Masukลูคัสกลับมายังโรงพยาบาลในเวลาต่อมา ชายหนุ่มกลับมาทำงานต่อจนกระทั่งถึงหกโมงเย็นของวัน จากนั้นลูคัสก็ไปทานอาหารที่ร้านอาหารบนตึกหรูจวบจนเวลาผ่านพ้นไปถึงสามทุ่ม
หลังจากที่ชายหนุ่มทานอาหารเย็นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงมายังผับสุดหรูทันทีโดยมีอีวานที่พ่วงตำแหน่งคนขับรถมาให้เจ้านาย เมื่อมาถึงผับหรูใจกลางเมืองแล้ว ลูคัสก็ตรงไปยังห้องวีไอพีประจำของเขากับเพื่อนทันที อีวานยืนรออยู่หน้าห้องวีไอพีตรงชั้นสองของผับหรูด้วยท่าทางแข็งแรงมั่นคง
“มาแล้วเหรอวะ” ฟีลิกซ์ เอ่ยทักทายเพื่อนทันที เมื่อลูคัสเปิดประตูเข้ามาในห้องวีไอพี เสียงเพลงในห้องวีไอพีไม่ได้เปิดดังเท่าเพลงด้านนอกห้องสักเท่าไหร่ เนื่องจากบางห้องก็ต้องการที่จะมาพูดคุยธุรกิจและดื่มกินไปด้วย เหมือนดั่งเช่นลูคัสกับฟีลิกซ์
ดวงตาคมกริบของลูคัสปรายตามองเพื่อนของตัวเองที่มีสาวหุ่นอวบอิ่มชุดเดรสสั้นสีดำนั่งอยู่ข้างกายบนโซฟานุ่มสีดำสนิท อีกทั้งตรงข้ามของฟีลิกซ์ก็ยังมีหญิงสาวชุดแดงเพลิงรัดรูปอีกคนที่นั่งอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าลูคัสรู้ดีว่าเพื่อนของเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนเตรียมผู้หญิงพวกนี้มาเผื่อเขาด้วย
“มีอะไรวะ” ลูคัสใช้สองมือล้วงกระเป๋าพลางเอ่ยถามฟีลิกซ์ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เนื่องจากวันนี้ฟีลิกซ์เป็นคนโทรนัดเขาให้มาที่นี่
“กูแค่อยากกินเหล้ากับหุ้นส่วนเฉยๆ นี่แหละ มานั่งก่อน” เพื่อนของลูคัสตอบกลับมา
ชายหนุ่มนัยน์ตาสีดำเข้มจึงทำหน้านิ่งๆ ก่อนที่เขาจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับเพื่อนอย่างช้าๆ สาวชุดรัดรูปสีแดงเพลิงส่งยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มหน้านิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเธอสักเท่าไหร่ สาบเสื้อเชิ้ตของลูคัสถูกปล่อยออกมาจากขอบกางเกงทำให้ชายหนุ่มดูไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่
“ท่านค่ะ ดื่มอะไรดีคะ” หญิงสาวชุดรัดรูปที่นั่งอยู่ข้างลูคัสรีบเอ่ยถามชายหนุ่มขึ้นมาทันที
“บรั่นดี” เสียงทุ้มทรงพลังตอบกลับสั้นๆ
“ค่ะท่าน” สิ้นเสียงหวานหยดย้อยของสาวสวย เธอรีบรินเหล้าให้กับลูคัสทันที ก่อนที่เธอจะยื่นให้ชายหนุ่ม
“เป็นไงบ้าง” ลูคัสรับแก้วบรั่นดีสีอำพันมาถือเอาไว้พลางหันไปเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
“กาสิโนเหรอ” ฟีลิกซ์เอ่ยถาม และอีกสถานะหนึ่งที่ลูคัสทำก็คือ…หุ้นส่วนของกาสิโนนั่นเอง
กาสิโนใหญ่ใจกลางเมืองกรุงเป็นของฟีลิกซ์ เพื่อนลูกครึ่งฝรั่งเศสตาฟ้าของลูคัส แต่ลูคัสมีหุ้นคนละครึ่งกับเพื่อนของเขา และเนื่องจากชายหนุ่มต้องรับตำแหน่งภายในโรงพยาบาลที่เป็นธุรกิจครอบครัว ลูคัสจึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนในเรื่องหุ้นส่วนของกาสิโนได้ ทุกคนจึงเข้าใจว่าฟีลิกซ์เป็นเจ้าของกาสิโนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ดีกับตัวของลูคัสเอามากๆ
“อือ” ลูคัสพยักหน้าให้เพื่อนเบาๆ พลางยกแก้วบรั่นดีขึ้นมาจิบ สาวชุดเดรสสีแดงพยายามจะขยับมาใกล้ชายหนุ่ม แต่ท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนของลูคัส ทำให้เธอไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เขามากสักเท่าไหร่ ต่างกับฟีลิกซ์กับสาวสวยข้างกายเขาที่นัวเนียกันตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในห้องนี้แล้ว
“ก็ไปได้ดี..แต่วันนี้กูไม่คุยเรื่องงานนะ กูอยากแดกเหล้า”
“เออ” ลูคัสตอบกลับเพื่อน เขาก็ไม่ได้อยากจะคุยเรื่องงานเช่นกัน เพราะวันนี้ทั้งวันเขายุ่งกับงานที่โรงพยาบาลมามากพอแล้ว เขาเองก็อยากมีเวลาพักผ่อนบ้างเช่นกัน
ฟีลิกซ์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนที่มือแกร่งของเขาจะยกแก้วไปเบี่ยงหน้าเพื่อชนแก้วกับลูคัสโดยที่อีกมือหนึ่งของเขาก็ยังคงกกกอดร่างอวบอิ่มของสาวสวยที่เขาจ้างมาอยู่ตลอดเวลาตามประสาผู้ชายเจ้าชู้
ทั้งสองคนกินเหล้าด้วยกันพลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปถึงตีหนึ่งของวัน ชายหนุ่มทั้งสองคนเริ่มมีใบหน้าที่แดงก่ำเล็กน้อยจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกชายหนุ่มที่คอแข็งรู้สึกรู้สึกเมามากนัก
“กูกลับก่อน” ลูคัสยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองเวลา ก่อนที่เขาจะวางแก้วและเอ่ยกับเพื่อน
“ทำไมวะ” ฟีลิกซ์เอ่ยถาม
“พรุ่งนี้ต้องเข้าโรงพยาบาลแต่เช้า”
“ถ้าพ่อแม่มึงรู้ว่ามึงแอบมีหุ้นในธุรกิจสีเทาแบบนี้ พวกท่านก็ไม่ยอมแน่เลย”
“พ่อกับแม่ของกูจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน..กูไปล่ะ” ลูคัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เออ” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าตอบกลับเพื่อนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ก่อนที่ลูคัสจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
“จะกลับแล้วเหรอคะท่าน” สาวสวยชุดสีแดงเอ่ยถามลูคัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและยั่วยวน ถึงแม้ว่าตลอดทั้งคืนชายหนุ่มจะไม่แตะต้องตัวเธอเลยก็เถอะ
“อือ” ลูคัสพยักหน้าให้หญิงสาวเบาๆ จากนั้นเขาก็หันมาเอ่ยกับเพื่อนต่อ
“ไว้เจอกัน”
“เออ ไว้เจอกัน” ฟีลิกซ์ตอบกลับ
ลูคัสจึงก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขาออกจากห้องวีไอพีมาแล้วเดินตรงไปยังลานจอดรถหรูทันที อีวานเดินตามเจ้านายมาติดๆ ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะขึ้นมายังรถคันหรูสีดำเงา ลูคัสนั่งเบาะหลังคนขับตามปกติของเขา ส่วนอีวานก็ประจำตำแหน่งคนขับรถเหมือนเช่นเคย
ชายหนุ่มร่างกำยำหลับตาลงช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่เขาขึ้นมานั่งบนรถยนต์คันหรูเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าเมื่อเขาหลับตาลงชายหนุ่มกลับเห็นภาพของเด็กสาวที่เขาชนเข้าในวันนี้ฉายขึ้นมาในสมองของเขา
เด็กสาววัยกำลังสวยสะพรั่งที่ดูสดใสเบิกบานสมวัย ถึงแม้ว่าเขาจะเจอกับเธอแค่ชั่วครู่ แต่เขารู้สึกได้ว่ารอบๆ ตัวของหญิงสาวมีแต่พลังงานที่ดีเต็มไปหมด
“เด็กอะไรวะ น่าจับกินชะมัด” ชายหนุ่มบ่นพึมพำออกมา ทำให้อีวานที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับได้ยินเข้าและเกิดความสงสัย
“ใครครับนาย” คนสนิทจึงเอ่ยถามเจ้านายขึ้นมา
เมื่อลูคัสรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมา ดวงตาคมกริบก็เปิดเปลือกตาขึ้นมาทันที
“ปะ..เปล่า ยุ่งจริงๆ เลยนะมึงเนี่ย” ลูคัสแสร้งทำเป็นตีโพยตีพายใส่คนสนิท
“ก็ผมได้ยินเจ้านาย…” ยังไม่ทันที่อีวานจะเอ่ยจบประโยค เสียงทุ้มทรงพลังของเจ้านายก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไป! กลับเพนท์เฮาส์”
“ครับๆ” อีวานไม่ได้เซ้าซี้อะไรเจ้านายของเขาต่อ เพราะเขาเกรงว่าลูคัสจะรำคาญเอาได้ คนสนิทจึงนิ่งเงียบและขับรถต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่มีเพนท์เฮาส์ของลูคัสอยู่ชั้นบนสุด ส่วนห้องของอีวานก็อยู่ชั้นล่างลงมาจากเพนท์เฮาส์ของเจ้านาย
ลูคัสซื้อเพนท์เฮาส์บนโรงแรมหรูแห่งนี้เอาไว้เมื่อสามปีที่แล้ว และแน่นอนว่าเขายังซื้อห้องไว้ให้ลูกน้องคนสนิทอีกด้วย เพื่อเป็นรางวัลให้กับการทำงานอย่างหนักของอีวานและตอบแทนให้กับความซื่อสัตย์ที่อีวานมีให้ต่อเขา
เจ้านายและลูกน้องแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเอง เมื่อพวกเขามาถึงโรงแรมหรูเรียบร้อยแล้ว ลูคัสเอาแต่คิดถึงใบหน้าสวยคมของเด็กสาวอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเขามาถึงห้องของตัวเอง
ลูคัสตรงมายังห้องน้ำทันทีที่เขาเข้ามาภายในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวครีมดูสะอาดตา ภายในห้องน้ำของชายหนุ่มก็ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวเช่นกัน ร่างกำยำเดินมาหยุดอยู่ตรงอ่างล้างหน้าที่มีกระจกบานใหญ่ เขามองตัวเองผ่านกระจกเงา ก่อนที่มือแกร่งจะเริ่มถอดชุดของตัวเองออกอย่างช้าๆ
ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างกำยำสมบูรณ์แบบก็เปลือยเปล่า ชายหนุ่มโยนเสื้อผ้าลงไปในตะกร้าที่วางอยู่ใกล้ๆ จากนั้นเขาก็ก้าวตรงไปยังห้องกระจกเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายทันที
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดน้ำจากฝักบัวเพื่อให้สายน้ำไหลผ่านร่างกำยำของเขาไป ดวงตาคมกริบหลับตาลงอย่างช้าๆ และก็เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นภาพสาวน้อยคนนั้นฉายขึ้นมาในหัวของเขา
น้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวไหลลงมาชำระล้างร่างกายของชายหนุ่ม อยู่ดีๆ ความรู้สึกบางอย่างก็คืบคลานเข้ามาภายในกายแกร่งเมื่อเขาคิดถึงเด็กสาวคนนั้น
“ใจเย็นๆ ไอ้เสือ” ลูคัสบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ทว่าเบื้องล่างของเขากลับไวกว่าความคิดตัวเอง
แก่นกายใหญ่เริ่มขยายพองตัวขึ้นมาอย่างไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ลูคัสลืมตาขึ้นมาพลางก้มลงไปมองตัวตนของตัวเองที่ใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย ในขณะนี้ลำเอ็นใหญ่ของเขาขยายพองตัวจนเต็มที่แล้ว
“เฮ้ออ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
แต่สุดท้ายแล้ว..เขาก็ต้องจัดการกับลูกชายของเขาด้วยความสำเร็จความใคร่ด้วยมือของตัวเองเพื่อเขาจะได้หลับสบายและไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
เมื่อลูคัสพูดคุยโทรศัพท์กับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับมาหาชาลิสาด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” “แม่ของพี่โทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลนะ” เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางเลื่อนมือมาโอบเอวบางเอาไว้ แน่นอนว่าเขาติดสกินชิพกับหญิงสาวไปแล้ว ถ้าได้อยู่ใกล้เธอ เขาจะต้องจับไหล่หรือเอวบางเอาไว้ตลอดเวลา“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“สาเป็นห่วงพวกเขาด้วยเหรอ” ไม่ว่าพ่อของเขาจะทำไม่ดีหรือดูถูกกับชาลิสาขนาดไหน แต่เธอยังคงไม่โกรธเกลียดใครทั้งนั้น เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าในวันนั้น ลูคัสต่อสายตรงไปหาโนอาห์และบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่โอลิเวียมาอาละวาดใส่ชาลิสากลางห้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างโนอาห์ต้องโกรธลูกสาวที่ทำเรื่องน่าอายกลางที่สาธารณะเช่นนั้นอยู่แล้ว โนอาห์จึงให้โอลิเวียบินกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที “ยังไงพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของพี่นะคะ” ชาลิสาตอบกลับด้วยเสียงหวาน“แต่เขาก็ทำไม่ดีกับสานะ” สายตาของชายหนุ่มที่มองมายังชาลิสา มันทั้งอบอุ่นและเอ็นดูเธอในเวลาเดียว
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขของเหล่าบรรดานักศึกษาก็มาถึง ทุกคนเหน็บเหนื่อยกันมามากกับโปรเจคจบสำหรับนักศึกษาปีที่สาม พิธีช่วงเช้าในหอประชุมใหญ่เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อย เหล่าบรรดาบัณฑิตที่สวมชุดครุยสีดำจึงแยกย้ายกันไปถ่ายรูปตรงหน้าตึกคณะของใครของมัน ทุกคณะต่างก็จัดซุ้มอยู่ด้านหน้าของตึกของตัวเองบัณฑิตทุกคนและครอบครัวต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความปลื้มปีติกับวันดีๆ เช่นนี้ เสียงเจื้อยแจ้ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ญาติผู้ใหญ่ต่างก็มาแสดงความยินดีกับลูกหลานของตัวเองชาลิสายืนอยู่หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจพร้อมกับใบเฟิร์นที่แต่งตัวทำผมดูเรียบร้อยกว่าปกติ และก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันอีกหลายคน บางคนแยกไปถ่ายรูปกับครอบครัวของตัวเอง“ถ่ายรูปกันสา” ใบเฟิร์นจ้างช่างภาพประจำตัวมาเพื่อถ่ายรูปตัวเองและเพื่อน ชาลิสาชะเง้อคอมองหาบางอย่างอยู่“ชาลิสา ถ่ายรูปกัน” เพื่อนอีกคนจึงเอ่ยเรียกต่อชาลิสาจึงส่งยิ้มให้พวกเพื่อนจางๆ ก่อนที่เธอจะเดินมาหาเพื่อนที่ยืนอยู
หลายวันต่อมาภายในห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราใจกลางเมืองกรุง ชาลิสากับเพื่อนสนิทของเธออย่างใบเฟิร์นกำลังเดินเล่นกันอยู่ในโซนที่เป็นกระเป๋าและเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย เนื่องจากอยู่ใจกลางเมืองกรุงและใกล้กับมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษาที่เลิกเรียนมาแวะเดินเล่นก่อนกลับบ้าน“ร้านนั้นกระเป๋าน่ารักมากเลย” ใบเฟิร์นเดินคล้องแขนชาลิสาพลางชี้ไปยังร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่มีกระเป๋าสีสันสดใสน่ารักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย“น่ารักดี แต่แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบของแบรนด์เนม” ชาลิสาตอบกลับเพื่อน ก่อนที่เธอจะชะเง้อมองหาลูคัส เนื่องจากว่าเธอบอกกล่าวเขาไปว่าเธอจะมาเดินห้างกับใบเฟิร์น ชายหนุ่มจึงอยากตามมาด้วย แต่เพราะห้างสรรพสินค้ากับมหาวิทยาลัยห่างกันไม่ไกลสักเท่าไหร่ หญิงสาวกับเพื่อนจึงมารอที่ห้าง แล้วให้ชายหนุ่มตามมาหาที่นี่เลย“มองหาคุณลูคัสเหรอ” ใบเฟิร์นเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ชะเง้อคอไม่หยุด“อือ” ชาลิสาหันหน้ามาหาเพื่อนและพยักหน้าเล็กน้อย&ld
หลังจากที่จัดการเรื่องของแม่เลี้ยงกับลูกชายของกนกนุชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาลิสาก็ไปพูดคุยกับคนงานภายในบ้านอยู่สักพักหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปมาแล้วว่าเธอจะกลับมาตรวจตราที่บ้านทุกสัปดาห์ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ลูคัสกับชาลิสาก็กลับมาที่เพนท์เฮาส์กันต่อในเวลาต่อมาหนุ่มสาวเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์พร้อมกับ มือแกร่งโอบไหล่หญิงสาวมาตลอดจนกระทั่งถึงในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอ“ดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มก้มลงมาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องแม่เลี้ยงของเธออยู่“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เสียงหวานตอบกลับ“ฟังพี่นะ…ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราไม่สามารถช่วยใครไปได้ตลอดชีวิต ทุกคนมีทางของตัวเอง” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงนั้น“ค่ะ” ใบหน้าสวยคมพยักหน้าให้ชายหนุ่มเบาๆ“คนดีของพี่” ลูคัสหันมาหาหญิงสาว มือสากเลื่อนมาจับแก้มเนียนพลางใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณนะคะ”&
ลูคัสกับชาลิสาใช้ชีวิตกันมาตามปกติ จนกระทั่งหลายวันผ่านไป มารดาของลูคัสมาหาชายหนุ่มเมื่อสองวันที่แล้วเพื่อที่จะคุยเรื่องพ่อของเขา แต่ลูคัสก็ไม่คิดที่จะคุยและบอกให้มารดากลับไป ส่วนเรื่องของแม่เลี้ยงชาลิสา ฟีลิกซ์ก็โทรมารายงานพวกเขาเป็นระยะๆวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ ลูคัสกับชาลิสาจึงไม่ได้ออกไปไหนกัน ทั้งสองคนนอนกอดกันดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์ ร่างอรชรนอนเกยอยู่กับอกแกร่งบนโซฟา วงแขนแกร่งสอดใต้ลำคงระหงพลางใช้มือสากสัมผัสเรือนผมคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาทว่าในขณะที่ทั้งสองคนนอนกกกอดกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา ลูคัสเลื่อนมือสากไปล้วงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงของตัวเองออกมาและกดรับสาย เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเอาไว้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ“อือ…ว่าไง…โอเค” เสียงทุ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ซึ่งชาลิสาก็นอนอยู่บนอกแกร่งเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายไป
พวกเขาทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลางห้องวีไอพี ชาลิสากับลูคัสเดินไปย่อตัวนั่งลงตรงข้ามกับฟีลิกซ์“วันนี้ที่พี่เลือกจะบอกเรื่องกาสิโนกับสา ก็เพราะพี่คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” ลูคัสเอ่ยขึ้นมาทันทีที่พวกเขานั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว“ถึงเวลาอะไรเหรอคะ” ชาลิสาหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พี่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องจัดการสองแม่ลูกนั้นอย่างจริงจังแล้วนะ”“หมายถึงแม่เลี้ยงกับพี่ชายเหรอคะ”“ใช่” ลูคัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ยังไงคะ”“ตอนนี้พวกมันก็เริ่มติดหนี้แล้ว แต่ยังไม่มากสักเท่าไหร่”“กูให้คนจับตามองพวกมันอยู่ เวลาที่พวกมันเข้าไปเล่นที่กาสิโน” ฟีลิกซ์พูดขึ้นมา“คนอย่างพวกนั้น ก็แค่ให้ได้เงินเยอะๆ ไปสักก้อนก่อน เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาเล่นอีก แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อยให้มันเสียคืนเป็นสิบเท่าเลย” ลูคัสหันไปมองหน้าเพื่อน ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานมาก แค่พวกเขามองตาก







