขาบ่นหงุดหงิดที่ถูกรบเร้าให้รีบทำรีบเสร็จ“ไอ้นี่ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าป่าลึกข้างหน้าชอบมีพวกปีศาจมาเพ่นพ่าน” ทหารคนเดิมพูดพร่ำเพ้อถึงข่าวลือที่ได้ยินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย หากไม่จำเป็นจะไม่มาเหยียบพื้นที่ตรงนี้เด็ดขาด“กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปฟังเรื่องเล่าจากปากคนขี้เมานัก” เขาส่ายหน้าแล้วหันรถเข็นกลับไปที่ทางออกพลันได้ยินเสียงส
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่