จนตอนที่ออกเดินทางอีกครั้ง จั๋วซือหรานก็ไม่ได้ใช้ไหมกู่พันธนาการพวกเขาต่อแล้วคนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ แล้วยังเห็นนางอัญเชิญสัตว์ประหลาดหมาป่าหิมะอีกหลายตัวแบบที่นางนั่งออกมาให้พวกเขาขึ้นนั่ง ส่วนนางก็เข้าไปในรถม้าแทน"พวกเจ้าน่าจะคุ้นเคยทางไปสำนักเมฆาวารีมากกว่าข้ากระมัง?"พอเห็นหญิงสาวเข้าไปนั่งในรถม้าด้วยท่าทีสบายๆ จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ถามออกมาแบบนี้พวกเขาก็ไม่ชักช้าอีก ไม่กล้าพูดโกหกอีกเลยแม้แต่น้อยกังวลแค่ว่าถ้าหากพูดคำว่าไม่ออกมา คงได้ถูกนางสังหารทิ้งทันทีเพราะไม่มีประโยชน์แล้วก็เลยทยอยกันผงกหัว"พวกเรารู้จักทาง!""แล้วยังคุ้นทางอีกด้วย!"จั๋วซือหรานพยักหน้า "เช่นนั้นก็ได้ พวกเจ้านำทางเลย ขี่หมาป่าน้ำแข็งไปก็พอ พวกมันจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า แต่ทางที่ดีพวกเจ้าก็อ่อนโยนกับพวกมันหน่อย"จั๋วซือหรานรู้สึกว่า สต๊อกโฮล์มซินโดรม(ภาวะทางจิตวิทยาที่ผู้ถูกคุมขังเกิดความผูกพันกับผู้คุมขัง)นี่ก็ดูจะสมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะตอนที่นางพูดเหล่านี้จบแล้วเตรียมจะออกเดินทางก็มีศิษย์สำนักเมฆาวารีถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า "พวกเราขี่สมบัติล้ำค่าของท่าน...คงไม่ดีกระมัง?
คนขับรถคิดถึงคำพูดที่ผู้ดูแลเฉวียนกำชับเขาไว้ก่อนออกมาเฉวียนคุนตอนนั้นก็กังวล บอกกับเขาว่า: 'เจิ้นเจียง เจ้าอย่าไปฟังข่าวลือภายนอกที่พูดถึงตัวคุณหนู ว่าเป็นหญิงสาวที่ใจไม้ไส้ระกำอะไรแบบนั้น อันที่จริง คุณหนูพวกเราเป็นคนที่ใจอ่อนใจดีที่สุดแล้ว การเดินทางครั้งนี้ เจ้าเองก็เป็นคนฉลาด คอยจับตาไว้ให้ดี ตอนไหนที่เจอคุณหนูอ่อนข้ออย่างเมตตา เจ้าก็เข้าไปเตือนเสียหน่อย ออกมาภายนอก การอ่อนข้อเมตตาให้ศัตรู ไม่ใช่ว่าจะสร้างความลำบากให้ตนเองหรอกหรือ?'และตอนนี้ คนขับรถเจิ้นเจียงก็กังวลเอามากๆ จริงๆ แล้วยังรู้สึกว่าคำพูดตนเองก็ไม่ค่อยมีน้ำหนัก คุณหนูไม่น่าจะฟัง ดังนั้นจึงคิดๆ แล้วเอาคำที่เฉวียนคุนกำชับไว้พวกนั้นบอกกับจั๋วซือหรานขึ้นอีกครั้งจั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มๆ "เฉวียนคุนนี่ก็ขี้เป็นห่วงเสียจริง""ผู้ดูแลเองก็กังวลจนว้าวุ่น เขาเป็นห่วงคุณหนูนั่นล่ะ" คนขับรถคิดๆ จากนันจึงเสริมขึ้นมาคำหนึ่ง "ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นห่วงของผู้ดูแลเองก็ไม่มีจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว"จั๋วซือหรานยิ้มๆ ฟังไม่ออกถึงความหมายการบ่นในประโยคสุดท้าายของคนขับรถเสียที่ไหน"เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะขี้กังวลเหมือนเฉวียนคุนไม
อดพูดไม่ได้ ว่าการเร่งเดินทางในช่วงเช้า ก็ดูจะมีประสิทธิภาพอยู่พอควรโดยเฉพาะหมาป่าน้ำแข็งกับม้าที่ลากรถ ล้วนได้รับการถ่ายพลังวิญญาณของจั๋วซือหราน ดังนั้นจึงวิ่งได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเห็นได้ชัดว่ามีประสิทธิภาพมาก ถ้าเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้ เดิมทีระยะทางห้าวัน แค่สามวันก็น่าจะถึงแล้วเพียงแต่ว่า พอเทียบกับเหล่าม้าสัตว์ขี่ที่ได้รับพลังวิญญาณจากจั๋วซือหรานจนวิ่งกันได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้วพวกสำนักเมฆาวารีบางส่วนกลับย่ำแย่มาก ถูกสั่นโคลงไปตลอดทาง จนแทบจะใช้แรงฮึดประคองตัวเองเอาไว้ เกือบจะเอาเชือกมาพันตัวเองไว้บนหลังพวกมันเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติร่วงลงไปอยู่แล้วถูกโคลงเคลงมาตลอดทาง แต่ละคนหน้าซีดกันหมด รู้สึกเหมือนวินาทีต่อไปจะตายแล้วอย่างไรอย่างนั้นแต่พอมีหมาป่าน้ำแข็งเบิกทางแบบนี้ ก็ยังทำให้คนสะพรึงกันอยู่ พอมาถึงประตูเมืองหยางก็ถูกขวางไว้แล้วคนคุ้มกันประตูเมืองทั้งระแวดระวังทั้งตึงเครียด หัวหน้าคนคุ้มกันเดินเข้ามาจากนั้นจึงเห็นร่างหญิงสาวชุดแดงลงจากรถม้า นำกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้ใจเต้นรัวตามมาด้วย"เอ่อ..." หัวหน้าคนคุ้มกันพอกำลังจะพูด แหงนตามาเห็นใบหน้าหญิงสาวช
อักษรจั๋วซือหรานสามตัวนี้ชัดเจนอยู่บนบันทึกหัวหน้าคนคุ้มกันพอเห็น ก็อดถลึงตาโตขึ้นมาไม่ได้จั๋วซือหรานพอเขียนชื่อเสร็จ ก็เดินตรงไปทางประตูเมือง จากนั้นจึงได้ยินเสียงของหัวหน้าคนคุ้มกันที่ค่อนข้างตกตะลึงดังขึ้นจากด้านหลัง "ท่าน ท่านคือ...แม่นางจั๋วจิ่วหรือ?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานมองเขา "เจ้าทำไมถึงรู้จักข้า?"สายตาหัวหน้าคนคุ้มกันร้อนผะผ่าว เปล่งประกายวิบวับสายตานี้ จั๋วซือหรานถึงแม้จะไม่คุ้นนัก แต่...ก็คุ้นเคยอยู่บ้างนั่นล่ะตอนที่พวกสาวน้อยเจอไอดอลที่ชื่นชอบในชาติที่แล้ว ตาก็จะเปล่งประกายแบบนี้ แต่หัวหน้าคนคุ้มกันนี้ทำไม...?"ข้ามาจากค่ายคุ้มกันเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาต้องกลับบ้านเกิดเพื่อไว้ทุกข์ ภูมิลำเนาข้าคือเมืองหยาง แม่ทัพฉีฮ่าวเมตตาข้า เลยมอบความสะดวกให้กับข้า ย้ายให้ข้ามาเป็นคนคุ้มกันที่เมืองหยาง"หัวหน้าคนคุ้มกันเอ่ยกับจั๋วซือหรานอย่างชัดเจน "ข้าเองก็คิดถึงแม่ทัพอยู่บ่อยๆ คิดถึงค่ายคุ้มกันเมืองหลวงด้วย ดังนั้นแม้จะประจำการอยู่ที่เมืองหยาง แต่ก็ยังคอยติดตามข่าวสารของทหารคุ้มกันที่เมืองหลวงอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงรู้เรื่องของค่ายคุ้มกันกับแม่ทัพเมื่อหลายวันก่อน..."
พอเห็นท่าทางแบบนี้ ในโรงเตี๊ยมจึงไม่กล้าที่จะชักช้า บวกกับหัวหน้าคนคุ้มกันเมืองหยางเข้ามาทักไว้ก่อนแล้วสรุปคือ หลังจากจั๋วซือหรานเข้าพักในโรงเตี๊ยมก็ถือว่าพึงพอใจมาก การบริการแต่ละอย่างล้วนไม่เลวเลย"คุณหนู พวกเราพรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้าเลยใช่ไหมขอรับ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดังนั้นควรพักก็พักซะนะ พรุ่งนี้จะได้มีสติกำลังวังชา""ข้ายังได้อยู่ แต่คนของสำนักเมฆาวารี่พวกนั้น แต่ละคนเหมือนจะไม่ไหวกันแล้ว" คนขับรนเจิ้นเจียงยิ้มๆ คิดๆ แล้วจึงพูดว่า "คุณหนู ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ตอนนี้ข้าออกไปเดินเล่นหน่อย ดูว่าเมืองหยางนี้มีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอะไรบ้าง แล้วข้าซื้อกลับมาให้ท่านดีไหม?"จั๋วซือหรานไม่มีความเห็นอะไร พยักหน้าให้ "เอาสิ"นางโยนถุงเงินใบหนึ่งให้เจิ้นเจียง "ตัวเองก็ระวังตัวหน่อยล่ะ""ทราบแล้วขอรับ"มีการกำชับจากจั๋วซือหราน บวกกับเป็นคนที่เฉวียนคุนเลือกมา แทบไม่ต้องคิดเลยว่าไม่ใช่พวกที่ชอบหาเรื่องใครแน่นอนแต่บางครั้ง เจ้าไม่ไปหาเรื่องเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่หาเรื่องเจ้าจั๋วซือหรานกำลังรออยู่ในห้อง เข้าไปยังมิติจิตใต้สำนึก จัดการพืชวิญญาณกับวัต
ทั้งสองคนได้ยินคำนี้ ดวงตาก็อดถลึงตากลมไม่ได้ ในใจคิดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่: ใครกัน? บ้าไปแล้วหรือ? รังแกใครไม่รังแก ดันมารังแกคนขับรถของนาง...ไม่อยากอยู่กันแล้วใช่ไหม? ต่อมารังแกคนสำนักเมฆาวารีอย่างพวกเขา ก็ยังดีกว่าไปหาคนขับรถนางนะ!คนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้เองก็เพิ่งมาเข้าใจทีหลังด้วยความสามารถของจั๋วซือหรนาแล้ว ในหุบเขาตอนนั้น ตอนที่ถูกพวกเขากับลิ่วล่อข้องสภาผู้อาวุโสลอบโจมตี นางยังออกมาจากหุบเขานั่นได้อย่างสบายๆ เลย น่าจะจัดการได้อย่างง่ายดายยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีรถม้าคันนั้น ด้วยความสามารถของสัตว์อสูรนาง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะไม่มีอะไรให้ขี่ออกมาที่นางพุ่งออกจากช่องเขานั่นอย่างรวดเร็ว คิดแล้วก็คงเพื่อนจะปกป้องรถม้าคันนั้นพอพูดแล้ว ก็น่าจะเพื่อปกป้องคนขับรถคนนั้นด้วยกระมังเหมือนถ้าถูกนางขีดเส้นบริเวณว่าเป็นคนของตนเองแล้วล่ะก็จะรู้สึกปลอดภัยมาก ต่อให้จะเป็นแค่คนขับรถก็ตามเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงคิดถึงสำนักเมฆาวารีที่ตนเองภักดี เจ้าสำนักเพื่อความแค้นส่วนตัว กลับส่งพวกเขาออกมาตาย...บางครั้งของที่ดีกว่าจะทำให้ของด้อยกว่าดูไร้ค่า คนเองก็เช่นกันแต่ว่า คนที่ลงมือกับเจิ้
จั๋วซือหรานแหงนตาขึ้นมองคานประตู บนป้ายเขียนไว้ว่า 'จวนตระกูลเหอ'นางเพิ่งนึกออก เหมือนเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ตนเองพักอยู่ก็เป็นของตระกูลเหอเมืองหยางนี่จั๋วซือหรานยิ้มขึ้นมา นี่ตนเองไปเจอร้านขี้โกงเข้าแล้วหรือ?แต่ว่าพอพูดขึ้นมาเช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้หาตำแหน่งของเจิ้นเจียงได้อย่างแม่นยำเกรงว่าตอนที่เจิ้นเจียงออกจากโรงเตี๊ยม ก็น่าจะถูกจับจ้องไว้แล้วเห็นนางพาคนมาที่โรงเตี๊ย พอคนเยอะก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงจ้องมาทางเจิ้นเจียงที่ออกไปคนเดียวประตูของจวนตระกูลเหอ สังเกตเห็นหญิงสาวอายุน้อยคนนี้อยู่ลิบๆอยากจะไม่สังเกตเห็นมันก็ยากอยู่นา สัตว์ขี่ของนางดุดันเสียขนาดนี้ แค่เห็นก็รู้ว่าไม่ธรรมดาแล้วใบหน้านาง ก็ยังสวยหยาดเยิ้มจนมองข้ามไม่ได้พอเห็นนางจ้องคานประตูจวนตระกูลเหอ คนคุ้มกันประตูก็คิดจะเดินขึ้นมาถามนางว่ามีธุระอะไรใครจะคิด ยังไม่ทันได้ขึ้นมาถามก็เห็นนางพลิกข้อมือ ในมือไม่รู้มีดาบยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อไร ประกายเย็บแล่นวาบคนคุ้มกันประตูกระทั่งสายตายังมองไม่ทันพริบตาต่อมา ก็ได้ยินเสียงท่อนไม้ขาดดังขึ้นคนคุ้มกันถลึงตาโต สายตามองออกไปอย่างหวาดหวั่น จึงเ
ในจวนตระกูลเหอชายหนุ่มในชุดหรูหราคนหนึ่งได้ยินเนื้อหาการรายงานจากคนคุ้มกันประตู หน้าก็ถมึงทึงขึ้นทันที"นางกล้ามาทำลายป้ายของพวกเรารึ?! บังอาจเหลือเกิน!""ไม่ใช่เพราะเจ้ามันเกะกะระรานหรือไง! ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง เอาแต่จะจับคนของคนอื่นอยู่นั่น! คิดว่าจะทำอะไรตามใจชอบในเมืองหยางนี้ได้รึ?" ชายกลางคนข้างๆ ตำหนิขึ้นมา "เจ้ารู้ไหมว่าอีกฝ่ายเป็นใคร! ตัวตนฐานะอะไร! กล้าทำแบบนี้ได้ยังไง!"ไม่ใช่ว่าเป็นหมอเทวดาจากเมืองหลวงคนหนึ่งหรือ ได้ยินว่าวิชาแพทย์ในเมืองหลวงสุดยอดมาก สั่นคลอนไปทั้งเมืองหลวงเลย กระทั่งตระกูลเหยียนก็ยังทานไม่ไหวชายหนุ่มเอ่ยต่อ "ดังนั้นจึงอยากจะเชิญนางมาตรวจอาการข้าเสียหน่อย เลยจับคนของนางมาก เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนักน? แล้วที่จับมาก็แค่คนขับรถเท่านั้น คน คนทีนางใช้ประโยชน์ได้เหล่านั้น ข้าไม่ได้แตะต้องเลย!""เจ้ามันโง่! นางไม่ใช่แค่หมอเทวดาในเมืองหลวงนะ นั่นเป็นหมอเทวดาของฝ่าบาท! หัวหน้าสถาบันแพทย์หลวง! ข้าราชการในราชสำนัก! แล้วยังเป็นโหวหญิงอีก!" ชายกลางคนเอ่ยขึ้น "คนขับรถของนางล่ะ? รีบมาตัวมานี่เดี๋ยวนี้!"เจิ้นเจียงถูกคนดึงมาจากในห้องฟืน เขายังสับสนทิศทางอยู่ ไม่รู้ว่
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย