“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”
คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ
“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”
“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”
น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”
“ติญ่าเป็นหลานฉัน ไม่ได้มีสายเลือดคัลเลน คุณจะกลัวไปทำไมกัน”
“แต่เรื่องแต่งงานมันต้องคุยกันยาวๆ คุณจะไปเร่งเด็กมันทำไม”
ปึง!
น้าพาได้ยินอย่างนั้นก็ตบโต๊ะขึ้นมาเสียงดัง
“เร่งเหรอ? ฉันเลี้ยงมันมาเกือบสิบปี ข้าวปลาอะไรก็หาให้มันกิน เงินทองของแม่ฉันก็ต้องแบ่งให้มันใช้ หมดเงินไปกับการส่งมันเรียนเดือนละไม่รู้เท่าไร นี่ธุรกิจที่แม่ฉันสร้างไว้กำลังจะล้มคุณรู้บ้างไหม มันควรจะทำอะไรเพื่อบ้านเราบ้างสิ”
ฉันอยากจะเถียงออกไปใจจะขาด ว่าจริงๆ แล้วเงินพวกนั้นเป็นเงินประกันของพ่อแม่ฉันต่างหาก แต่ก็ทำได้แค่ก้มหน้าหุบปากเงียบ...
“แต่ติญ่ายังเด็กอยู่ เพิ่งจะ 22 เท่านั้นเอง ไอ้หมอนั่นแก่กว่าเธอตั้งสิบปี เอาอะไรมาเหมาะสม”
“แล้วใครที่เหมาะสม คุณงั้นสิ?”
บทสนทนาเริ่มจะรุนแรงและลามปามมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรีบลุกขึ้นเพื่อจะห้ามทั้งสองคนไม่ให้ทะเลาะกันมากไปกว่านี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกมือของผู้เป็นน้าฟาดหน้าเข้าให้อย่างจัง
เพียะ!!
“น้าพา...” ฉันยกมือขึ้นกุมแก้มข้างนั้นเอาไว้ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจนชาไปทั้งหน้า แต่นั่นยังไม่เท่าความเจ็บปวดที่หัวใจ ทั้งขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ฉันเลี้ยงแกมาเพื่อให้แกมาทดแทนบุญคุณ ไม่ใช่มาแย่งผัวฉัน เข้าใจไหมนังติญ่า”
ทุกสายตาของทุกคนในบ้านมองมาเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิด ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ บรรยากาศรอบข้างเริ่มกดดันฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับมีหินหนักๆ มาทับร่างเอาไว้ ฉันได้แต่ยืนนิ่ง มองหน้าน้าสองคนสลับกันแล้วตั้งคำถามอยู่ในใจ
ฉันผิดอะไร?
“ขึ้นไปบนห้องแกซะ วันพรุ่งนี้แกต้องไปดูตัวกับคุณคามินทร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
แม้ว่าฉันจะอยากอ้าปากเถียงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ ก็คือการก้มหน้ารับคำแต่โดยดี
“ค่ะ น้าพา”
ถึงไม่อยากคิดน้อยใจคนที่เลี้ยงมา แต่สุดท้ายฉันก็อดไม่ได้อยู่ดี...ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันมักจะถูกน้าพาดุด่า ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตื่นสายต่อให้วันนั้นเป็นวันหยุดก็ตาม กิจกรรมที่โรงเรียนหากไม่ใช่ในเวลาเรียนจะไม่มีสิทธิ์ได้ทำ แม้แต่งานที่ต้องรับผิดชอบอย่างกีฬาสีก็ต้องยอมผิดใจกับเพื่อนเพียงเพราะน้าไม่อนุญาตให้นอนค้างที่อื่น ช่วงวัยเรียนของฉันเลยกลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต่างจากฝันร้าย
แต่ว่าพอฉันไปเรียนต่อมหา’ลัยที่จีน พบว่าความสัมพันธ์ของฉันกับน้าพาดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ท่านโทรมาแต่ละครั้งไม่เคยกระโชกโฮกฮาก ทำให้ฉันเชื่อสนิทใจว่าน้าอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
จนกระทั่งวันนี้...
“โธ่ คุณหนูของนวล อย่าโกรธคุณพาเธอเลยนะคะ เธอจิตใจไม่ปกติ อาจจะพูดจาแรงไปบ้าง”
ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนของตัวเองโดยที่มีแม่นวลคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง มือสากๆ ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามอายุได้เอื้อมมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มฉันออกอย่างแผ่วเบา ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร
“หนูไม่โกรธหรอกค่ะแม่นวล แต่หนูแค่ไม่เข้าใจ ทำไมน้าต้องโกรธหนู ทำไมต้องสั่งให้หนูเลิกทำในสิ่งที่หนูรัก ถ้าหนูไม่มีห้องเสื้อนั่น หนูคงไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่า...”
“คุณหนูไม่เคยไร้ค่าสำหรับนวลนะคะ”
ได้ยินคำพูดที่เหมือนจะด้อยค่าตัวเอง แม่นวลจึงรีบสวนขึ้นมาทันควัน ก่อนที่จะถอนหายใจไล่ความอึดอัดออกไปแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง
“ตอนที่คุณหนูยังเรียนอยู่ คุณพาเธอท้องค่ะ ตอนนั้นเธอเห่อลูกคนเล็กมากๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เตรียมของเป็นพัลวัน แต่อยู่ดีๆ คุณแมทก็เล่นชู้กับเด็กมหา’ลัย เลยทำให้คุณพาเครียดจนแท้งกลายเป็นซึมเศร้ารักษาอยู่นาน...”
ฉันได้แต่นั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดแทรกขึ้นมา เรื่องที่ได้ยินมันทำให้ความรู้สึกน้อยใจก่อนหน้านี้เบาลงนิดหน่อย หากว่าน้าพาต้องเผชิญเรื่องราวอย่างนั้นมาตลอด มันก็คงไม่แปลกที่เธอจะจิตใจอ่อนไหวจนคิดมากไปเสียทุกเรื่อง ที่ผ่านมา นอกจากความเข้มงวดที่ทำให้ฉันอึดอัดจนเผลอร้องไห้ออกมาหลายครั้ง น้าพาเองก็ดูแลฉันได้ดีไม่ต่างจากแม่ที่เป็นพี่สาวท่าน...
คนที่ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งพี่สาว แม่ และยังลูกในท้อง...จะต้องแกร่งแค่ไหนถึงยังใช้ชีวิตอยู่ได้นะ
“เพราะอย่างนั้นคุณหนูไม่ต้องไปโกรธไปเคืองอะไรคุณเธอหรอกนะคะ ถ้าเธอด่า เธอว่า มาระบายกับนวลได้ค่ะ”
“แม่นวลไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะคะ ยังไงญ่าจะไม่ดื้อ ไม่เถียง ไม่โกรธคุณน้าเลยค่ะ”
ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองน้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจ ทำไมฉันถึงต้องโดนคนกล่าวหาว่าทุกเรื่องเป็นความผิดของฉัน ตั้งแต่ผู้ชายบนเรือนั่น เขาทำเหมือนกับว่าฉันอยากเข้าไปในชีวิตเขา ทำเหมือนฉันเป็นตัวซวย ทั้งที่ความจริงแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรเลย
แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่คนรอบตัวเกิดเรื่อง คนแรกที่ถูกโยนให้มีความผิดมักจะเป็นฉันเสมอ
ฝ่ามือของแม่นวลลูบที่หัวของฉันอีกครั้ง ท่านดึงตัวฉันเข้าไปกอด ใช้ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นปลอบประโลมฉันอย่างเช่นที่เคยทำมาตลอด
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ว่าใครจะว่ายังไง นวลจะคอยดูแล คอยปกป้องคุณหนูเสมอเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะแม่นวล”
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ