“คุณชาย ข้าต้องขออภัย ปล่อยข้าไปเถิด จะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม ขอร้องเถิดขอรับ” เมื่อใช้แรงสู้ไม่ได้ผล และพิจารณาดูแล้ว ชายผู้นี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา คนที่เคยอวดเบ่งก็ต้องใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนแทน
“ฮึ เจ้าสุนัขนี่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย” เขาสะบัดมือออก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดอย่างถือตัว ยิ่งทำเช่นนั้น เยว่ชิงก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาน่าจะเป็นคุณชาย บัณทิต ขุนนาง หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือทหารในกองทัพเลยทีเดียว ถึงได้มีความสามารถในการต่อสู้ และคงไว้ซึ่งท่าทางเย่อหยิ่งไปในคราวเดียวกัน “เอาละ ทีนี้ก็เอ่ยขออภัยแม่นางทั้งสองซะ” คำขอโทษพรั่งพรูออกมาจากปากไอ้สุนัขหน้าเหม็นพร้อมด้วยสีหน้าเศร้าสลด เยว่ชิงมองอย่างไร้ความหมาย บอกให้เพ่ยเพ่ยเอาเงินให้ชายชราที่ยืนตัวลีบอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหันมาขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของนาง “คุณชายท่านนี้ ข้าต้องขอบคุณท่านมาก สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้” นางกล่าวด้วยเสียงและท่าทางที่ไม่อ่อนน้อมนัก เนื่องจากติดนิสัยพูดกับบ่าวรับใช้ในจวน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถ้อยคำเหล่านั้นแสนจะห้วนสั้น จึงเติมคำที่ท้ายประโยคประโยคลงไปเพื่อความแนบเนียน “หมายถึง...ขอบคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ” “ข้ายินดีช่วย ว่าแต่เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาพัวพันกับเหตุการณ์นี้ได้” คุณชาย ที่เยว่ชิงเข้าใจไปเองเอ่ยถาม มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย ที่จริงแล้วฐานะของเขาสูงกว่านั้นมากโข แต่หลี่อวี้อ๋องก็ตัดสินใจจะไม่เปิดเผยตัว เพื่อดูว่านางจะทำอย่างไรต่อไป “ข้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญเดินมาเห็นเหตุการณ์” เย่วชิงตอบ ก่อนจะก่นด่าตัวเองในใจอีกรอบที่ลืมว่านางกำลังปลอมตัวเป็นใครอยู่ “เจ้าค่ะ” แล้วนางก็รีบเติมคำต่อท้าย และทันได้เห็นว่าบุรุษตรงหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เขาช่างดูแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสุดขั้ว ชายผู้เยือกเย็นถูกแทนที่ด้วยคุณชายท่าทางสง่างามและนิ่งขรึมแทน “หญิงสาวชาวบ้านมีเงินทองมากถึงเพียงนั้นเชียว” คิ้วกระบี่เลิกขึ้น “ข้าเพิ่งขายผ้าได้เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างไหลลื่น หลี่อวี้อ๋องทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเข้าใจ เยว่ชิงถึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วเขากลับเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำเอานางแทบจะล้มทั้งยืน “แต่เจ้าหน้าตาเหมือนท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงมิผิดเพี้ยนเลย” ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางพินิจพิจารณา “ทะ ท่านเพิ่งสั่งสอนคนผู้นั้นไม่ให้ล่วงเกินข้า แต่ตอนนี้กลับมาทำเสียเอง” เยว่ชิงร้อนรนเล็กน้อย ทั้งตกใจท่าทางคุกคามของคนตรงหน้า เพ่ยเพ่ยกระตุกกระโปรงของนางให้ระวังไม่ทำให้ชายผู้นี้โกรธ แต่หากนางจะหนีเสือปะจระเข้ ก็ให้มันรู้กันไป “ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหยาบคาย เพียงแต่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนในข้อสงสัยของตัวเอง และข้าก็มั่นใจว่าเจ้าคือบุตรสาวของท่าน แม่ทัพมู่หรงอย่างไม่ต้องสงสัย” “ท่านคงจำผิดกระมัง บุตรสาวท่านแม่ทัพก็น่าจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงและเครื่องประดับมากมาย นางจะมาเป็นข้าที่ซ่อมซ่อเช่นนี้ได้อย่างไร” นางยังคงพยายามที่จะรักษาบทบาทของตัวเองเอาไว้ “อีกอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนางดีหรือ ถึงได้เที่ยวพูดไปทั่วว่าคนโน้นคนนี้เป็นแม่นางมู่หรงเยว่ชิงอะไรนั่น” “ข้ารู้จักนางดีเลยล่ะ” “แต่ข้าไม่เห็นจะรู้จักท่านเลย อุ๊บ!” นางแทบจะเอามือตะครุบปากตัวเองที่ดันเผยความลับไปโต้ง ๆ ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม “นั่นปะไร เจ้าคือนางจริง ๆ ด้วย!” เยว่ชิงเห็นท่าไม่ดีนางหันไปหาเพ่ยเพ่ย พยักหน้าให้กันสองครั้ง แล้วทำท่าจะออกวิ่ง แต่โดนชายตรงหน้าดึงแขนเอาไว้อย่างรู้ทัน “จะไปไหนหรือ” “ข้าต้องไปแล้ว” นางละล่ำละลักตอบ “ยังไปไม่ได้ นี่บิดาของเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกจนเกือบจะเกิดอันตรายเยี่ยงนี้” “ถ้าท่านรู้แล้วว่าคุณหนูของข้าเป็นใครก็ปล่อยให้นางกลับจวนเสีย” เพ่ยเพ่ยออกโรงปกป้องนางเต็มที่ คนโดนขู่ยกยิ้ม ดวงตาฉายแววอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออก ยอมปล่อยมือจากเรียวแขนที่มีผิวเนื้อนุ่มเนียนอย่างเสียดาย คราวนี้เขาต้องจำใจปล่อยนางปล่อยไปก่อน แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น “แต่ข้าเป็นคนช่วยพวกเจ้าทั้งสอง จะตอบแทนกันเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ ท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงจะไร้น้ำใจกับคนผู้หนึ่งได้ขนาดนี้เชียว ?” “ก็ได้ ๆ” เยว่ชิงหาทางจบปัญหา อย่างไรเสีย แผนการวันนี้ของนางก็ถูกทำลายลงแล้ว นางอยากกลับจวนเต็มที จึงอยากให้เรื่องนี้จบลงด้วย “ท่านไปรับรางวัลที่จวนของข้า เพราะดูจากการแต่งกายและท่าทางของท่านแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา แค่เงินจำนวนที่ข้ามีตอนนี้คงจะไม่พอ ทีนี้ท่านจะปล่อยเราสองคนไปได้หรือยัง” “ถ้าเช่นนั้นขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่” “ได้ แต่ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง” “ข้าฟังอยู่” สำเนียงการพูดของเขาคล้ายเคยชินกับคนวางอำนาจ ซึ่งทำให้นางนิ่วหน้า เพราะทั้งชีวิตไม่เคยมีใครพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อน แต่นางต้องขออะไรบางอย่างจากเขา จึงจำใจปล่อยผ่าน “อย่าบอกบิดาข้าว่าท่านช่วยข้าจากเหตุการณ์นี้ ให้บอกว่าท่านเก็บเครื่องประดับของข้าได้ที่ตลาดเมื่อหลายวันก่อน” “นั่นคือคำสั่งหรือ” ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นนิจตอนนี้เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูออกอย่างชัดเจนว่าต้องการจะยั่วเย้าให้นางโมโห เยว่ชิงฮึดฮัดอยู่ในใจ นึกอยากจะย้ำเตือนว่านางเป็นใคร แต่หากทำให้เขาไม่พอใจ นางจะเจอเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่า อย่างเช่นการลงโทษจากบิดา จึงทำได้เพียงเม้มปากแน่น สูดหายใจเข้าแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและใบหน้าออดอ้อน ซึ่งนางมั่นใจว่านี่เป็นไม้ตายของนาง “คุณชายได้โปรดทำตามคำขอของข้าด้วยเถอะนะเจ้าคะ แล้วข้าจะตอบแทนท่านอย่างดี ถือว่าเห็นแก่หญิงสาวตาดำ ๆ คนหนึ่ง” หลี่อวี้อ๋องรู้ดีว่านั่นคือการขอร้องที่แสนจำใจของนาง แต่เมื่อโฉมงามมาขอร้องด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ทั้งยังทำดวงตาเป็นประกาย ใครเลยจะใจแข็งอยู่ได้ “ข้ายอมรับคำขอของเจ้า แต่เรื่องที่เจ้าต้องตอบแทน เอาไว้ข้าคิดออกแล้วจะบอกเจ้าทีหลัง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านมีนามว่าอย่างไรหรือ” นางถามด้วยความใคร่รู้ แต่ก็เพราะอยากจะจำชื่อเขาเอาไว้ หากวันข้างหน้าได้โอกาสแก้เผ็ด นางจะได้ไม่จำผิดตัว “ข้าจะแนะนำตัวกับบิดาของเจ้าในวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้เจ้ากับสาวใช้ต้องกลับจวนได้แล้ว ก่อนที่จะมีใครรู้ว่าคุณหนูคนเดียวของจวนแม่ทัพออกมาเที่ยวเล่นซุกซนเยี่ยงนี้” “เข้าไม่ได้ซุกซน” เยว่ชิงตอบกลับทันควัน ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ฮึ่ย! “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” สุดท้ายนางกล่าวด้วยความพยายามที่จะไม่กระแทกกระทั้น แต่เมื่อเงยหน้าสบกับดวงตาสีเข้มที่มีประกายแรงกล้า นางก็รีบเบนสายตาหลบแล้วหันหลังเดินจากมาด้วยความเร่งรีบ หลี่อวี้อ๋องยังคงมองแผ่นหลังอันบอบบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดที่ตัดเย็บอย่างสวยงาม นึกชื่นชมหลังยืดตรงและศีรษะที่เชิดขึ้นของนาง หญิงสาวคนใดจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวอย่างมู่หรงเยว่ชิงได้อีก ทั้งความงาม ความไร้เดียงสาและความมีชีวิตชีวา1915 คำแก้ไข“อ๊ะ” เยว่ชิงสะดุ้งกับการถูกรุกล้ำเข้ามาในกายสาว นางรัดแขนรอบคอเขาแน่น สัมผัสของมันทำให้ภายในส่วนกลางกายบีบรัดจนร้อนระอุ พาให้นางเสียววูบวาบอย่างตั้งตัวไม่ติด นางกลั้นหายใจพลางซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างเมื่อเขาขยับมือชักเข้าออกเริ่มจากเชื่องช้าไปสู่ความรัวเร็วจนร่างกายของนางรับไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายแหงนหงายไปด้านหลัง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่เส้นผมสีดำขลับปัดป่ายอยู่ตรงช่วงลำตัวของนาง ในตอนที่นางหลุดเสียงร้องครวญครางแล้วตัวกระตุกเกร็งภายใต้มือของเขา “ท่านอ๋อง” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง คล้ายจะบอกว่าตัวเองได้รับความสุขสมเป็นอย่างดีแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยและปล่อยให้เขาจับพลิกตัวนอนลงกับเตียง “ข้าหวังว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาขัดอีก เพราะคราวนี้ข้าจะไม่ยอมถอนกำลังเป็นแน่ หากข้าไม่ได้ชัยชนะ” “แล้วชัยชนะของท่านคือสิ่งใดกัน” นางถามราวกับจะยั่ว “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” เขาปลุกปั่นความปรารถนาของนางขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับทำรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอย่างหักห้ามใจไม่ไหว ทั้งบดขยี้กลีบปากบาง สองมือต้องการที่จะได้สัมผัสแตะต้องทุกตารางนิ้ว จนก
หญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง สวมเพียงชุดหลวม ๆ สำหรับ ซับในเอาไว้เรียบร้อย หลี่อวี้อ๋องมองนางแน่นิ่งราวกับจะมองให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปจนกระทั่งเห็นถึงผิวเนื้อด้านใน คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็รู้ตัวดีจนถึงขนาดร้อน ๆ หนาว ๆ ต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็น “ฮ่องเต้เสด็จมาหรือเจ้าคะ” เขาพยักหน้าก่อนจะวางกล่องในมือเอาไว้บนโต๊ะ “เอาของขวัญมาให้ แต่ที่จริงน่าจะอยากแกล้งเสียมากกว่า” “แกล้ง?” “ก็จงใจมาขัดขวางตอนที่ข้าจะเข้าสนามรบน่ะซี่” คำพูดของเขาทำให้นางอายจนต้องก้มหน้างุด ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในสายตาของเขานั้นนางก็น่าเอ็นดู น่าจับมาโอบกอดและรัดแน่น ๆ แล้วก็ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากมีนางอยู่ในอ้อมแขนทั้งวันทั้งคืน “ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละ” “ไปอาบน้ำก่อนอะไรหรือ ก่อนทำเรื่องนั้นหรืออย่างไร” เขาถามแกล้ง ๆ เยว่ชิงอ้าปากค้าง นับวันหลี่อวี้อ๋องที่กลายมาเป็นสามีของนางก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้แกล้งและช่างหยอกเย้าเก่งขึ้นทุกที จนนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร “ไปเถอะ ข้าจะนอนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่นี่” “ท่าน!” “ข้าพูดความจริงนี่” เขาตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะพูดไล่หลังเมื่อนางกำลังจะเปิดประตูออกไป
งานอภิเษกสมรสของหลี่อวี้อ๋องกับมู่หรงเยว่ชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ฮ่องเต้มาเป็นประธานในงาน และเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างมาร่วมงาน ที่ด้านนอกชาวบ้านล้านตลาดก็พากันออกมาดูเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ซึ่งด้านหลังมีสินเดิมของเจ้าสาวยาวเหยียดชนิดที่ว่าหัวขบวนเคลื่อนไปถึงถนนอีกสายแต่ท้ายขบวนที่ตั้งคอยอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากจวนแม่ทัพ สมแล้วที่นางเป็นถึง ท่านหญิงตำลึงทอง แล้วหลังจากที่แต่งงานกับหลี่อวี้อ๋อง ตำลึงทองของนางเห็นจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้นไปอีก พิธีการทุกอย่างราบรื่นสวยงามจนกระทั่งจะถึงตอนเข้าหอที่ทำให้เจ้าสาวอย่างเยว่ชิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางได้รู้อะไรมาบ้างจากเพ่ยเพ่ย ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากมายนักเนื่องจากเรื่องเช่นนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้และมันยังน่าอายที่จะหยิบยกเอามาพูดบ่อย ๆ ด้วย สิ่งที่นางรู้ก็เห็นจะเป็นเรื่องห้ามนอนนิ่งเป็นหินแข็งเท่านั้นเอง บ่าวแก่แดด ในขณะที่นางนั่งกังวลเรื่องนี้อยู่ หลี่อวี้อ๋องก็ได้รับกลเม็ดเคล็ดลับมากมายที่จะทำให้มีบุตรอย่างง่ายดายจากทั้งพี่ชายอย่างฮ่องเต้และพ่อสามีหมาด ๆ ว่าด้วยท่
มู่หรงเยว่ชิงเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอในฝัน หรืออันที่จริงคือตัวนางในชาติที่แล้ว ต้องตกตายเพราะเศษเงินเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ช่างอนาถโดยแท้ ขนาดมาเกิดใหม่ในตระกูลที่มีอันจะกิน นิสัยขี้งก เอ้ย เอาเป็นว่า เห็นคุณค่าของเงินยังติดตัวมาอีก แต่ถ้าจะให้แก้ตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง “คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิทขัดความคิดของนาง “ท่านอ๋องมาถึงแล้วหรือ” “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อสิบวันที่แล้ว และแน่นอนว่าปิ่นที่นางเลือกใช้คือปิ่นทองลายหลันฮวาที่หลี่อวี้อ๋องมอบให้แก่นาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่นางใช้ปักอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เท่ากับว่านางผ่านพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และพร้อมสำหรับการออกเรือนแล้ว ช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย นางเพียงแค่อายุสิบหกหนาวเท่านั้น ร่างบางที่นับวันความงามยิ่งฉายชัดเดินมาหยุดยืนข้างร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่ศาลากลางสวน เมื่อเขาเห็นนางก็เผยยิ้มต้อนรับ กวาดสายตามองนางอย่างถวิลหา ช่วงนี้ทั้งสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับพิธีอภิเษกที่จะมาถึงในไม่ช้า และนางก็จะต้องถนอมเนื้อตัวจน
“รับปิ่นข้าไปแล้วเท่ากับว่าเจ้าเป็นของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอหลังเจ้าปักปิ่นเราจะจัดงานมงคลกันทันที” “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” “ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” “นี่ท่าน” หญิงสาวเบิกตาโต “ข้าจะยอมให้เจ้าตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน ไหนจะหลานชายข้าอีก” “แล้วฝ่าบาท…” “เสด็จพี่ย่อมทำตามที่ข้าต้องการ” เขาพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาชูให้นางดู เป็นม้วนผ้าสีทอง “นี่อย่างไรล่ะ รอเพียงเจ้าฟื้นจะได้ประกาศราชโองการฉบับนี้เสียที” “ราชโองการอันใดเจ้าคะ” นางคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็เอ่ยปากถาม “สมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องเฉินหลี่อวี้ พระอนุชาใน เสวียนจงฮ่องเต้ กับท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิง ธิดาของแม่ทัพใหญ่มู่หรง เซียนหลิวอย่างไรเล่า” “ท่านมั่นใจอย่างไรว่าข้าจะแต่งกับท่าน” นางนึกหมั่นไส้ “เจ้าย่อมแต่งให้ข้า เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าและใจกว้างเท่าข้าอีกแล้ว” “องค์ชายชาง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเขาขโมยจูบ “หากยังพูดถึงชายอื่นข้าจะจูบเจ้าอีก” “ท่านนี่มัน…ร้ายกาจนัก ฮึ่ย! แต่ข้าก็รักท่าน” นางแสร้งต่อว่าและบอกรักเขาไปในตัว ก็เขาอยากฟัง
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี