LOGINหนึ่งเดือนผ่านไป
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ชาลิสาตื่นมาในช่วงเช้ามืดของวันและเธอก็ตรงไปยังห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายทันที
หลังจากที่ชาลิสาอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาเสร็จสรรพ หญิงสาวก็คว้ากระเป๋าสะพายสีดำขึ้นมาสะพายบนไหล่แบบบางเอาไว้ ก่อนที่ร่างอรชรจะมองตัวเองในกระจกเล็กน้อย แล้วค่อยเดินด้วยความมาดมั่นออกมาจากห้องนอนของเธอ
ชาลิสาลงมาจากชั้นสองของบ้าน และเตรียมจะเดินไปยังห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้าก่อนออกไปมหาวิทยาลัย แต่ทว่าร่างอวบอิ่มก็ต้องชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย เมื่อหูของหญิงสาวดันไปได้ยินเสียงคนมาเอ๊ะอ๊ะโวยวายอยู่หน้าบ้านของเธอ หญิงสาวจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินไปหน้าบ้านทันที
ดวงตากลมโตกวาดสายตามองไปหน้าประตูรั้ว เธอพบกับแม่เลี้ยง พี่ชาย คนใช้อีกสองคนที่ยืนอยู่ในรั้วประตูบ้าน อีกทั้งยังมีชายชุดดำสองคนที่ยืนเสียงดังโวยวายอยู่ด้านนอกของรั้วบ้านเธอ
“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมถึงมาโวยวายหน้าบ้านของคนอื่นแบบนี้คะ” เสียงหวานเอ่ยออกมาดังเล็กน้อย ทำให้ทุกคนที่อยู่หน้าบ้านหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน
“เอ่ออ” แม่เลี้ยงกระอักกระอ่วนไม่กล้าตอบ ก่อนที่เสียงของชายชุดดำร่างใหญ่ด้านนอกประตูรั้วจะเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ก็สองคนนี้มันติดหนี้พนันของกาสิโนเจ้านายของพวกฉันอยู่นะสิ”
“อะไรนะคะ!” สิ้นเสียงของชายชุดดำ ชาลิสาเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินมา แต่หญิงสาวก็พยายามมองโลกในแง่ดีและปลอบใจตัวเองว่ามันอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะเธอก็ให้เงินแม่เลี้ยงกับพี่ชายไปเล่นตลอด
“เท่าไหร่คะ” ชาลิสาปรับโทนเสียงให้เป็นปกติและเอ่ยถามต่อ
“ยี่สิบล้าน” ชายชุดดำหน้าตาดุดันดูน่ากลัวตอบกลับมา
“อะไรนะคะ! ยี่สิบล้าน!” และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หญิงสาวแทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินมาเมื่อสักครู่นี้
“ใช่ ยี่สิบล้านเงินต้น ยังไม่รวมดอก พวกแกจะเอายังไง”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” ชาลิสาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เงินตั้งมากมายขนาดนั้นเธอจะไปหาจากไหนมาคืนให้พวกเขาได้ล่ะคราวนี้
“พวกแกกลับไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวอีกสองวัน ฉันกับลูกจะเข้าไปหา” กนกนุชพูดขึ้นมา
“ถ้าอีกสองวัน พวกฉันไม่ได้เงิน พวกแกเดือดร้อนกันทั้งครอบครัวแน่” ชายชุดดำทิ้งท้ายประโยคไว้ด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับไปพยักหน้าให้เพื่อนร่างใหญ่อีกคน จากนั้นพวกเขาก็เดินออกไปจากหน้าบ้านของชาลิสาทันที
“นี่มันอะไรกันคะ” หญิงสาวในชุดนักศึกษาหันมาเอ่ยถามแม่เลี้ยงทันที ซึ่งแน่นอนว่ากนกนุชกับฉัตรพลมีสีหน้าที่เลิ่กลั่กและไม่กล้าตอบคำถามของเธอ
“เงินตั้งยี่สิบล้าน” ชาลิสาพูดต่อ
“แทนที่จะมาซ้ำเติมกัน มาหาวิธีช่วยกันใช้หนี้ไม่ดีกว่าหรือไง” ฉัตรพลที่ยืนอยู่ข้างมารดาของตัวเองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
“เงินแกหมดแล้วหรือไง” กนกนุชเอ่ยถามต่อ
“คุณป้าคะ เงินตั้งยี่สิบล้าน สาจะมีถึงได้ยังไงคะ” ชาลิสาเว้นประโยคเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“อีกอย่าง..ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาคุณป้ากับพี่ชายก็มาขอสาตลอด จนเงินมันลดลงไปทุกวัน”
ที่ผ่านมากนกนุชกับลูกชายของเธอก็มาตอดเล็กตอดน้อยจากเด็กสาวทุกวัน ต่อให้เธอจะมีเงินเป็นร้อยล้าน แต่ถ้าสองแม่ลูกถลุงกันขนาดนี้ ยังไงมันก็ต้องหมดอยู่วันยังค่ำ
“เอาไงดีแม่ พวกมันต้องมาตามเราอีกแน่เลย” ฉัตรพลเขย่าแขนมารดารัวๆ ด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนกและกังวล เขากลัวว่าพวกนั้นจะมาลอบทำร้ายหรือซ้อมเขากับแม่
“ไม่รู้! ขอฉันคิดก่อน!” กนกนุชสะบัดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของลูกชาย จากนั้นหญิงแก่ก็เดินปึงปังด้วยท่าทางหงุดหงิดเข้าไปยังในบ้านทันที ส่วนฉัตรพลก็หันมามองหน้าเด็กสาวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะก้าวขาตามแม่ของเขาไปอย่างรวดเร็ว
ณัฐวดี สาวใช้ที่พ่วงตำแหน่งแม่นมข้างกายของชาลิสา หญิงแก่เดินปรี่เข้ามาจับเรียวแขนเล็กเอาไว้เพื่อเป็นการปลอบประโลม เด็กสาวจึงหันมาสบตากับหญิงแก่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
“เอาไงดีคะคุณหนู” ณัฐวดีเอ่ยถามออกมาอย่างเป็นห่วงเด็กสาว
ชาลิสาหันไปมองตามหลังแม่เลี้ยงกับลูกติดของแม่เลี้ยงพลางถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เธออายุเพิ่ง 21 ปี แต่ทำไมเธอต้องมารับภาระที่หนักอึ้งเกินอายุขนาดนี้กันนะ
นั่นสิชาลิสา เธอควรที่จะเอายังไงกับปัญหาในตอนนี้ดีล่ะ
เด็กสาวไม่ได้ตอบกลับอะไรออกไป เธอยืนครุ่นคิดหาทางออกต่างๆ นานาในหัวของเธอ จนกระทั่งสาวใช้เอ่ยขึ้นมา
“เข้าบ้านกันก่อนเถอะคุณหนู”
“ค่ะ” สิ้นเสียงชาลิสา ณัฐวดีก็โอบประคองพาเด็กสาวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ในเวลาต่อมา
เด็กสาวเดินมาจนถึงห้องนั่งเล่นภายในบ้าน เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสีครีมด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองและแววตาที่ดูสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงที่ชาลิสานั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่แม่เลี้ยงของเธอเป็นคนก่อขึ้นมา หญิงสาวไม่รู้ว่าเวลาผ่านพ้นไปนานสักแค่ไหนแล้ว ส่วนคนใช้ที่เธอเคารพรักก็ได้แค่นั่งอยู่ข้างกายเธอเพื่อทำให้ชาลิสารับรู้ได้ว่าเด็กสาวยังมีหญิงแก่อยู่ข้างๆ
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของเด็กสาวดังขึ้นมา ชาลิสาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่เธอจะได้สติและเคลื่อนมือเล็กไปล้วงหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาจากกระเป๋า และเมื่อพบว่าคนที่โทรมาคือเพื่อนของเธอ เธอจึงกดรับสายทันที
‘สา ทำไมวันนี้มาสายจัง’ ใบเฟิร์น เพื่อนสนิทของชาลิสาเอ่ยผ่านโทรศัพท์มา เนื่องจากปกติชาลิสาจะต้องไปมหาวิทยาลัยไวกว่าใบเฟิร์น เธอจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
“พอดีฉันมีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย ฝากลาอาจารย์ให้ด้วยนะ” ชาลิสาตอบกลับไป ตอนนี้เธอไม่ได้มีกะจิตกะใจที่จะไปไหนทั้งนั้น
‘มีอะไรหรือเปล่า’
“นิดหน่อย เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะ”
‘โอเค มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ’
“ขอบใจนะ ไว้ฉันโทรไปหา”
‘จ้า’ สิ้นเสียงใบเฟิร์น ชาลิสากดวางสายไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ก่อนที่เธอจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงไปหาแม่เลี้ยงบนห้องนอนทันที
ใช้เวลาไม่นาน ชาลิสาก็มาถึงชั้นสองและมาถึงห้องนอนของแม่เลี้ยงในเวลาต่อมา มือเล็กยกขึ้นมาเคาะประตูห้องของแม่เลี้ยงอย่างแผ่วเบา ซึ่งรอไม่นานสักเท่าไหร่ ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออกอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างของแม่เลี้ยงที่โผล่พ้นประตูออกมามองหน้าเด็กสาว
“คุณป้าคะ สาขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” ชาลิสาเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“อะไร” แม่เลี้ยงตอบกลับห้วนๆ
“มันคงมีทางเดียว คือเราต้องขายทรัพย์สมบัติในบ้านเพื่อใช้หนี้คนพวกนั้นไปก่อนนั่นแหละค่ะ” เด็กสาวเอ่ยต่อ
“ขายจนหมดบ้านก็ยังไม่พอเลยมั้ง” กนกนุชประชดประชันใส่หญิงสาว ก่อนที่เธอจะเอ่ยต่อ
“เอาแบบนี้ละกัน พรุ่งนี้แกไปกับฉัน ฉันจะไปคุยกับผู้ใหญ่ที่ฉันเคารพให้ช่วยเหลือพวกเราสักหน่อย”
“เขาจะยอมช่วยเหรอคะ” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็ต้องลองดูก่อนไหมล่ะ”
“คะ..ค่ะ” ชาลิสาไม่ได้คิดว่าผู้ใหญ่ที่กนกนุชพูดถึงจะสามารถช่วยพวกเธอได้ แต่ยังไงเธอก็ต้องลองดูกันก่อน
เมื่อลูคัสพูดคุยโทรศัพท์กับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับมาหาชาลิสาด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” “แม่ของพี่โทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลนะ” เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางเลื่อนมือมาโอบเอวบางเอาไว้ แน่นอนว่าเขาติดสกินชิพกับหญิงสาวไปแล้ว ถ้าได้อยู่ใกล้เธอ เขาจะต้องจับไหล่หรือเอวบางเอาไว้ตลอดเวลา“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“สาเป็นห่วงพวกเขาด้วยเหรอ” ไม่ว่าพ่อของเขาจะทำไม่ดีหรือดูถูกกับชาลิสาขนาดไหน แต่เธอยังคงไม่โกรธเกลียดใครทั้งนั้น เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าในวันนั้น ลูคัสต่อสายตรงไปหาโนอาห์และบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่โอลิเวียมาอาละวาดใส่ชาลิสากลางห้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างโนอาห์ต้องโกรธลูกสาวที่ทำเรื่องน่าอายกลางที่สาธารณะเช่นนั้นอยู่แล้ว โนอาห์จึงให้โอลิเวียบินกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที “ยังไงพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของพี่นะคะ” ชาลิสาตอบกลับด้วยเสียงหวาน“แต่เขาก็ทำไม่ดีกับสานะ” สายตาของชายหนุ่มที่มองมายังชาลิสา มันทั้งอบอุ่นและเอ็นดูเธอในเวลาเดียว
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขของเหล่าบรรดานักศึกษาก็มาถึง ทุกคนเหน็บเหนื่อยกันมามากกับโปรเจคจบสำหรับนักศึกษาปีที่สาม พิธีช่วงเช้าในหอประชุมใหญ่เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อย เหล่าบรรดาบัณฑิตที่สวมชุดครุยสีดำจึงแยกย้ายกันไปถ่ายรูปตรงหน้าตึกคณะของใครของมัน ทุกคณะต่างก็จัดซุ้มอยู่ด้านหน้าของตึกของตัวเองบัณฑิตทุกคนและครอบครัวต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความปลื้มปีติกับวันดีๆ เช่นนี้ เสียงเจื้อยแจ้ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ญาติผู้ใหญ่ต่างก็มาแสดงความยินดีกับลูกหลานของตัวเองชาลิสายืนอยู่หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจพร้อมกับใบเฟิร์นที่แต่งตัวทำผมดูเรียบร้อยกว่าปกติ และก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันอีกหลายคน บางคนแยกไปถ่ายรูปกับครอบครัวของตัวเอง“ถ่ายรูปกันสา” ใบเฟิร์นจ้างช่างภาพประจำตัวมาเพื่อถ่ายรูปตัวเองและเพื่อน ชาลิสาชะเง้อคอมองหาบางอย่างอยู่“ชาลิสา ถ่ายรูปกัน” เพื่อนอีกคนจึงเอ่ยเรียกต่อชาลิสาจึงส่งยิ้มให้พวกเพื่อนจางๆ ก่อนที่เธอจะเดินมาหาเพื่อนที่ยืนอยู
หลายวันต่อมาภายในห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราใจกลางเมืองกรุง ชาลิสากับเพื่อนสนิทของเธออย่างใบเฟิร์นกำลังเดินเล่นกันอยู่ในโซนที่เป็นกระเป๋าและเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย เนื่องจากอยู่ใจกลางเมืองกรุงและใกล้กับมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษาที่เลิกเรียนมาแวะเดินเล่นก่อนกลับบ้าน“ร้านนั้นกระเป๋าน่ารักมากเลย” ใบเฟิร์นเดินคล้องแขนชาลิสาพลางชี้ไปยังร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่มีกระเป๋าสีสันสดใสน่ารักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย“น่ารักดี แต่แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบของแบรนด์เนม” ชาลิสาตอบกลับเพื่อน ก่อนที่เธอจะชะเง้อมองหาลูคัส เนื่องจากว่าเธอบอกกล่าวเขาไปว่าเธอจะมาเดินห้างกับใบเฟิร์น ชายหนุ่มจึงอยากตามมาด้วย แต่เพราะห้างสรรพสินค้ากับมหาวิทยาลัยห่างกันไม่ไกลสักเท่าไหร่ หญิงสาวกับเพื่อนจึงมารอที่ห้าง แล้วให้ชายหนุ่มตามมาหาที่นี่เลย“มองหาคุณลูคัสเหรอ” ใบเฟิร์นเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ชะเง้อคอไม่หยุด“อือ” ชาลิสาหันหน้ามาหาเพื่อนและพยักหน้าเล็กน้อย&ld
หลังจากที่จัดการเรื่องของแม่เลี้ยงกับลูกชายของกนกนุชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาลิสาก็ไปพูดคุยกับคนงานภายในบ้านอยู่สักพักหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปมาแล้วว่าเธอจะกลับมาตรวจตราที่บ้านทุกสัปดาห์ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ลูคัสกับชาลิสาก็กลับมาที่เพนท์เฮาส์กันต่อในเวลาต่อมาหนุ่มสาวเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์พร้อมกับ มือแกร่งโอบไหล่หญิงสาวมาตลอดจนกระทั่งถึงในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอ“ดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มก้มลงมาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องแม่เลี้ยงของเธออยู่“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เสียงหวานตอบกลับ“ฟังพี่นะ…ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราไม่สามารถช่วยใครไปได้ตลอดชีวิต ทุกคนมีทางของตัวเอง” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงนั้น“ค่ะ” ใบหน้าสวยคมพยักหน้าให้ชายหนุ่มเบาๆ“คนดีของพี่” ลูคัสหันมาหาหญิงสาว มือสากเลื่อนมาจับแก้มเนียนพลางใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณนะคะ”&
ลูคัสกับชาลิสาใช้ชีวิตกันมาตามปกติ จนกระทั่งหลายวันผ่านไป มารดาของลูคัสมาหาชายหนุ่มเมื่อสองวันที่แล้วเพื่อที่จะคุยเรื่องพ่อของเขา แต่ลูคัสก็ไม่คิดที่จะคุยและบอกให้มารดากลับไป ส่วนเรื่องของแม่เลี้ยงชาลิสา ฟีลิกซ์ก็โทรมารายงานพวกเขาเป็นระยะๆวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ ลูคัสกับชาลิสาจึงไม่ได้ออกไปไหนกัน ทั้งสองคนนอนกอดกันดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์ ร่างอรชรนอนเกยอยู่กับอกแกร่งบนโซฟา วงแขนแกร่งสอดใต้ลำคงระหงพลางใช้มือสากสัมผัสเรือนผมคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาทว่าในขณะที่ทั้งสองคนนอนกกกอดกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา ลูคัสเลื่อนมือสากไปล้วงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงของตัวเองออกมาและกดรับสาย เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเอาไว้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ“อือ…ว่าไง…โอเค” เสียงทุ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ซึ่งชาลิสาก็นอนอยู่บนอกแกร่งเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายไป
พวกเขาทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลางห้องวีไอพี ชาลิสากับลูคัสเดินไปย่อตัวนั่งลงตรงข้ามกับฟีลิกซ์“วันนี้ที่พี่เลือกจะบอกเรื่องกาสิโนกับสา ก็เพราะพี่คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” ลูคัสเอ่ยขึ้นมาทันทีที่พวกเขานั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว“ถึงเวลาอะไรเหรอคะ” ชาลิสาหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พี่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องจัดการสองแม่ลูกนั้นอย่างจริงจังแล้วนะ”“หมายถึงแม่เลี้ยงกับพี่ชายเหรอคะ”“ใช่” ลูคัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ยังไงคะ”“ตอนนี้พวกมันก็เริ่มติดหนี้แล้ว แต่ยังไม่มากสักเท่าไหร่”“กูให้คนจับตามองพวกมันอยู่ เวลาที่พวกมันเข้าไปเล่นที่กาสิโน” ฟีลิกซ์พูดขึ้นมา“คนอย่างพวกนั้น ก็แค่ให้ได้เงินเยอะๆ ไปสักก้อนก่อน เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาเล่นอีก แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อยให้มันเสียคืนเป็นสิบเท่าเลย” ลูคัสหันไปมองหน้าเพื่อน ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานมาก แค่พวกเขามองตาก







