วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้
ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว
“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”
แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้อนลวก ยังไงก็ต้องมาด้วยให้ได้ ซ้ำยังแต่งตัวเกินหน้าเกินตาจนแทบจะกลายเป็นคนดูตัวแทนเสียเองแล้ว
อันที่จริงฉันก็พอรู้ว่าพิมพิแอบชอบลูกชายบ้านนู้นอยู่ แต่ด้วยความที่พ่อของเธอนั้นคือแมททิว คัลเลน น้องชายของมาร์ติน คัลเลน พ่อของทั้งสามแฝด เลยทำให้เธอมีสายเลือดเดียวกันกับพวกเขาและไม่สามารถแต่งงานกันได้
“มองหน้าฉันทำไม หาเรื่อง?” เห็นว่าฉันเงียบไม่ได้ตอบโต้ เธอก็โชว์ความถ่อยออกมาผ่านคำพูดและสีหน้า แต่ก็ยังไม่กล้าพูดเสียงดังเพราะกลัวพ่อแม่ตัวเองที่เดินนำหน้าอยู่หลายก้าวจะได้ยิน
“ฉันก็มองไปเรื่อย ของสวยๆ งามๆ น่ามองที่นี่มีเยอะแยะ คิดว่าฉันอยากจะมองหน้าเธอขนาดนั้นเชียว?”
หรืออีกนัยหนึ่งฉันกำลังจะบอกว่า มีอย่างอื่นสวยกว่าหน้าเธอตั้งเยอะ ทำไมฉันต้องมองหน้าเธอด้วย คนฟังถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะถลึงตาใส่ฉันด้วยความโกรธ
“นังติญ่า!”
“เดินชักช้าอยู่นั่นแหละ คุณย่าท่านรอนานแล้ว ให้ผู้ใหญ่รอไม่มีมารยาทเลยนะ”
เธอยังไม่ทันได้โชว์ความเกรี้ยวกราดใส่ฉันก็ถูกน้าพาหันมาดุซะก่อน ฉันเลยทำเนียนด้วยการสาวเท้ายาวๆ ไปยืนข้างน้าพาด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้ยัยพิมพิยืนกัดปากตัวเองด้วยความเจ็บใจ
พวกเราเดินขึ้นมาที่ชั้นสองของร้านซึ่งบริเวณนี้นั้นแบ่งออกเป็นสองโซน โซนแรกคือระเบียงที่ยื่นออกไปนอกหลังคาซึ่งมีที่นั่งให้ชมวิวทะเลที่อยู่ไม่ไกล ตรงกลางนั้นเป็นที่นั่งถูกจัดไว้ห่างๆ กันเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ที่มาใช้บริการ ส่วนริมอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นห้องกระจกติดแอร์ แต่ยังสามารถมองเห็นวิวสวนดอกไม้ได้อย่างชัดเจน
และในนั้นก็มีคนสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งคือหญิงชราที่หันมาส่งยิ้มให้พวกเราที่อยู่ด้านนอก ส่วนอีกคน...ชายหนุ่มที่น่าจะเป็นคุณคามินทร์ เขานั่งกอดอกหันหลังให้กับทางเข้า ทว่าพอเห็นแผ่นหลังนั่น...ความรู้สึกคุ้นเคยอันแสนน่าประหลาดก็เข้ามาในใจ
ฉันเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ กับแผ่นหลังนี้...
“เข้าไปสิ”
น้าพาหันมาค้อนฉันด้วยความไม่พอใจ ฉันเลยต้องก้มหน้าเดินตามท่านเข้าไปที่ด้านใน ทันทีที่เข้ามาถึงก็มีเสียงของคุณย่าท่านทักทายด้วยเสียงแหบแห้งตามประสาหญิงชราวัยใกล้ 80 ปีแล้ว
“มาแล้วเหรอลูก”
“คุณย่าคะ”
ก่อนที่ฉันจะได้ยกมือไหว้ท่าน เสียงแหลมของหลานสาวคนที่สี่ก็แทรกขึ้นมา ก่อนเรือนร่างอรชรจะพุ่งเข้าไปกอดย่าของตัวเองเต็มรัก
“ตายแล้ว มาด้วยเหรอเรา ย่านึกว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนซะอีก”
“แหม เรื่องนี้สำคัญต่อคุณย่าและพี่คามินทร์นี่คะ พิมจะพลาดได้ยังไง”
เทียบกับน้ำเสียงที่พูดกับฉันก่อนหน้านี้มันแตกต่างกันลิบลับ แต่นั่นยังไม่พีกพอ เพราะเสียงอ่อนเสียงหวานที่พูดกับย่าเมื่อครู่ได้เปลี่ยนไปเมื่อหันไปพูดกับผู้ชายโสดคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้
“สวัสดีค่ะพี่มินทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
เสียงหวานเวอร์ น้ำตาลยังเรียกพี่
“ไง”
ทว่าสิ่งที่เขาตอบกลับมานั้นทำให้เจ้าหล่อนหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แต่มาถึงตอนนี้จะทำหน้างอต่อหน้าผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ หล่อนจึงเดินอย่างเจียมตัวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆ ย่าตัวเองที่ว่างอยู่ ตามด้วยน้าพาที่พยักพเยิดให้ฉันไปนั่งข้างพิมพิซึ่งอยู่ตรงข้ามคุณคามินทร์พอดิบพอดี
ฉันเดินไปนั่งยังที่นั่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ ทว่าในขณะนั้นเองที่ฉันเบือนสายตาไปมองชายหนุ่มผู้เป็นคู่ดูตัวในวันนี้ ใบหน้าหล่อเหลาแสนดูคุ้นตานั้นทำให้ฉันถึงกับผงะ ความทรงจำในวันนั้นแล่นเข้ามาในหัวราวกับภาพแฟลชแบ็ก
‘ออกไปให้พ้นหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่’
คามินทร์...คัลเลน ทำไมถึงเป็นเขาไปได้ล่ะ ไม่มีทาง ผู้ชายป่าเถื่อนอย่างเขาทำไมถึงกลายเป็นหลานชายของคุณหญิงรฐาไปได้ ซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ขึ้นเตียงกับฉันแล้วอีก ถ้าจะบอกว่านี่คือความบังเอิญ มันก็บังเอิญไปหน่อยมั้ง...
แต่จะว่าไปชื่อของเขาเคที่ก็เคยบอกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมฉันถึงไม่เอะใจบ้างเลยนะ ยิ่งเมื่อมองสายตาของชายตรงหน้า แม้รอยยิ้มของเขาประดับบนใบหน้า ทว่าแววตากลับฉายแววอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด
ตาย...นี่มันวันตายของอีญ่าแน่ๆ ทำไมฉันมันถึงได้ซวยอะไรขนาดนี้ นี่จะต้องเป็นฝัน ฝันอยู่แน่ๆ นี่ไม่มีทางเป็นเรื่องจริงไปได้หรอก
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะ”
แววตาของเขามันตรงข้ามกับคำพูดโดยสิ้นเชิง แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่นี่หันมามองหน้าเราทั้งคู่อย่างพร้อมเพรียง
“ทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนเหรอ?”
คุณย่ารฐาถามพลางมองเราทั้งคู่สลับกัน ฉันอึกอักตอบไม่ถูก ได้แต่นั่งลงโดยก้มหน้าไม่กล้าสบตาใครเลย แต่คนตรงหน้าฉันกลับตอบไปเหมือนไม่ได้คิดอะไร
“ก็เคยเจอครั้งหนึ่ง”
“งั้นดีเลย จะได้ไม่ต้องเขินกัน”
มันยิ่งกว่าเขินอีกค่ะคุณย่า ความรู้สึกของฉันตอนนี้เป็นอะไรที่บอกไม่ถูก ทั้งกลัว ทั้งสับสน และอึดอัดไปพร้อมๆ กัน
“ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว เราก็มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่านะคะ ดีจังเลยที่เด็กๆ เจอกันแล้ว จะได้ไม่ต้องขัดเขินอะไรกันมาก”
น้าพาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับฉันและพิมพิที่นั่งกอดอกหน้างอด้วยความไม่ชอบใจ ทุกคนต่างก็นั่งประจำที่ของตัวเองแล้วจดจ้องมายังเราทั้งคู่ แต่ว่าคงมีแค่ฉันที่อึดอัดกับสถานการณ์นี้ เพราะคนตรงหน้าดูเฉยจนน่าแปลกใจ
“จริงๆ การแต่งงานนี้ย่าไม่อยากบังคับหรอกนะ แต่คามินทร์เองก็อายุ 32 ปีเข้าไปแล้ว แม้แต่แฟนสักคนยังไม่มี ใช้ชีวิตสุดเกินไป เลยคิดว่าดีกว่าหากมีภรรยาเป็นฝั่งเป็นฝา จะได้ช่วยกันดูแลธุรกิจไปด้วยกัน”
ย่าไม่รู้เรื่องแฟนเขาคนนั้นที่ชื่อจันทร์จ๋าอย่างนั้นเหรอ แต่ว่านะ...ผู้ชายที่ทั้งหน้าตาดี หุ่นดี แถมยัง...เอ่อ...ลีลาเด็ดขนาดนี้ แต่กลับไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน มันออกจะผิดปกติไปหน่อยมั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นโรคอะไรบางอย่างที่สังคมรังเกียจ ก็ต้องเป็นคนนิสัยไม่ดีจนไม่มีใครคบแน่ๆ
จากที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันเดาว่าเป็นอย่างหลังแน่
“อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ อันที่จริงแล้วเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องของคนสองคน ในเมื่อทั้งติญ่าและคามินทร์ไม่ได้รักไม่ได้ชอบกัน ก็ไม่น่าฝืนใจกันเลยนะครับ”
จู่ๆ น้าแมทที่เงียบอยู่นานก็ได้พูดขึ้นมา จากคำพูดของเขามันทำให้น้าพาหันไปมองค้อนด้วยความไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันที่คนอื่นจะได้พูดอะไร คุณคามินทร์ก็พูดสวนขึ้นมาในทันที
“ใครบอกเหรอครับว่าผมไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบน้อง”
คำพูดนั้นทำให้ฉันหันไปมองหน้าเขาทันที เขากำลังหันมายิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้ไม่สบายใจแบบสุดๆ ขนทั้งตัวฉันมันลุกชูชันเหมือนกับแมวที่กำลังเจออันตรายไม่มีผิด ในใจได้แต่ภาวนาให้เขาอย่ามีแผนการอะไรมากไปกว่านี้เลย...
แต่แล้วพระเจ้าก็ไม่ฟังคำขอของฉันเลยแม้แต่น้อย เขาอ้าปากพูดในคำที่ทำให้ฉันถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ผมชอบน้อง ชอบมากๆ ด้วย”
“คุณคามินทร์!!!”
ฉันเรียกชื่อเขาอย่างตื่นตระหนก ท่ามกลางสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามท่านที่จ้องมองมาด้วยความงุนงง แต่คนตรงหน้าฉันกลับยักคิ้วอย่างไม่ยี่หระ
“พูดอะไรของคุณ เราไม่ได้...”
“แกจะชอบติญ่าได้ยังไง พวกแกไม่รู้จักมักคุ้นกันด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าน้องเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงเมื่อวานแกก็เจอแล้วก็ชอบเลย?”
น้าแมทขอร้องเถอะ ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้อยากให้ฉันแต่งงานกับหลานชายตัวเองสักเท่าไร แต่ยิ่งเขาพูดก็เหมือนยิ่งเปิดโอกาสให้ไอ้บ้าตรงหน้าฉันพูดมากเท่านั้น
“แล้วมันแปลกเหรอครับ?”
“มันก็ต้องแปลกสิ นิสัยใจคอกันยังไม่ทันรู้เลย จะชอบกันได้ยังไง”
“คุณแมท...” แม้แต่น้าพาก็ทนไม่ไหว เธอพยายามหยุดสามีของตัวเองด้วยการมองเขาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
“ใครบอกอาเหรอครับว่าเราเพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก”
คำพูดของเขาทำให้ฉันที่ตกใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งลนลานกว่าเดิม ฉันพยายามจ้องหน้าเขาพลางส่งสายตาอ้อนวอนขอไม่ให้เขาพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ หากว่าทุกคนรู้เข้าละก็...
“ผมกับน้องติญ่า...”
“คุณคามินทร์คะ...”
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”
งานนี้ฉันได้ตายโหงอีกรอบแน่ๆ
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ