น่าจะเพราะคิดว่าเช่นนี้จะไม่ถูกพบเข้ากระมังจั๋วซือหรานแค่รู้สึกว่า...ถ้าตอนนี้นางลืมตาขึ้นมา คงจะน่าดูชมเลยทีเดียวแต่แมงมุมน้อยก็เอ่ยขึ้นข้างๆ ว่า "นายท่าน ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ข้างๆ ท่าน ท่านจะลืมตาขึ้นมาหรือ?"จั๋วซือหรานหยุดคิดไปครู่หนึ่ง "ไม่ล่ะ"แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขินหรือกลัวอะไร ก็แค่เพราะนางเป็นคนที่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียได้เท่านั้นเรื่องด่วนที่นางต้องทำตอนนี้ คือเพื่อรับมือกับสำนักเมฆาวารีถ้าหากตอนนี้ลืมตาขึ้นมา แล้วเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเขาขึ้นมา ไม่แน่อาจจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องที่กองหนุนของสำนักเมฆาวารีกำลังจะมาถึงก็ได้ไหนจะเรื่อง..."แบบนี้สนุกกว่าตั้งเยอะ" จั๋วซือหรานยิ้มตาหยี "เขาไม่ใช่ว่าชอบแสดงนักหรือไง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเล่นด้วยจนจบเลย ดูว่าเขาจะแสดงได้ถึงตอนไหน จะแสดงได้นานแค่ไหน"จะว่าอย่างไรดี...?พูดได้แค่ว่า...สู้กับเฟิงเหยียน มันสนุกเสียจริงฮ่าๆ!จั๋วซือหรานยิ้มตาหยีบอกกับราชาแมงมุมหน้าผี "แต่ว่า แมงมุมน้อยเจ้าตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป สภาพของข้าฟื้นฟูแล้ว จัดการหุ่นเชิดความมืดนี่ต่อได้แล้ว"ขณะเดียวกัน ภายในห้องเงามืดร่างนั้น คอยซ่อนอยู่ใน
เดิมทีเพราะรู้สึกว่านางจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นมาอีก ดังนั้นเลยคิดจะอยู่ต่ออีกหน่อยไม่นึกว่านางจะไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆทั้งคืนก็หน้าซีดเป็นระยะๆ หลังจากที่เขาไปช่วยให้ทุเลาแล้ว ผ่านไปพักหนึ่งก็กลับมาขาวซีดอีกจนตอนที่ฟ้าเริ่มสาง สีหน้านางในที่สุดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วเขามองขอบฟ้าที่เริ่มสาง มองใบหน้านางที่ในที่สุดก็ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จึงถอนใจโล่งออกมาได้เสียทีตอนนี้จึงออกมาจากในห้องก่อนที่เขาจะก้าวออกไป หญิงสาวบนเตียงก็ลืมตาพญาหงส์คู่งามนั้นขึ้นดวงตางดงามเจิดจ้าราวดวงดารา มุมปากเองก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซนจากนั้นจึงกอดห้าห่มไว้แน่น หลับตาลงแล้วเข้าสู่นิทราจั๋วซือหรานหลับอย่างสบาย ตอนที่ตื่นขึ้นมา เวลาก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้วเจิ้นเจียงเคาะประตูขึ้นที่ด้านนอก น้ำเสียงมีความกังวล "แม่นาง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?"จั๋วซือหรานค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ขานรับเสียงแผ่ว "อืม...ไม่เป็นไร""เช่นนั้นก็ดีเช่นนั้นก็ดี"หลังจั๋วซือหรานตื่นนอน สภาพก็ยังพอไหว พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปโถงหน้ากินอาหารจากนั้นจึงถามเจิ้นเจียงขึ้นคำหนึ่ง "กองหนุนของตระกูลเหอมาถึงหรือยัง?""ยังเลยขอรับ" เจิ้นเ
"เจ้า...เจ้าคือจั๋วซือหรานหรือ?" ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าถามยืนยันขึ้นมา"ใช่แล้ว" จั๋วซือหรานยังคงนั่งอยู่ มองพวกเขาด้วยสายตาเรียบเย็ฯชาบางทีคงเป็นเพราะหญิงสาวหน้าตาดีมักทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายความระแวดระวังลงดังนั้นหลังจากที่คนสำนักเมฆาวารีเข้ามา สีหน้ากับน้ำเสียงจึงไม่ได้ดุดันแบบก่อนหน้านี้ ฟังแล้วเหมือนจะสงบลงมาระดับหนึ่งเพียงแต่ว่า ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเหนือกว่าและเย่อหยิ่ง"เจ้าเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ทำไมถึงต้องไปมีเรื่องกับตระกูลด้วย? คิดไม่ตกแล้วหรือไรกัน" คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสำนักเมฆาวารีขมวดคิ้วถาม ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจอย่างชัดเจนกระทั่งยื่นข้อเสนอกับจั๋วซือหรานขึ้นมา "พวกเราเองก็ไม่อยากจะต้องทำให้หญิงสาวคนหนึ่งลำบากใจ ขอแค่เจ้าไปขอโทษเหอจื้อหย่วนดีดี พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ขมวดคิ้ว ในน้ำเสียงฟังออกไม่ยากว่าหงุดหงิด เอ่ยกันตัวเองว่า "ดูท่าพวกเจ้าเองก็ไม่ใช่คนสำคัญของสำนักเมฆาวารีสินะ""อะไรนะ?" คนสำนักเมฆาวารีกลุ่มนี้ เหมือนยังไม่เข้าใจความหมายจั๋วซือหราน เหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้อ
"อะไรนะ?!" คนสำนักเมฆาวารีคิดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้แต่หลังจากที่ยอมรับเรื่องนี้ก็รู้สึกว่า สถานการณ์ที่นิ้วมือที่กำลังทำปางมือถูกดึงจนเปลี่ยนรูป ก็เหมือนถูกสายเชิดหุ่นดึงเอาไว้จริงๆคนสำนักเมฆาวารีคนหนึ่งสาดอะไรบางอย่างไปที่ระหว่างคนคนนั้นกับจั๋วซือหราน เหมือนเป็นผงฝุ่นสีแดงๆสรุปคือ จากการสาดนี้ ไหมกู่ที่พรางตัวอยู่ตอนแรกค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาแล้วตอนที่ยังไม่ปรากฏตัว พวกเขายังรู้สึกว่าประหลาดอยู่ รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่ตอนนี้พอสาดผงแดงออก พอไหมกู่ที่พรางร่างปรากฏรูปร่างแท้จริงออกมาอารมณ์หวาดกลัวอย่างหนึ่ง ค่อยๆเกิดขึ้นมาในความคิดพวกเขาไม่ต้องมองที่อื่น แค่คนตรงหน้านี้ ก็ตกตะลึงกันแค่ไหนเพราะตอนนี้ ไม่ใช่คนคนนั้นที่ถูกจั๋วซือหรานตัดท่าวิชาไปแต่ว่าจั๋วซือหราน ทำเช่นนี้กับคนทั้งหมดระหว่างตัวพวกเขา เต็มไปด้วยใยหุ่นเชิดเต็มไปหมด โดยมีนางเป็นต้นตอ เชื่อมกับปลายทางที่ตัวพวกเขาใยหุ่นเชิดเหล่านั้นออกมาจากในแขนเสื้อนาง มากมายเต็มไปหมดและนางตอนนี้ แค่กระดิกนิ้วสองนิ้วเท่านั้น ใช้สองเส้นนั้นดึงนิ้วคนคนนี้เอาไว้ ก็ทำลายวิชาของเขาลงได้แล้วนางอยู่ในชุดแดง นั่งเงียบๆ อ
"อะไรนะ?" คนสำนักเมฆาวารี ไม่เข้าใจคำพูดของนางแต่ก็มีคนที่กลับฟังออก สีหน้าเคร่งขรึม "นางรู้ว่าพวกเรามากันเจ็ดคน"เหลียนเจินบอกกับจั๋วซือหรานต่อ "ผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี เครื่องแบบแตกต่างกับคนทั่วไปอยู่ ผ้าคาดเอวและขอบเสื้อจะประดับด้วยลายน้ำเมฆสีม่วง ดังนั้น..."จั๋วซือหรานตอบคำเขา "ยังไม่มาสินะ"กลุ่มตรงหน้านี้ ทั้งหกคน บนเครื่องแบบดุแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันบนพื้นฐานสามารถพิจารณาได้ ว่าคนพวกนี้เป็นศิษย์ทั่วไปเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น จั๋วซือหรานยังพิจารณาได้อีก ว่าในกลุ่มพวกเขาน่าจะไม่ได้ทำอะไรอย่างเช่นผู้ดูแลจงใจเปลี่ยนมาสวมชุดของศิษย์ทั่วไปมาแฝงอยู่ในกลุ่มเพื่อให้ศัตรูตายใจ เพื่อจะเล่นงานศัตรูได้อย่างไม่ทันตั้งตัว...สาเหตุที่จั๋วซือหรานมั่นใจเช่นนี้ ก็เพราะคนในสำนักเหล่านี้ ไม่ต้องคิดเลย ในใจล้วนเย่อหยิ่งกันหมดความเย่อหยิ่งนั้น บางครั้งก็ก็เป็ฯความจองหองแบบหนึ่งและความจองหองก็จะมองข้ามศัตรู ไหนจะเรื่องที่ชุดบ่งบอกถึงตัวตนฐานะอีก ตัวตนฐานะมันวางลงได้ง่ายๆ เสียที่ไหนไม่แน่ว่าคนที่มีจะเป็นพวกที่ว่า พอได้เลื่อนขั้นทั้งที ไปที่ไหนทีก็แทบอยากจะประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าตนเองได้เลื่
จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ก็ลูบคางเบาๆ"พูดแบบนี้ ทำเอาข้าสนใจฝีมือของผู้ดูแลชุยขึ้นมาเลย" จั๋วซือหรานเพ่งมองไปทางพวกเขา "เพียงแต่ว่า ผู้ดูแลชุยตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?"จั๋วซือหรานพูดไปด้วยพลางเดินเข้าใกล้พวกเขาแต่พอเห็นว่าพวกเขายังคงปากแข็ง จั๋วซือหรานก็ยิ้มตาโค้ง "แนะนำกับพวกเจ้าหน่อย ใยหุ่นเชิดแบบใหม่ของข้า..."หลังจากนั้นนิ้วนางก็กระดิกเบาๆคนสำนักเมฆาวารีคนหนึ่งร้องเจ็บปวดขึ้นมาจากนั้นคนสำนักเมฆาวารีคนอื่นตอนที่มองจั๋วซือหราน สายตาก็ดูผิดปกติไปแล้ว"ใช้ดีดีมากในการทรมานไต่สวน" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าถ้าหากไม่ยอมพูดล่ะก็ จะลองทีละคนก็ได้ ข้าจะเล่นไปช้าๆ"คนจากสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ ก็เป็นอย่างที่จั๋วซือหรานคาดเอาไว้ ไม่ได้มีพวกกล้าเลยแม้แต่คนเดียวคิดแล้วก็ใช่ คนในสำนักเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากพวกตระกูลที่มีฐานะดีหน่อยกันทั้งนัน มีแววดีตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดีคิดว่าคงไม่เคยเจอของแข็งกันมาก่อน ดังนั้นจะไปเก่งกล้าได้ที่ไหนกันไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็ได้คำอธิบายออกมาผู้ดูแลชุยคนนั้น ชื่อเต็มว่าชุยหงฮุย เป็นหนึ่งในผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี ฝีมือการต่อสู้ไม่เลว ค่อนข้าง
เหลียนเจินได้ยินจั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจความหมายลึกๆ ในคำพูดของนายท่านเป็นอย่างดีน่าจะเพราะ เขาเคยถูกจั๋วซือหรานแย่งตลับหุ่นเชิดไปนั่นล่ะดังนั้นเหลียนเจินจึงมีปฏิกิริยากับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเร็ว!"แม่นางจะบอกว่า..." เหลียนเจินก้มลงมองจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง "ใช่แล้ว เอาล่ะ พวกเจ้าก็พักฟื้นกันต่อไปนะ"นางยื่นมือไปตบเบาๆ ที่บ่าอันแข็งแรงของเหลียนเจิน "ข้าไปแปปเดียว"เหลียนเจินเดาได้ถึงเป้าหมายครั้งนี้ของนาง อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ตามหลักการ เหลียนเจินเดิมทีคิดว่าตนเองควรจะกังวลความปลอดภัยของแม่นางถึงอย่างไร การจะไปแย่งของจากผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี จะมองอย่างไรก็น่าจะเป็นเรื่องที่อันตรายแต่ว่าพอถึงเวลา เหลียนเจินกลับรู้สึกที่ตนเองกังวลไม่ใช่ความปลอดภัยของแม่นางแต่เป็น..."แม่นาง เจ้าสิ่งเย็นเยือกนั่น สัมผัสมากไปจะไม่ดีกับร่างกาย" เหลียนเจินเอ่ยเตือนขึ้นจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ก็เลิกคิ้ว ในดวงตาและคิ้วก็มีรอยยิ้มที่เบิกบาน "ไม่เป็นไร หาวิธีจัดการได้แล้ว"มีวิธีจัดการด้วยหรือ?เหลียนเจินงงงัน แต่ก็สังเกตได้ว่า สีหน้าของนายท่านดูดีขึ้นมากแล้ว กระทั่งมองไม่ออกว่าเ
หลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ก็ยิ้มออกมา เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่มีใครเห็นความรู้สึกยิ้มจากสีหน้ายิ้มของนางเลยยิ่งไปกว่านั้น ในคำพูดถัดจากนี้ของนาง ก็ยิ่งไม่มีคามอบอุ่นเหลืออยู่อีก"ข้าแค่จะทำให้สำนักพวกเจ้าขายหน้าแค่นั้นที่ไหน" จั๋วซือหรานเหลือบมองพวกเขาเย็นชาผาดหนึ่ง เอ่ยต่อว่า "สิ่งที่ข้าต้องการ คือสำนักของพวกเจ้า...ตายไปให้หมด!"แม้นางจะไม่พูดอะไรมาตลอด ต่อให้คนรับใช้ของนางเอง ก็รู้แค่เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของนาง แต่กลับไม่รู้ความรู้สึกส่วนลึกในใจนางเลยเพราะนางไม่เคยพูดอะไรออกมา และไม่เคยเผยอะไรออกมาด้วยแต่ในความเป็นจริง หลังจากที่รู้ว่าเจ้าสำนักเมฆาวารี เพื่อจะช่วยเหลือลูกของตนเอง จนต้องใช้น้องสาวของนางมาเป็นผู้ทดลองยาในใจจั๋วซือหรานก็อดกลั้นเอาไว้มาตลอดความโกรธนี้ แผดเผาอยู่ในใจนางมาตลอด ทำให้ในใจนางอันที่จริงโกรธแค้นไม่หยุดมาตลอดนางคิดถึงน้องชายนับครั้งไม่ถ้วน คิดถึงเด็กน้อยจั๋วหวายเด็กคนนี้ ในเส้นโชคชะตาของเจ้าของร่างเดิม เป็นเด็กน้อยที่ตายไปอย่างน่าเวทนานางรับชีวิตของเจ้าของร่างเดิมมา มีความปรารถนาอยู่หนึ่งเรื่อง ก็คือทำให้ท่านแม่ น้องชายที่เจ้าของร่างเดิมรักใน
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย